ในค่ายทหารกรุงศรี...
ทับทิมตัดสินใจลักลอบเข้ามาในค่ายทหารเพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นชัดๆกับตาตนเองว่า ชายผู้ที่ตนมองเห็นมาแต่ไกลว่าคลับคล้ายคลับคลาจะใช่คนที่ตนคิดหรือไม่ ทับทิมใช้ความว่องไวในการหลบหลีกเหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามมาอย่างหวุดหวิด พุ่งตรงไปที่กระโจมของชายผู้นั้น...
ทับทิมมาหยุดอยู่ที่กระโจมที่หมาย ค่อยๆแง้มผ้าเปิดดูคนในกระโจม เขานอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนอุ่น ยิ่งได้มองจากตรงนี้ก็ยิ่งคล้าย ทับทิมตัดสินใจค่อยๆย่องเบาเข้าไปดูนายทหารกรุงศรีผู้นอนนิ่ง ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัด ทับทิมตกตะลึงในใบหน้าคุ้นเคยนี้ พลันก็เอื้อมไปสัมผัสที่เรือนหน้าของเขาอย่างเบามือ
เปลือกตาของสิงห์ค่อยๆเปิดออก ทับทิมสะดุ้งตกใจรีบชักมือออกแต่สิงห์คว้าไว้ได้ทัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างไม่ละสายตา หลายความรู้สึกที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวของคนทั้งคู่ ทั้งตกใจระคนดีใจที่ได้พบเจอ ความรู้สึกปะปนวิ่งชนกันในหัว หลากหลายคำถามผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ไม่รู้ใครจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามคำที่ค้างคาก่อน และไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาเช่นใด
“ข้าเห็นมันมาทางนี้แหละ ไม่ผิดแน่”
“เอ็งตาฝาดรึเปล่า”
“มิฝาดดอก ข้าเห็นมาทางนี้จริงๆ เห็นครั้งสุดท้ายที่หน้ากระโจมนี่แหละ” เสียงทหารเวรยามถกเถียงกันเรื่องมีคนลักลอบเข้ามา ทับทิมตกใจและกำลังคิดหาลู่ทางหลบหนี
“คุณสิงห์ขอรับ หลับแล้วรึขอรับ”
เสียงทหารเวรยามร้องเรียกสิงห์ พร้อมถกเถียงกันว่าให้เปิดกระโจมเข้าไปดูเผื่อมีคนลักลอบแอบเข้าไปในกระโจม สิงห์รีบฉุดทับทิมมานอนคลุมผ้าห่มไว้แนบกาย เพื่อเอาตัวรอดทับทิมจึงมิได้ขัดขืนยอมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนอุ่นกับสิงห์แต่โดยดี
ทหารสองนายเปิดกระโจมเข้ามาหาสิงห์ สิงห์แสร้งทำเป็นเพิ่งตื่นลืมตา...
