60 ปี เอกราชมาเลเซีย ไร้แผลกาย เต็มแผลใจ



ตูนกู อับดุล ระห์มัน นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย ยืนตะโกนก้อง "เมอร์เดอะกา!" ถึง 7 ครั้ง เมื่อ 60 ปีที่แล้ว

ฮารีเมอร์เดอะกา หรือ วันเอกราช ของ มาเลเซีย ในวันนี้ ครบรอบ 60 ปีแล้ว ที่มาเลเซีย ได้พ้นจากความเป็นประเทศในอาณานิคมของอังกฤษ โดยเป็นประเทศลำดับรองสุดท้ายในอาเซียน รองจากบรูไนที่ได้รับเอกราชเมื่อปี 1984 (ไม่นับรวมติมอร์-เลสเต ที่ได้เอกราชจากอินโดนีเซียเมื่อปี 2002) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้เอกราชช้า แต่ก็ถือว่าแทบจะไม่มีประวัติการต่อสู้ใดๆ เมื่อเทียบกับอีกหลายๆประเทศ แต่สิ่งที่ไม่น่าจะต่างกันกับอดีตประเทศอาณานิคมอังกฤษอื่นๆ คือ ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ซึ่งในวันนี้ มาเลเซียมีเชื้อชาติ 3 อย่าง คือ ภูมิบุตร (คือ ชนชาติพื้นเมืองในแหลมลายู รวมไปถึงเชื้อสายไทย) จีน และ อินเดีย
#
มาเลเซียในวันนี้ แม้ภาพของความขัดแย้งทางเชื้อชาติ จะไม่ค่อยปรากฎให้เห็น แต่เมื่อย้อนไปหลายสิบปีที่แล้ว ความขัดแย้งระหว่างชาวมาเลเซียและชาวจีนและอินเดีย ถือว่าค่อนข้างรุนแรงมาก จนกระทั่งส่งผลให้เกิดประเทศใหม่ คือ สิงคโปร์ ซึ่งกลายเป็น 1 ในคู่แข่งด้านเศรษฐกิจของมาเลเซียในเวลาต่อมา โดยในเวลาดังกล่าว กล่าวได้ว่า ชาวจีนและอินเดีย ซึ่งมีทั้งที่อพยพมาเอง อพยพตามมาทำงานราชการ หรือแม้แต่อพยพหนีตายมา ได้เข้ามาในมาเลเซียเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นตรงกันข้ามกับมาเลเซีย แม้พรรคอัมโนจะพยายามสร้างความสามัคคีและสมานฉันท์เกิดขึ้นมาหลายสิบปี แต่ผลของมันยังไม่มากพอที่จะทำให้ประชาชนมาเลเซียเกิดสำนึกต่อความเป็นประเทศชาติได้ดีนัก โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนและชาวอินเดีย ที่แม้แต่การศึกษาระดับพื้นฐานยังเรียนแยกจากกัน แม้แต่ภาษาแม่ยังใช้คนละภาษา โดยภาษามลายูจะมีสอนเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนของชาวมาเลย์ ส่วนชาวจีนก็ต้องเรียนภาษาจีนในโรงเรียนจีน ชาวอินเดียก็ต้องเรียนภาษาทมิฬในโรงเรียนอินเดีย (ชาวอินเดียในมาเลเซียส่วนใหญ่เป็นชาวทมิฬ) และด้วยนโยบายภูมิบุตรที่สิทธิไม่ค่อยเข้าถึงและทั่วถึง จึงทำให้จิตสำนึกความเป็นมาเลเซียยังค่อนข้างไม่สู้ดีนักในกลุ่มชาวจีนและชาวอินเดียในมาเลเซีย
#
1 ใน 3 พลเมืองหลัก โดยเฉพาะที่สิงคโปร์ ซึ่งมีชาวจีนอยู่พอสมควร กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เกิดการปะทุกันอย่างรุนแรง จนทำให้สิงคโปร์ถูกผลักไสออกไปในปี 1963 ซึ่งลีกวนยิว ถึงกับต้องซับน้ำตาออกทางทีวีเพราะเห็นว่าสิงคโปร์ในเวลานั้น ด้อยพัฒนายิ่งกว่าหลายๆประเทศในอาเซียนด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ได้มาคือการได้พัฒนาประเทศด้วยการศึกษา การขนส่งทางเรือ และความยุติธรรมต่อพลเมืองทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา รวมไปถึงความเข้มงวดทางกฎหมายเป็นอย่างมาก ทำให้สิงคโปร์สร้างฐานะเจริญรุ่งเรืองจนถึงวันนี้
#
เหตุการณ์วันที่ 13 พฤษภาคม เป็นหนึ่งในตัวอย่างความขัดแย้ง เกิดจากการที่ชาวจีนมาเลย์ไม่พอใจต่อการเลือกตั้งที่พรรคกิจประชาธิปไตยพ่ายแพ้การเลือกตั้งพรรคอัมโน และได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับที่ 3 ผลจากความขัดแย้งครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 190 - 600 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ผลจากเหตุการณ์จราจลครั้งนั้นทำให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามมาด้วยการลาออกของตูนกู อับดุล ระห์มัน และการขึ้นครองตำแหน่งของ ตูน อับดุล ระห์ซัก รองนายกรัฐมนตรี ในนามสภาปฏิบัติการแห่งชาติ เป็นเวลาถึง 2 ปี ก่อนที่มีการฟื้นฟูอีกครั้ง นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน ยังได้เกิดความขัดแย้งในสิงคโปร์จนมีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บถึง 80 กว่าคนอีกด้วย
