มาเลเซีย มีอยู่ 3 เชื้อชาติ ที่เป็นประชากรหลักของประเทศ คือ มลายู จีน อินเดีย ซึ่ง 3 เชื้อชาติดังกล่าว ล้วนมีบทบาทสำคัญในประเทศอย่างมาก
แต่ก่อนอื่นใด เราจะกล่าวถึงบุคคล 3 คนที่ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย และมีส่วนร่วมในการก่อร่างสร้างประเทศมาจนถึงทุกวันนี้
คนแรก ตุนกู อับดุล ระห์มัน หลายๆ คนน่าจะรู้จักดีอยู่แล้วว่าเป็นบิดาแห่งเอกราช ผู้สถาปนามาเลเซีย และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย
คนที่สอง ตันเช็งล็อก หรือชื่อจีนกลางคือ เฉิน เจิ้นหลู่ เป็นประธานสมาคมชาวจีนแห่งมาเลเซียคนแรก และมีส่วนร่วมต่อการเรียกร้องสิทธิชาวจีน
คนที่สาม คือ วี.ที. สัมบันทัน เป็นประธานสมาคมชาวอินเดียแห่งมาเลเซียคนที่ห้า มีส่วนร่วมต่อการเรียกร้องสิทธิของชาวอินเดียด้วยเช่นกันอีกคน
ทั้ง 3 คน เป็นผู้สถาปนาเอกราชของมาเลเซีย และเป็นตัวแทนทางประวัติศาสตร์ของแต่ละเชื้อชาติในมาเลเซียอย่างชาวมลายู ชาวจีน และอินเดีย
ชนชาติมลายู ตรงนี้ไม่พูดกันเยอะ เรารู้กันแล้วว่าพวกเขาคือชนชาติดั้งเดิมในดินแดนมลายู เป็นเชื้อชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซียมาแต่เดิม
ส่วนจีนกับอินเดีย มาจากที่ใด? ชาวจีนแน่นอนว่าอพยพมาจากจีนกันตั้งแต่โบราณ บางกลุ่มตั้งรกรากที่ไทย บางกลุ่มตั้งรกรากที่เวียดนาม กัมพูชา
โดยกลุ่มชาวจีนที่มาอยู่ในดินแดนมลายูมากที่สุดคือพวกฮกเกี้ยน รองลงมาคือชาวกวางตุ้ง และฮากกา ส่วนใหญ่ตั้งรกรากในนิคมช่องแคบมะละกา
ชาวฮกเกี้ยนส่วนใหญ่นิยมอาศัยอยู่แถบริมทะเล ดินแดนที่นิยมไปอยู่จึงมักติดกับทะเล รวมถึงในภาคใต้ไทยที่มีชาวฮกเกี้ยนเข้ามาตั้งรกรากกันอยู่
โดยกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาในช่วงหลังๆ และแยกอยู่กับชาวมลายู เริ่มตั้งแต่ยุคที่อังกฤษปกครอง ซึ่งเลือกไปอยู่นิคมช่องแคบอย่างปีนัง สิงคโปร์
ส่วนก่อนหน้านี้ เข้าใจว่ามาอยู่กับชาวมลายูแล้วรับศาสนาอิสลาม รับจารีตแบบมลายู ทิ้งประเพณีจีน มีลูกมีหลานและสืบเชื้อสายเป็นมลายูไปแล้ว
ทุกวันนี้เลยมีชาวมลายูหลายคนที่เข้าข่ายที่มักถูกล้อว่า "ชื่อแขก หน้าจีน" กันเยอะ คือชื่อแบบอิสลามอาหรับ แต่ใบหน้าละม้ายกับคนเชื้อสายจีน
ยกตัวอย่างเช่น อับดุลละห์ อาหมัด บาดาวี ซึ่งมีเชื้อสายชาวหุย หรือวัน อาซีซะห์ ภรรยาอันวาร์ อิบราฮีม ซึ่งเป็นชาวเปอรานากันหรือลูกครึ่งจีน
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมาย ชาวมลายูเชื้อสายจีนที่นับถือศาสนาอิสลามและพูดภาษามลายูเป็นภาษาแม่ ยังเป็นชาวมลายูและมีสิทธิโดยปกติ
ส่วนชาวอินเดีย ถ้านับเฉพาะยุคหลังๆ ก็มาจากยุคอาณานิคมเช่นเดียวกัน แต่ตามประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อนยุคศาสนาอิสลาม ถือว่ามีอิทธิพลนาน
ตามประวัติศาสตร์ของรัฐเกดะห์ ระบุว่าจักรวรรดิโจฬะของพวกทมิฬทางตอนใต้ก็เคยบุกรุกเกดะห์ ยึดจากศรีวิชัยไปร้อยกว่าปีก่อนที่จะหายไป