“บุกเข้ามากระโจมข้า มีกระไรรึ”
“อภัยเถิดขอรับ กระผมเห็นว่ามีคนลักลอบมาทางกระโจมคุณสิงห์ เป็นห่วงจึงเข้ามาดูขอรับ” ทหารคนที่เห็นทับทิมรีบชิงขออภัย
“แล้วคุณสิงห์ไม่เห็นกระไรผิดสังเกตรึขอรับ” ทหารอีกนายถามความจากสิงห์ สิงห์ครุ่นคิดก่อนจะบอกทหารทั้งสองนาย
“ข้าเห็นมีเงาตะคุ่มๆไปทางด้านนู้น แต่แรกนึกว่าเป็นทหารเวรยาม หากพวกเอ็งบอกว่ามีคนลักลอบเข้ามา ก็คงจะหนีไปทางนั้น รีบไปดูเร็ว แต่พวกเอ็งอย่าพึ่งบอกใครให้แตกตื่น ไปดูให้เห็นแน่เสียก่อน รีบไปเถิด”
สิงห์หลอกล่อให้ทหารทั้งสองนายออกไปจากกระโจม เพราะเป็นห่วงกลัวทับทิมจะโดนจับได้ ทหารทั้งสองนายรับคำสั่ง รีบออกไปจากกระโจมตามจับผู้ลักลอบเข้าค่ายทหารในทันที
สิงห์ลุกเดินไปดูด้านนอกว่ามีผู้ใดอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดทหารแล้ว จึงกลับมาเพื่อจะปรับความเข้าใจกับทับทิม แต่สายไปเสียแล้ว ทับทิมได้หนีออกไปทางด้านข้างกระโจม ทิ้งไว้แต่ผ้าห่มผืนเดิม สิงห์ตกใจด้วยกลัวทับทิมจะถูกจับได้ จึงวิ่งไปดูทางหนีทีไล่ของทับทิม ทันเห็นข้างหลังไวๆ และเพราะยังไม่ทันได้ถามไถ่อะไรกันทับทิมก็หนีไปเช่นนี้ทำให้สิงห์ร้อนรนยิ่งนัก กลัวทับทิมจะคิดกับตนเปลี่ยนไป ความกลัดกลุ้มชั่วขณะทำให้สิงห์ตัดสินใจควบม้าออกไปตามหลังทับทิมในทันที
00000000
ทางด้านเพลิงกับเข้มที่ตามทับทิมลอบเข้ามาค่ายทหารด้วยความห่วงน้อง แต่ก็ดันได้ไปหลบทหารอยู่ข้างกระโจมของออกญาเสนาภิมุข ซึ่งกำลังวางแผนกับออกญากำแหงสงครามและจมื่นสรรเพชญ์ภักดี เรื่องการเข้าตีชาวเมืองเพชรบุรีเพื่อบุกชิงตัวพระพันปีศรีศิลป์ ผู้ที่ในตอนนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกบฎอย่างเต็มตัวแล้ว
“เราจักต้องรีบนำความไปบอกออกหลวงมงคลถึงแผนการตีเมืองเพชรนี้โดยเร็ว” เพลิงกระซิบกับเข้ม เข้มพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ทับทิมมันไปหลบอยู่ที่ใดกันวะ เสี่ยงตายเข้ามาช่างไม่รักชีวิตเสียเลย” เพลิงบ่นที่ทับทิมเสี่ยงบุกเข้ามาที่ค่ายนี้
“นั่นไง นังทับทิมมันเผ่นออกไปแล้ว”
เข้มรีบชี้ให้เพลิงดู ทั้งคู่จึงรีบพากันจะออกไปจากค่าย แต่ทันใดนั้น ทหารเวรยามก็พากันกรูเข้ามาล้อมจับทั้งคู่ คงเป็นเพราะความเคราะห์ร้าย ทางที่สิงห์หลอกล่อให้นายทหารเวรยามไปเพื่อปกป้องทับทิมไว้กลับกลายเป็นทางชี้ชะตาให้เข้มและเพลิงให้ต้องตกอยู่ในอันตราย
00000000
ทับทิมควบม้าที่แอบผูกไว้แถวค่ายหนีออกมาในทันที เมื่อเห็นว่าสิงห์ตามมาก็ยิ่งเร่งความเร็วเพื่อให้หนีพ้น เมื่อแน่ใจว่าหนีพ้นแล้วจึงหยุดพักอยู่ที่นอกค่าย จิตใจฟุ้งซ่านเรื่องที่พบกับสิงห์ในครานี้ ความว้าวุ่นถาโถมเข้ามาให้เหนื่อยใจยิ่งนัก คำถามยังคงวนเวียนอยู่ซ้ำซาก เหตุใดเขาถึงมาอยู่ในกองทัพกรุงศรีได้ และก็เท่ากับว่าเขาคือศัตรูของเธอด้วยหรือ ทับทิมคิดสับสนจนปวดหัว กุมขมับแน่น น้ำตาคลอมารอที่เปลือกตาแล้ว แต่ทับทิมก็ฝืนมันไว้ไม่อยากให้ไหลออกมา
เสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมาแต่ไกล ทับทิมคาดว่าคงจะเป็นเพลิงจึงปาดน้ำตารอเจอหน้าพี่ชาย ม้าสีหมอกวิ่งตรงดิ่งมาหาหญิงสาว ทว่าคนบนหลังม้าเป็นสิงห์ไม่ใช่เพลิง
“ยังมีหน้าตามข้ามาอีกรึไอ้สิงห์...ไม่ใช่สิ...ไอ้คุณสิงห์”
“ฉันอยากอธิบาย ทับทิมต้องฟังฉันก่อนนะ”
“ไม่มีกระไรต้องพูดแล้ว และข้าไม่ฟัง ไม่ว่ากระไรที่เอ็งอยากพูด แต่ข้าไม่อยากฟัง เอ็งมาทางไหน เอ็งก็จงไสหัวกลับไปทางที่เอ็งมา!”
