อยากระบายชีวิตที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่นครับ

ผมอายุได้ 19 ปีละ

ผมเป็นแอสเพอเกอร์ขั้นอ่อน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นจริงไหม แต่แม่ผมมักจะพูดกับผมเรื่องนี้เสมอว่าผมไม่เหมือนคนอื่น และแม่ผมเคยพาไปตรวจกับหมอ
ตอนเด็กๆมาแล้ว ประมาณตอน 2-3 ขวบ และผมพูดไม่ได้จนอายุ 4 ขวบ) สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ตอนผมเด็กๆ ผมมักจะมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนประจำ และผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเลย แต่ผมเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่แม่ผมสอนผมก็เข้าใจ และแม่ผมก็คอยดูแลผมอย่างหนัก ทำให้หลังจากผมเกิดมาประมาณ 2 ปี แม่ผมไม่มีเวลาไปดูแลน้องเลย

และผมก็มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เนื่องจากตอนแรกน้องผมนั้นไม่ได้แสดงอาการผิดปกติอะไรเลย ออกจะอยู่เงียบๆด้วยซ้ำ (ตามที่แม่ผมบอก) ครอบครัวของผมก็เลยไม่ค่อยเป็นห่วงมันมากนัก ผลปรากฏว่าเหมือนน้องผมมันจะได้รับสารเคมีจากยาสลบตอนทำคลอดอะไรสักอย่าง ทำให้น้องผมเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดโต่ง ผ่านไปถึงช่วงประถม ร่างกายมันแข็งแรงกว่าทุกคนในบ้าน ผมเปรียบครอบครัวผมเหมือนฝูงหมา ตัวใดตัวหนึ่งแข็งแรงกว่า มันก็คอยจะทำร้ายตัวที่อ่อนแอกว่า น้องผมเอาแต่ใจและไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนครอบครัว ครอบครัวผมจึงกลายเป็นครอบครัวที่เริ่มเหมือนครอบครัวทะเลาะกัน

ทั้งที่ความเป็นจริง คนในครอบครัวทุกคน ก็รักกันดี เพียงแต่มีผมที่เป็นแอสเพอเกอร์อ่อนๆ กับ น้องที่เป็นพวกเอาแต่ใจแบบสุดโต่ง
ผมมีปัญหากับพวกนอกบ้าน พอกลับมาบ้านก็เห็นภาพพ่อแม่ทะเลาะกับน้องกันรุนแรงทุกวัน มันทำให้ผม(ผมคิดว่ามันทำให้ผม มันอาจไม่ใช่เหตุผลนั้นซะทีเดียว) อยากจะไประบายกับพวกเด็กข้างนอก พวกเพื่อนที่โรงเรียน พวกที่ผมไม่เข้าใจมัน พวกที่เล่นอะไรกันผมก็ไม่รู้
ผมเกลียดทุกคน และผมไม่เคยมีเพื่อน ผมคิดอย่างนั้น

ถึงมัธยมต้น ผมมีเรื่องเป็นรายวันเช่นเดิม และเริ่ม (ซึ่งมันเริ่มตามจริงตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วด้วย) มีปากเสียงกับพวกครูบาอาจารย์มากกว่าเพื่อน
เริ่มทะเลาะกับครูมากกว่า กับเรื่องกฏของโรงเรียน ผมรู้ว่าโรงเรียนมันต้องมีกฏ คนมาอยู่กันมากก็ต้องอยู่ด้วยกฏเกณท์ แต่เหมือนกับตัวผมเอง
มักจะทำตัวแหกกฏอยู่เรื่อยๆ ช่วงนี้ผมเริ่มมีเพื่อนบ้าง และผมไม่เคยพูดถึงเรื่องในครอบครัวให้ใครฟัง

ผมคิดว่ามันไม่ผิดเลยที่ผมจะโกหกเพื่อนว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง ถึงได้กลายเป็นพวกที่ชอบมีปํญหากับคนอื่นไปทั่ว
จะให้ผมยกเรื่องครอบครัวมาอธิบายเหรอ ........ไม่มีทางเลือกนั้นแน่นอน
อ้อ ครับ เวลาเพื่อนมันคุยเรื่องตลกแปลกๆอะไรกันผมไม่ฮากับมันหรอก แต่ก็เรียนรู้ไปเรื่อยว่า เมื่อคนอื่นหัวเราะ เราก็หัวเราะตาม

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เจอกันทีไร ก็เล่าแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนซ้ำไปมา เหมือนกับเล่นหนังซ้ำอยู่ตลอด
เพื่อนที่นั่งข้างผมหัวเราะ ผมก็หัวเราะตาม ถึงไม่รู้ว่ามันน่าตลกตรงไหนก็เหอะ
และช่วงนี้ที่ผมก็โดนบูลลี่บ้างเป็นประปาย เห็นคนที่ชอบแกล้งเพื่อน รังแกคนอื่น และผมก็โดนรังแกด้วย เนื่องจาก ผมอ่อนแอกว่ามัน
ที่โรงเรียนก็โดนรังแก ที่บ้านก็เจอนรก เหอะ ชีวิต มีดีอย่างเดียวคือแม่รักผมมาก
ถามว่าผมเริ่มมีเพื่อนได้ไง ผมให้ไปทางอิทธิพลของหนัง หนังมันสอนคอนเวอเซชั่นให้กับผม
สอนให้ผมพูดอะไรตอนไหน และสอนให้ผมมองโลกตามความเป็นจริง (มั้งนะครับ)