ตามกฎหมาย คนเชื้อสายอินเดีย คือคนเชื้อสายอินเดียที่ไม่ได้พูดภาษามลายู ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม และมีบรรพบุรุษมาจากประเทศอินเดีย
คนเชื้อสายอินเดียส่วนใหญ่คือชาวทมิฬ ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ฝั่งทะเลเบงกอล ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแหลมมลายูโดยพอดี
อย่างไรก็ตาม ในกฎหมายภูมิบุตร ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม สามารถเป็นส่วนหนึ่งของภูมิบุตรได้แม้ว่าจะไม่ได้พูดภาษามลายูก็ตาม
กฎหมายภูมิบุตร ไม่ได้ถูกตราขึ้นหลังจากที่ได้รับเอกราชทันทีทันใด แต่เป็นผลความคิดของตุน อับดุล ราซะก์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนที่ 2
การตรากฎหมายดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวมลายู และชาวจีนกับอินเดียบ่อยๆ นับตั้งแต่ที่มีการประกาศเอกราช
สาเหตุหลักเป็นเพราะว่า ชาวมลายูมองว่าชาวจีนมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจมากไป ซึ่งมีหลายกรณีที่เกิดขึ้นคล้ายกันรวมถึงในพม่า
ทำไมถึงต้องกล่าวว่ามีหลายกรณี เพราะในหลายประเทศที่เป็นอาณานิคมอังกฤษ ล้วนมีชาวเอเชียอย่างอินเดียและจีนเข้าไปทำมาหากินกัน
เมื่อถึงช่วงหมดยุคอาณานิคม พวกเขาจึงถูกมองไม่ต่างกับกาฝากที่เจ้าอาณานิคมทิ้งไว้ หนึ่งในนั้นคือการเนรเทศชาวอินเดียของ Idi Amin
(อาจจะไม่ได้ว่างมาเขียนทุกวัน ก็ต้องรอหน่อยนะครับ)
ภูมิบุตร และเรื่องราวทางเชื้อชาติในมาเลเซีย ตอนที่ 1
แต่ก่อนอื่นใด เราจะกล่าวถึงบุคคล 3 คนที่ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย และมีส่วนร่วมในการก่อร่างสร้างประเทศมาจนถึงทุกวันนี้
คนแรก ตุนกู อับดุล ระห์มัน หลายๆ คนน่าจะรู้จักดีอยู่แล้วว่าเป็นบิดาแห่งเอกราช ผู้สถาปนามาเลเซีย และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย
คนที่สอง ตันเช็งล็อก หรือชื่อจีนกลางคือ เฉิน เจิ้นหลู่ เป็นประธานสมาคมชาวจีนแห่งมาเลเซียคนแรก และมีส่วนร่วมต่อการเรียกร้องสิทธิชาวจีน
คนที่สาม คือ วี.ที. สัมบันทัน เป็นประธานสมาคมชาวอินเดียแห่งมาเลเซียคนที่ห้า มีส่วนร่วมต่อการเรียกร้องสิทธิของชาวอินเดียด้วยเช่นกันอีกคน
ทั้ง 3 คน เป็นผู้สถาปนาเอกราชของมาเลเซีย และเป็นตัวแทนทางประวัติศาสตร์ของแต่ละเชื้อชาติในมาเลเซียอย่างชาวมลายู ชาวจีน และอินเดีย
ชนชาติมลายู ตรงนี้ไม่พูดกันเยอะ เรารู้กันแล้วว่าพวกเขาคือชนชาติดั้งเดิมในดินแดนมลายู เป็นเชื้อชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซียมาแต่เดิม
ส่วนจีนกับอินเดีย มาจากที่ใด? ชาวจีนแน่นอนว่าอพยพมาจากจีนกันตั้งแต่โบราณ บางกลุ่มตั้งรกรากที่ไทย บางกลุ่มตั้งรกรากที่เวียดนาม กัมพูชา
โดยกลุ่มชาวจีนที่มาอยู่ในดินแดนมลายูมากที่สุดคือพวกฮกเกี้ยน รองลงมาคือชาวกวางตุ้ง และฮากกา ส่วนใหญ่ตั้งรกรากในนิคมช่องแคบมะละกา