ทับทิมไล่สิงห์ไปให้พ้นๆสิงห์ใจเสียและไม่ยอมไปจากทับทิม สิงห์เข้าไปกอดรัดทับทิมไว้แนบแน่น ทับทิมสะบัดอ้อมกอดนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ไอ้คนหลอกลวง นี่รึลูกพ่อค้า เหตุใดมาอยู่ที่นี่ได้เล่า เอ็งมาค้ามาขายหรืออย่างไร ไอ้คุณสิงห์...ไอ้คนโกหก...เอ็งหลอกข้า...เอ็งหลอกพวกเราทุกคน ออกไป...ข้าบอกให้ออกไป!” ทับทิมตะโกนไล่เสียงสั่นเครือ แต่สิงห์ยังไม่ยอมไปและจะโผเข้าหาทับทิมอีกครั้ง ทับทิมจึงชักดาบออกมาด้วยความโมโห
“หากเอ็งก้าวเข้ามาแม้เพียงก้าวเดียว ดาบในมือข้าได้ดื่มเลือดเอ็งเป็นแน่ คอเอ็งจะขาดกระเด็นเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่ “ แววตาดุดันเอาจริงของทับทิมทำให้สิงห์ไม่กล้าเข้าใกล้
“นับแต่นี้ไป ข้ากับเอ็ง...ตัดขาดกัน...ไม่ต้องหลงเหลือเยื่อใยกระไรอีก” ทับทิมกัดฟันตัดขาด สิงห์พูดไม่ออก ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามามากมาย
“ครานี้ข้าจะไม่ทำกระไร จะปล่อยให้เอ็งกลับไปที่ค่ายทหารกรุงศรีของเอ็ง...แต่คราหน้าหากพบกันที่สนามรบ...เราคือศัตรู”
ทับทิมเก็บดาบเข้าฝักก่อนจะรีบควบม้าเข้าค่ายเมืองเพชรไปในทันที ปล่อยให้สิงห์ยืนบ้าคลั่งอยู่ ณ ตรงนั้น...
00000000
ในมุมหนึ่งของค่ายเมืองเพชรบุรี ทับทิมมานั่งอยู่ที่มุมอับมุมหนึ่ง แอบร้องไห้เพียงลำพัง ความผิดหวังในตัวสิงห์ผู้ที่ทับทิมไม่เคยคิดว่าตนจะต้องมานั่งเสียใจเพราะเขา แต่บัดนี้นอกจากจะต้องมาพบว่าเขาหลอกลวงตนมาตลอดแล้ว การมันกลับตาลปัดยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเขาคือทหารกรุงศรีที่จะบุกมาตีเมืองเพชรในไม่กี่วันนี้แล้ว
ทับทิมฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงรีบออกตามหาเพลิงกับเข้มเพื่อจะปรึกษาหารือแต่ก็ไม่พบเจอคนทั้งคู่แม้แต่เงา จนครูเที่ยงเดินมาตามลูกสาวไปกินข้าวปลา ทับทิมเห็นหน้าพ่อก็อึกอักไม่รู้จะบอกเรื่องค่ายทหารกรุงศรีที่มาประชิดเมืองเพชรดีหรือไม่ เพราะตนยังหวังใจจะพาพ่อหนีกลับวิเศษชัยชาญ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับศึกครั้งนี้ ครูเที่ยงตั้งใจจะมาบอกกล่าวลูกสาวถึงเรื่องที่ตนกังวล เมื่อกินข้าวกินปลากันเสร็จครูเที่ยงจึงเริ่มบทสนทนา...
