วิกฤตเหยียดเชื้อชาติในมาเลเซีย / โดย ณ สันมหาพล



คอลัมน์ : โลกไม่หยุดนิ่ง

ผู้เขียน : ณ สันมหาพล

คลิกฟังเสียง

มาเลเซียมีประชากรเป็นชาวมลายูมากถึงร้อยละ 51 ชาวจีนร้อยละ 24 การทะเลาะวิวาทระหว่างคน 2 กลุ่มมีมาช้านาน และเคยเกิดจลาจลในปี 2512 จนมีคนเสียชีวิตหลายร้อยคน เพราะการดูหมิ่นและเหยียดเชื้อชาติ โดยคนเชื้อสายมลายูจะถูกดูหมิ่นว่าขี้เกียจและความคิดล้าหลังไม่ทันโลก ขณะที่คนจีนเป็นพวกขี้งกและสกปรก

หลังการจลาจล รัฐบาลมาเลเซียประกาศใช้นโยบายภูมิบุตรเพื่อยกระดับฐานะและความเป็นอยู่ของชาวมลายูและชนกลุ่มน้อยอื่นๆที่ไม่ใช่จีนและอินเดีย โดยให้สิทธิพิเศษแก่ชาวพื้นเมืองและยกย่องให้เป็น “ภูมิบุตร” หรือ “บุตรของแผ่นดิน”  

สิทธิพิเศษนี้ได้แก่ การมีโอกาสเหนือกว่าคนที่ไม่ใช่ “ภูมิบุตร” ในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย รับราชการ และประกอบอาชีพ แน่นอนว่านโยบายนี้ย่อมไม่เป็นที่พอใจของคนที่ไม่ได้รับประโยชน์ ซึ่งก็คือคนจีนและอินเดีย จึงมีการต่อต้านนับตั้งแต่นั้น แต่ไม่รุนแรง เนื่องจากคนทั้ง 2 เชื้อชาติจำนวนไม่น้อยที่เห็นความจำเป็นที่มาเลเซียต้องมีนโยบายดังกล่าวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในหมู่ประชาชน

ประกอบกับต่อมารัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศใช้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมทั้งเปิดประเทศเพื่อให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน ทำให้เศรษฐกิจที่ดีอยู่แล้วยิ่งแข็งแกร่งจากฐานเกษตรกรรมที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง ทำให้ฐานะและความเป็นอยู่ของคนทั้ง 2 เชื้อชาติสูงขึ้นไปอีก

แม้มีสัญญาณว่ารัฐบาลมาเลเซียอยากให้ประเทศหลุดพ้นจากการครอบงำทางศาสนาและความขัดแย้งทางเชื้อชาติ แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากกลัวคะแนนเสียงเลือกตั้งจะแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยเสียงส่วนหนึ่งไปอยู่กับกลุ่มหัวรุนแรง และอีกส่วนหนึ่งไปอยู่กับพรรคฝ่ายค้านที่นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นักการเมืองที่กลายเป็นวีรบุรุษในกลุ่มคนที่อยากเห็นมาเลเซียเปลี่ยนแปลง

ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 แม้พรรคอัมโนที่เป็นพรรครัฐบาลจะชนะ ได้ที่นั่งในรัฐสภามากที่สุด 133 ต่อ 89 ที่นั่ง แต่ถ้านับเป็นคะแนนเสียงแล้วกลับแพ้พรรคฝ่ายค้านคือ ร้อยละ 47.4 ต่อ 50.9

เชื่อกันว่าคะแนนเสียงของพรรคฝ่ายค้านมาจากความไม่พอใจในนโยบายภูมิบุตรของผู้ออกเสียงชาวพื้นเมืองและอื่นๆที่แทรกตัวอยู่ตามเขตเลือกตั้งต่างๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และฐานะดี

ตลอดเวลาการหาเสียงเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างผู้ที่อยากเห็นมาเลเซียเกิดการเปลี่ยนแปลงกับผู้ที่กลัวการเปลี่ยนแปลงว่าจะนำมาเลเซียไปสู่การเป็นประเทศพหุเชื้อชาติและพหุศาสนา และหลังจากการเลือกตั้งยังมีการชุมนุมประท้วงผลคะแนนเสียง โดยพรรคฝ่ายค้านจัดการชุมนุมกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ผลที่ออกมาจึงไม่สะท้อนความเป็นจริงของสภาวะทางการเมือง

มาเลเซียนับวันจะมีการแบ่งแยกเชื้อชาติมากขึ้น อย่างศูนย์อาหารตามเมืองใหญ่จะประกาศชัดเจนว่าเป็นศูนย์อาหารสำหรับลูกค้ากลุ่มไหนระหว่างคนมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม โดยลูกค้าแต่ละกลุ่มที่ส่วนมากเป็นคนมลายูและคนจีนจะไม่เข้าไปในศูนย์อาหารของอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด ซึ่งไม่ใช่ประเด็นศาสนาอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องสิทธิพิเศษจากนโยบายภูมิบุตร ทำให้ค่าเช่าศูนย์อาหารของคนมลายูต่ำกว่าคนจีน

ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติในมาเลเซียจึงมีผู้เป็นห่วงว่าจะทำให้เศรษฐกิจเกิดการถดถอยจนไม่เป็นประเทศพัฒนาในปี 2563 ตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้ย้ายการลงทุนไปประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า ทำให้มาเลเซียต้องส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้ แต่ก็ไม่ง่าย ขนาดธนาคารโลกยังประกาศเตือนปัญหาเรื่องเชื้อชาติในมาเลเซีย

ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศต้องการได้ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนไปทำงาน เพราะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดี ไม่รวมภาษาจีนและภาษามลายูที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะภาษามลายูที่ใช้ได้ในอินโดนีเซียที่เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน

ปัญหาที่น่าวิตกขณะนี้คือ คนมาเลเซียที่มีความรู้ไม่อยากทำงานกับบริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุน แต่ต้องการทำงานราชการในกระทรวง ทบวง กรม และองค์กรรัฐอื่นๆ เพราะได้รับผลประโยชน์และสิทธิประโยชน์ต่างๆจำนวนมาก รวมทั้งรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาผูกขาดการค้าจนทำให้มาเลเซียถูกเพ่งเล็งจากประเทศที่ต้องการให้เปิดการค้าเสรี ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้คือสหรัฐอเมริกาที่กำลังเป็นไม้เบื่อไม้เมาระหว่างการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศริมในมหาสมุทรแปซิฟิก

นอกจากนี้มีการวิเคราะห์ว่า หากปัญหาเหยียดเชื้อชาติในมาเลเซียยังมีต่อไป อีกไม่นานภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศจนรัฐบาลมาเลเซียอาจต้องยอมเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้

http://www.lokwannee.com/web2013/?p=55140
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่