#
นอกจากนี้ ปัญหากับคนเชื้อชาติด้วยกันหรือกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ถือว่ามีปัญหาอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงได้เอกราชใหม่ๆนั้น ต้องเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และบรูไน โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่ถือว่าเป็นคู่แข่งในเกือบทุกด้านๆของมาเลเซีย เนื่องจากถือศาสนาเดียวกัน วัฒนธรรมใกล้เคียงกัน และที่สำคัญ เศรษฐกิจในตอนนั้นถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซูการ์โน อดีตผู้นำอินโดนีเซีย ถึงกับเคยสนับสนุนกลุ่มคอมมิวนิสต์ให้พยายามรวมบรูไนกับมาเลเซียตะวันออกมาเป็นของตน แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากประชาชนในเขตของมาเลเซียพึงพอใจต่อตูนกูมากกว่า นอกจากนี้ยังเคยมีปัญหาโดยตรงกันกับมาเลเซีย คือกรณี "โกนโฟรนตาสี" หรือการพยายามยึดดินแดนทางเกาะบอร์เนียวมา แต่ด้วยในฐานะที่มาเลเซียเป็นประเทศที่ตะวันตกให้การสนับสนุน ท้ายที่สุด อินโดนีเซียจึงพ่ายแพ้ ตามมาด้วยการสูญสิ้นอำนาจของซูการ์โนให้กับซูฮาร์โต แต่ผลเสียที่ตามมาก็คือการสูญเสียบรูไนออกไปแยกตัว และได้รับเอกราชในอีก 20 กว่าปีต่อมา
#
มาเลเซีย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะถูกมองว่าเศรษฐกิจดีและมีการพัฒนา (โดยเฉพาะในกลุ่มคนไทยที่ไม่พึงปรารถนาต่อประเทศของตน) แต่ในความเป็นจริงก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่ดูสวยหรู พรรคอัมโนครองอำนาจมานานโดยอาศัยแนวคิดประชานิยมอย่างสุดขีด คือ ภูมิบุตร ซึ่งให้สิทธิหลายๆอย่างกับชาวมาเลย์มุสลิมและชนพื้นเมือง อาทิ การให้สวัสดิการ การสนับสนุนทางการศึกษา การอัดฉีดต่างๆ ซึ่งแม้จะมองว่าดีต่อการอนุรักษ์เชื้อชาติดั้งเดิม แต่ผลเสียและช่องโหว่ของนโยบายก็คือ ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นง่ายขึ้น (เนื่องจากนโยบายที่อัดฉีดเกินตัว) และความขัดแย้งทางเชื้อชาติ (เนื่องจากการรีดภาษีคนนอกภูมิบุตรเพื่อนำไปใช้กับคนในภูมิบุตร)
#
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ ปัจจุบันมาเลเซียกำลังใกล้สู่ในสภาวะสั่นคลอนทางการเมืองเนื่องมาจากนโยบายภูมิบุตร (และการคอรัปชั่นของดาตุกนาจิบเอง) ซึ่งอาจจะมีผลในหลายๆด้าน ซึ่งหากพรรคอัมโนสามารถชนะการเลือกตั้งต่อไปได้ หากยังยื้อนโยบายภูมิบุตรไว้อยู่ หากเมื่อใดที่เศรษฐกิจเริ่มไม่ดี จะส่งผลต่อนโยบายและทำให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายยากขึ้นหรือน้อยลง แต่หากเศรษฐกิจดี ความไม่พอใจของชาวจีนและอินเดียอาจจะต้องเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลที่ตามมาอาจจะเป็นการยกเลิกนโยบายภูมิบุตรในอนาคต ซึ่งหากสมมติว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียจริงในวันหนึ่ง ก็อาจจะต้องเพิ่มภาระในการส่งเสียนโยบายภูมิบุตรมากขึ้นและหนักขึ้น (และนั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่มาเลเซียอาจจะเลิก 'สนับสนุน' กลุ่มโจรใต้ในไม่ช้า ..)
#
คงต้องจับตามองต่อไปว่าอนาคตจะไปได้หรือไม่เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายๆประเทศ อย่าง สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ ประเทศไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่