“พ่อได้ยินออกหลวงมงคลคาดเดารายชื่อผู้ที่จะมาจับกุมตัวพระพันปีศรีศิลป์ มีอยู่ผู้หนึ่งที่พ่อหวั่นใจยิ่งนัก”
“ใครรึ” ทับทิมยิ่งสงสัยในเรื่องที่พ่อหนักใจ
“จมื่นสรรเพชญ์ภักดี” ครูเที่ยงเอ่ยชื่อนี้ออกมาอย่างหนักแน่น เสมือนว่าจำได้ขึ้นใจ
“จมื่นผู้นี้เก่งกาจนักรึ เหตุใดต้องหวั่นใจ มิใช่ออกญาศรีวรวงศ์ดอกรึที่น่าเกรงกลัวที่สุดในยามนี้” ทับทิมเอ่ยถาม
“จมื่นผู้นี้มิใช่ผู้น่าเกรงกลัวดอก แต่เป็นผู้ที่เอ็งจะต้องห้ามเข้าต่อสู้ด้วยโดยเด็ดขาด...ทับทิมเอ็งให้คำมั่นกับพ่อ ว่าหากต้องจับดาบหันใส่กองทัพทหารกรุงศรี เอ็งห้ามแตะต้องจมื่นผู้นี้เป็นอันขาด” ครูเที่ยงคาดคั้นให้ลูกรับปาก ทับทิมไม่เข้าใจพ่อเลยสักนิดว่าเหตุใดต้องสั่งเช่นนั้น...
“จมื่นผู้นี้เคยมีคุณกับฉันรึ เหตุใดฉันจำกระไรมิได้เลย”
“ไม่มีก็เหมือนมี!”
๐๐๐๐๐๐๐๐
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๕ เมื่อตัวตนถูกเปิดเผย...
ทับทิมตัดสินใจลักลอบเข้ามาในค่ายทหารเพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นชัดๆกับตาตนเองว่า ชายผู้ที่ตนมองเห็นมาแต่ไกลว่าคลับคล้ายคลับคลาจะใช่คนที่ตนคิดหรือไม่ ทับทิมใช้ความว่องไวในการหลบหลีกเหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามมาอย่างหวุดหวิด พุ่งตรงไปที่กระโจมของชายผู้นั้น...
ทับทิมมาหยุดอยู่ที่กระโจมที่หมาย ค่อยๆแง้มผ้าเปิดดูคนในกระโจม เขานอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนอุ่น ยิ่งได้มองจากตรงนี้ก็ยิ่งคล้าย ทับทิมตัดสินใจค่อยๆย่องเบาเข้าไปดูนายทหารกรุงศรีผู้นอนนิ่ง ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัด ทับทิมตกตะลึงในใบหน้าคุ้นเคยนี้ พลันก็เอื้อมไปสัมผัสที่เรือนหน้าของเขาอย่างเบามือ
เปลือกตาของสิงห์ค่อยๆเปิดออก ทับทิมสะดุ้งตกใจรีบชักมือออกแต่สิงห์คว้าไว้ได้ทัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างไม่ละสายตา หลายความรู้สึกที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวของคนทั้งคู่ ทั้งตกใจระคนดีใจที่ได้พบเจอ ความรู้สึกปะปนวิ่งชนกันในหัว หลากหลายคำถามผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ไม่รู้ใครจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามคำที่ค้างคาก่อน และไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาเช่นใด
“ข้าเห็นมันมาทางนี้แหละ ไม่ผิดแน่”
“เอ็งตาฝาดรึเปล่า”
“มิฝาดดอก ข้าเห็นมาทางนี้จริงๆ เห็นครั้งสุดท้ายที่หน้ากระโจมนี่แหละ” เสียงทหารเวรยามถกเถียงกันเรื่องมีคนลักลอบเข้ามา ทับทิมตกใจและกำลังคิดหาลู่ทางหลบหนี
“คุณสิงห์ขอรับ หลับแล้วรึขอรับ”
เสียงทหารเวรยามร้องเรียกสิงห์ พร้อมถกเถียงกันว่าให้เปิดกระโจมเข้าไปดูเผื่อมีคนลักลอบแอบเข้าไปในกระโจม สิงห์รีบฉุดทับทิมมานอนคลุมผ้าห่มไว้แนบกาย เพื่อเอาตัวรอดทับทิมจึงมิได้ขัดขืนยอมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนอุ่นกับสิงห์แต่โดยดี
ทหารสองนายเปิดกระโจมเข้ามาหาสิงห์ สิงห์แสร้งทำเป็นเพิ่งตื่นลืมตา...