ชาวฮกเกี้ยนส่วนใหญ่นิยมอาศัยอยู่แถบริมทะเล ดินแดนที่นิยมไปอยู่จึงมักติดกับทะเล รวมถึงในภาคใต้ไทยที่มีชาวฮกเกี้ยนเข้ามาตั้งรกรากกันอยู่
โดยกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาในช่วงหลังๆ และแยกอยู่กับชาวมลายู เริ่มตั้งแต่ยุคที่อังกฤษปกครอง ซึ่งเลือกไปอยู่นิคมช่องแคบอย่างปีนัง สิงคโปร์
ส่วนก่อนหน้านี้ เข้าใจว่ามาอยู่กับชาวมลายูแล้วรับศาสนาอิสลาม รับจารีตแบบมลายู ทิ้งประเพณีจีน มีลูกมีหลานและสืบเชื้อสายเป็นมลายูไปแล้ว
ทุกวันนี้เลยมีชาวมลายูหลายคนที่เข้าข่ายที่มักถูกล้อว่า "ชื่อแขก หน้าจีน" กันเยอะ คือชื่อแบบอิสลามอาหรับ แต่ใบหน้าละม้ายกับคนเชื้อสายจีน
ยกตัวอย่างเช่น อับดุลละห์ อาหมัด บาดาวี ซึ่งมีเชื้อสายชาวหุย หรือวัน อาซีซะห์ ภรรยาอันวาร์ อิบราฮีม ซึ่งเป็นชาวเปอรานากันหรือลูกครึ่งจีน
อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมาย ชาวมลายูเชื้อสายจีนที่นับถือศาสนาอิสลามและพูดภาษามลายูเป็นภาษาแม่ ยังเป็นชาวมลายูและมีสิทธิโดยปกติ
ส่วนชาวอินเดีย ถ้านับเฉพาะยุคหลังๆ ก็มาจากยุคอาณานิคมเช่นเดียวกัน แต่ตามประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อนยุคศาสนาอิสลาม ถือว่ามีอิทธิพลนาน
ตามประวัติศาสตร์ของรัฐเกดะห์ ระบุว่าจักรวรรดิโจฬะของพวกทมิฬทางตอนใต้ก็เคยบุกรุกเกดะห์ ยึดจากศรีวิชัยไปร้อยกว่าปีก่อนที่จะหายไป
ตามกฎหมาย คนเชื้อสายอินเดีย คือคนเชื้อสายอินเดียที่ไม่ได้พูดภาษามลายู ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม และมีบรรพบุรุษมาจากประเทศอินเดีย
คนเชื้อสายอินเดียส่วนใหญ่คือชาวทมิฬ ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ฝั่งทะเลเบงกอล ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแหลมมลายูโดยพอดี
อย่างไรก็ตาม ในกฎหมายภูมิบุตร ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม สามารถเป็นส่วนหนึ่งของภูมิบุตรได้แม้ว่าจะไม่ได้พูดภาษามลายูก็ตาม
กฎหมายภูมิบุตร ไม่ได้ถูกตราขึ้นหลังจากที่ได้รับเอกราชทันทีทันใด แต่เป็นผลความคิดของตุน อับดุล ราซะก์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนที่ 2
การตรากฎหมายดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวมลายู และชาวจีนกับอินเดียบ่อยๆ นับตั้งแต่ที่มีการประกาศเอกราช
สาเหตุหลักเป็นเพราะว่า ชาวมลายูมองว่าชาวจีนมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจมากไป ซึ่งมีหลายกรณีที่เกิดขึ้นคล้ายกันรวมถึงในพม่า
ทำไมถึงต้องกล่าวว่ามีหลายกรณี เพราะในหลายประเทศที่เป็นอาณานิคมอังกฤษ ล้วนมีชาวเอเชียอย่างอินเดียและจีนเข้าไปทำมาหากินกัน
เมื่อถึงช่วงหมดยุคอาณานิคม พวกเขาจึงถูกมองไม่ต่างกับกาฝากที่เจ้าอาณานิคมทิ้งไว้ หนึ่งในนั้นคือการเนรเทศชาวอินเดียของ Idi Amin
(อาจจะไม่ได้ว่างมาเขียนทุกวัน ก็ต้องรอหน่อยนะครับ)