มิตรใกล้แล้ว ศัตรูใกล้ยิ่งกว่า ครับ จากดอนคอลีโอเน่ ช่วง ม.2-3 ผมก็เลยอยู่ใกล้กับคนที่ผมเกลียดมากสุด
ความคิดที่มันมีเหมือนในหนังก็อยู่ในหัวผมเช่นกัน เช่นผมอยากไปหาไม้เบสบอลไปเคาะกะโหลกไอ้พวกบูลลี่
หรือหยิบค้อนที่อยู่ใต้บันได มาตอกลงหน้าของน้องชายบัดซบซะ

แต่ก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ผมไม่เคยได้ทำจริงๆ
พอผ่านมาถึงช่วงมัธยมปลาย ผมเริ่มมีเพื่อนเยอะขึ้น เริ่มสื่อสารกับคนเป็น
เริ่ม......เรียกว่าอยู่เป็นละมั้ง ทำตัวให้เหมือนจะไปช่วยเพื่อนเท่าที่ช่วยได้ ถ้าชิ่งได้ก็ชิ่ง
อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย ไม่ใช่ช่วยเพราะ อยากช่วย แต่ช่วยเพราะเป็นมิตรกันดีกว่าศัตรู

ความรักเป็นเหมือนเรื่องเพศอย่างเดียวสำหรับผม ผมไม่เคยคิดสนิทสนมกับใครจริงจังเลย
อารมณ์ทางเพศที่เพิ่มขึ้น กับความรู้สึกเบื่อ ไร้จุดหมาย ทำให้ผมเริ่มเบื่อการเรียนมาก
เรียนไปทำไมวะ ในเมื่อไม่รู้เหตุผลที่ต้องเรียน ผมเบื่อสุดๆ
มันดูเหมือนคนที่อยากตาย เป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย แม่ผมคิดว่าผมเป็นซึมเศร้า
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ เพราะผมรู้อย่างหนึ่ง ทั้งชีวิตผม ผมไม่เคยคิดถึงความอยากตายเลย
ผมอยากเป็นอมตะด้วยซ้ำ แม้นชีวิตที่ผมมีอยู่ ณ ตอนนั้น มันโคตรบัดซบสุดๆ

กิจกรรมชีวิตหลักของผมคือนั่งเดาใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้า มันคิดอะไร และต้องการอะไร
เหมือนพวกชอบจิตวิทยา แต่เปล่าเลย มันเหมือนกับผมแคร์ความคิดพวกคนรอบข้างไปด้วย
ในขณะที่ผมไม่ได้สนใจพวกมันด้วยซ้ำ

คงเหมือนที่แม่ผมชอบบอกว่า คนทุกคนมันแคร์ว่าคนรอบข้างจะมองเรายังไง มากกว่ามองว่าเขาคิดอะไรอยู่
จนผมเพิ่งเริ่มคิดได้ว่า ชีวิตผมมันไร้เป้าหมายไปรึเปล่า
จะเอาเวลาไปนั่งคำนวณสมการความคิดของผู้คนเนี่ยนะ เรื่องที่นักวิทย์ยุคนี้ยังเข้าไม่ถึง
ช่างแมมมันเถอะ ทำในสิ่งที่ผมอยากทำดีกว่า

จบ ม.ปลายมา ผมได้เข้าคณะที่อยากเข้าสมใจ ประกอบกับช่วง ม.5 ผมได้ย้ายบ้านไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว
ผมไม่ต้องไปเจอไอ้เวรนั่นที่บ้าน เหมือนสวรรค์ประทานพรให้ผมสุขภาพจิตดีขึ้น

ที่ผมพิมพ์มาทั้งหมดนี้ มาถึงตอนนี้นี่แหละครับ ที่ผมสงสัยว่าผมเป็นอะไร
ผมเข้าเฟสไปเจอหน้าไอ้พวกที่มันเคยบูลลี่ผม มันอยู่มหาลัยที่ดีกว่า คณะที่นิยม
เป็นดาวเดือนด้วย แล้วอยู่ดีๆผมก็ร้องไห้ ทั้งที่ผมไม่ได้ร้องมานานแล้ว
ผมรู้ว่าผมเป็นคนอ่อนไหวง่าย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนตอนผมดูฉาก มิสเตอไวท์ตายในเบรคกิ้งแบด
มันกลับเป็นความคิด....ที่ผมอยากระบายน่ะครับ เหมือนกับ บาปกรรมเหรอ เหอะ นี่ไงบาปกรรม
คงมีแค่นี้แหละครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่