“บุกเข้ามากระโจมข้า มีกระไรรึ”
“อภัยเถิดขอรับ กระผมเห็นว่ามีคนลักลอบมาทางกระโจมคุณสิงห์ เป็นห่วงจึงเข้ามาดูขอรับ” ทหารคนที่เห็นทับทิมรีบชิงขออภัย
“แล้วคุณสิงห์ไม่เห็นกระไรผิดสังเกตรึขอรับ” ทหารอีกนายถามความจากสิงห์ สิงห์ครุ่นคิดก่อนจะบอกทหารทั้งสองนาย
“ข้าเห็นมีเงาตะคุ่มๆไปทางด้านนู้น แต่แรกนึกว่าเป็นทหารเวรยาม หากพวกเอ็งบอกว่ามีคนลักลอบเข้ามา ก็คงจะหนีไปทางนั้น รีบไปดูเร็ว แต่พวกเอ็งอย่าพึ่งบอกใครให้แตกตื่น ไปดูให้เห็นแน่เสียก่อน รีบไปเถิด”
สิงห์หลอกล่อให้ทหารทั้งสองนายออกไปจากกระโจม เพราะเป็นห่วงกลัวทับทิมจะโดนจับได้ ทหารทั้งสองนายรับคำสั่ง รีบออกไปจากกระโจมตามจับผู้ลักลอบเข้าค่ายทหารในทันที
สิงห์ลุกเดินไปดูด้านนอกว่ามีผู้ใดอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดทหารแล้ว จึงกลับมาเพื่อจะปรับความเข้าใจกับทับทิม แต่สายไปเสียแล้ว ทับทิมได้หนีออกไปทางด้านข้างกระโจม ทิ้งไว้แต่ผ้าห่มผืนเดิม สิงห์ตกใจด้วยกลัวทับทิมจะถูกจับได้ จึงวิ่งไปดูทางหนีทีไล่ของทับทิม ทันเห็นข้างหลังไวๆ และเพราะยังไม่ทันได้ถามไถ่อะไรกันทับทิมก็หนีไปเช่นนี้ทำให้สิงห์ร้อนรนยิ่งนัก กลัวทับทิมจะคิดกับตนเปลี่ยนไป ความกลัดกลุ้มชั่วขณะทำให้สิงห์ตัดสินใจควบม้าออกไปตามหลังทับทิมในทันที
ทางด้านเพลิงกับเข้มที่ตามทับทิมลอบเข้ามาค่ายทหารด้วยความห่วงน้อง แต่ก็ดันได้ไปหลบทหารอยู่ข้างกระโจมของออกญาเสนาภิมุข ซึ่งกำลังวางแผนกับออกญากำแหงสงครามและจมื่นสรรเพชญ์ภักดี เรื่องการเข้าตีชาวเมืองเพชรบุรีเพื่อบุกชิงตัวพระพันปีศรีศิลป์ ผู้ที่ในตอนนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกบฎอย่างเต็มตัวแล้ว
“เราจักต้องรีบนำความไปบอกออกหลวงมงคลถึงแผนการตีเมืองเพชรนี้โดยเร็ว” เพลิงกระซิบกับเข้ม เข้มพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ทับทิมมันไปหลบอยู่ที่ใดกันวะ เสี่ยงตายเข้ามาช่างไม่รักชีวิตเสียเลย” เพลิงบ่นที่ทับทิมเสี่ยงบุกเข้ามาที่ค่ายนี้
“นั่นไง นังทับทิมมันเผ่นออกไปแล้ว”
เข้มรีบชี้ให้เพลิงดู ทั้งคู่จึงรีบพากันจะออกไปจากค่าย แต่ทันใดนั้น ทหารเวรยามก็พากันกรูเข้ามาล้อมจับทั้งคู่ คงเป็นเพราะความเคราะห์ร้าย ทางที่สิงห์หลอกล่อให้นายทหารเวรยามไปเพื่อปกป้องทับทิมไว้กลับกลายเป็นทางชี้ชะตาให้เข้มและเพลิงให้ต้องตกอยู่ในอันตราย
ทับทิมควบม้าที่แอบผูกไว้แถวค่ายหนีออกมาในทันที เมื่อเห็นว่าสิงห์ตามมาก็ยิ่งเร่งความเร็วเพื่อให้หนีพ้น เมื่อแน่ใจว่าหนีพ้นแล้วจึงหยุดพักอยู่ที่นอกค่าย จิตใจฟุ้งซ่านเรื่องที่พบกับสิงห์ในครานี้ ความว้าวุ่นถาโถมเข้ามาให้เหนื่อยใจยิ่งนัก คำถามยังคงวนเวียนอยู่ซ้ำซาก เหตุใดเขาถึงมาอยู่ในกองทัพกรุงศรีได้ และก็เท่ากับว่าเขาคือศัตรูของเธอด้วยหรือ ทับทิมคิดสับสนจนปวดหัว กุมขมับแน่น น้ำตาคลอมารอที่เปลือกตาแล้ว แต่ทับทิมก็ฝืนมันไว้ไม่อยากให้ไหลออกมา
เสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมาแต่ไกล ทับทิมคาดว่าคงจะเป็นเพลิงจึงปาดน้ำตารอเจอหน้าพี่ชาย ม้าสีหมอกวิ่งตรงดิ่งมาหาหญิงสาว ทว่าคนบนหลังม้าเป็นสิงห์ไม่ใช่เพลิง
“ยังมีหน้าตามข้ามาอีกรึไอ้สิงห์...ไม่ใช่สิ...ไอ้คุณสิงห์”
“ฉันอยากอธิบาย ทับทิมต้องฟังฉันก่อนนะ”
“ไม่มีกระไรต้องพูดแล้ว และข้าไม่ฟัง ไม่ว่ากระไรที่เอ็งอยากพูด แต่ข้าไม่อยากฟัง เอ็งมาทางไหน เอ็งก็จงไสหัวกลับไปทางที่เอ็งมา!”
ทับทิมไล่สิงห์ไปให้พ้นๆสิงห์ใจเสียและไม่ยอมไปจากทับทิม สิงห์เข้าไปกอดรัดทับทิมไว้แนบแน่น ทับทิมสะบัดอ้อมกอดนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ไอ้คนหลอกลวง นี่รึลูกพ่อค้า เหตุใดมาอยู่ที่นี่ได้เล่า เอ็งมาค้ามาขายหรืออย่างไร ไอ้คุณสิงห์...ไอ้คนโกหก...เอ็งหลอกข้า...เอ็งหลอกพวกเราทุกคน ออกไป...ข้าบอกให้ออกไป!” ทับทิมตะโกนไล่เสียงสั่นเครือ แต่สิงห์ยังไม่ยอมไปและจะโผเข้าหาทับทิมอีกครั้ง ทับทิมจึงชักดาบออกมาด้วยความโมโห
“หากเอ็งก้าวเข้ามาแม้เพียงก้าวเดียว ดาบในมือข้าได้ดื่มเลือดเอ็งเป็นแน่ คอเอ็งจะขาดกระเด็นเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่ “ แววตาดุดันเอาจริงของทับทิมทำให้สิงห์ไม่กล้าเข้าใกล้
“นับแต่นี้ไป ข้ากับเอ็ง...ตัดขาดกัน...ไม่ต้องหลงเหลือเยื่อใยกระไรอีก” ทับทิมกัดฟันตัดขาด สิงห์พูดไม่ออก ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามามากมาย
“ครานี้ข้าจะไม่ทำกระไร จะปล่อยให้เอ็งกลับไปที่ค่ายทหารกรุงศรีของเอ็ง...แต่คราหน้าหากพบกันที่สนามรบ...เราคือศัตรู”
ทับทิมเก็บดาบเข้าฝักก่อนจะรีบควบม้าเข้าค่ายเมืองเพชรไปในทันที ปล่อยให้สิงห์ยืนบ้าคลั่งอยู่ ณ ตรงนั้น...
ในมุมหนึ่งของค่ายเมืองเพชรบุรี ทับทิมมานั่งอยู่ที่มุมอับมุมหนึ่ง แอบร้องไห้เพียงลำพัง ความผิดหวังในตัวสิงห์ผู้ที่ทับทิมไม่เคยคิดว่าตนจะต้องมานั่งเสียใจเพราะเขา แต่บัดนี้นอกจากจะต้องมาพบว่าเขาหลอกลวงตนมาตลอดแล้ว การมันกลับตาลปัดยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเขาคือทหารกรุงศรีที่จะบุกมาตีเมืองเพชรในไม่กี่วันนี้แล้ว
ทับทิมฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงรีบออกตามหาเพลิงกับเข้มเพื่อจะปรึกษาหารือแต่ก็ไม่พบเจอคนทั้งคู่แม้แต่เงา จนครูเที่ยงเดินมาตามลูกสาวไปกินข้าวปลา ทับทิมเห็นหน้าพ่อก็อึกอักไม่รู้จะบอกเรื่องค่ายทหารกรุงศรีที่มาประชิดเมืองเพชรดีหรือไม่ เพราะตนยังหวังใจจะพาพ่อหนีกลับวิเศษชัยชาญ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับศึกครั้งนี้ ครูเที่ยงตั้งใจจะมาบอกกล่าวลูกสาวถึงเรื่องที่ตนกังวล เมื่อกินข้าวกินปลากันเสร็จครูเที่ยงจึงเริ่มบทสนทนา...
“พ่อได้ยินออกหลวงมงคลคาดเดารายชื่อผู้ที่จะมาจับกุมตัวพระพันปีศรีศิลป์ มีอยู่ผู้หนึ่งที่พ่อหวั่นใจยิ่งนัก”
“ใครรึ” ทับทิมยิ่งสงสัยในเรื่องที่พ่อหนักใจ
“จมื่นสรรเพชญ์ภักดี” ครูเที่ยงเอ่ยชื่อนี้ออกมาอย่างหนักแน่น เสมือนว่าจำได้ขึ้นใจ
“จมื่นผู้นี้เก่งกาจนักรึ เหตุใดต้องหวั่นใจ มิใช่ออกญาศรีวรวงศ์ดอกรึที่น่าเกรงกลัวที่สุดในยามนี้” ทับทิมเอ่ยถาม
“จมื่นผู้นี้มิใช่ผู้น่าเกรงกลัวดอก แต่เป็นผู้ที่เอ็งจะต้องห้ามเข้าต่อสู้ด้วยโดยเด็ดขาด...ทับทิมเอ็งให้คำมั่นกับพ่อ ว่าหากต้องจับดาบหันใส่กองทัพทหารกรุงศรี เอ็งห้ามแตะต้องจมื่นผู้นี้เป็นอันขาด” ครูเที่ยงคาดคั้นให้ลูกรับปาก ทับทิมไม่เข้าใจพ่อเลยสักนิดว่าเหตุใดต้องสั่งเช่นนั้น...
“จมื่นผู้นี้เคยมีคุณกับฉันรึ เหตุใดฉันจำกระไรมิได้เลย”
“ไม่มีก็เหมือนมี!”
โปรดติดตามตอนต่อไป