จุกเดินตามทับทิมมา เห็นทับทิมซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ ทำท่าเหมือนสอดแนมอะไรอยู่ จุกจึงเข้าไปสะกิด ทับทิมทำสัญญาณว่าให้เงียบ จุกมองออกไปข้างหน้า เห็นแขกคนสำคัญของครูเที่ยงกับบังอร ผู้ที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนนานมากแล้ว แต่ในวันนี้กลับมาเยี่ยมเยียนถึงเรือนอีกครา ทับทิมเห็นสีหน้าผู้เป็นพ่อที่ต้อนรับขับสู้แขกคนสำคัญผู้นี้ ก็สังหรณ์ใจอยู่ลึกๆว่าต้องมีเรื่องบางอย่าง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นกิจอันใด...
แขกคนสำคัญที่ทับทิมกับจุกกล่าวถึงคือ ออกหลวงมงคล มีศักดินา ๒๔๐๐ ไร่ แต่มีความสามารถไม่ค่อยตรงกับตำแหน่งที่ได้รับ คือเป็นผู้มีพละกำลังที่แข่งแกร่ง มีความสามารถทางการรบการต่อสู้ กล้าหาญ และเป็นผู้มีวิชาอาคมฟันแทงไม่เข้า ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถืออย่างกว้างขวาง
ออกหลวงมงคลผู้นี้เป็นพี่ชายของบังอร เป็นผู้ที่คอยเกื้อหนุนครอบครัวของครูเที่ยงมาโดยตลอด อบเชยเอาน้ำและของว่างเข้ามาต้อนรับ ออกหลวงจึงทักทายหลานสาวว่าโตแล้วสวยเหมือนแม่ไม่มีผิด และดูจะอ่อนหวานกว่าด้วยซ้ำ บังอรทำสีหน้าเคืองพี่ชาย ก่อนจะขอตัวเพราะออกหลวงมงคลมีเรื่องอยากคุยกับครูเที่ยงเป็นการส่วนตัว
“ออกหลวงมีกระไรจะให้ฉันรับใช้ ฉันยินดีนัก ออกหลวงมีบุญคุณกับฉันแลลูกเมียท่วมหัว หากฉันได้ตอบแทนบ้าง ฉันก็นอนตายตาหลับแล้ว”
“เอ็งพูดเหมือนเข้าไปนั่งอ่านใจข้านัก ใช่แล้ว...ข้ามาครานี้ มีเรื่องต้องขอแรงเอ็ง”
“มีกระไรให้ฉันช่วย ฉันเต็มใจจะรับใช้ออกหลวงจนสุดกำลัง”
“ข้าอยากได้คนมีฝีมือและไว้ใจได้ เห็นว่าเอ็งมีลูกศิษย์ลูกหาฝีมือดีอยู่มากนัก หากได้เอ็งช่วย กิจของข้าก็คงไร้กังวล”
“แล้วกิจที่ว่า...คือกิจอันใดฤาออกหลวง”
“ตอนนี้ยังไม่มีกระไรดอก แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าในวันหน้าจะเกิดเหตุร้ายกับพระพันปีศรีศิลป์ จึงอยากให้เอ็งฝึกคนไว้ให้เตรียมพร้อม หากวันหน้าเกิดเหตุมิดีมิร้ายขึ้นจริง จักได้ช่วยเป็นเกราะคุ้มภัยให้พระพันปีศรีศิลป์ให้รอดพ้นจากพวกปองร้าย”
“ตอนนี้ท่านผนวชอยู่มิใช่รึ ยังจะมีคนกล้าคิดปองร้ายได้เยี่ยงไรกัน”
“ก็ไม่แน่ดอก แผ่นดินกำลังจะถูกเปลี่ยน...จะไว้ใจสิ่งไรได้เล่า เอ็งทำตามคำข้า จัดหาคนไว้ให้ดี ฝึกซ้อมพวกมันให้แข็งแกร่ง หากข้าต้องใช้งานพวกเอ็งวันใด จะส่งม้าเร็วมาบอกข่าว”
“การนี้ข้าต้องการคนที่ไว้ใจได้ ก็เห็นจะมีแต่เอ็งนะไอ้เที่ยง” ออกหลวงมงคลบอกกล่าวอย่างจริงจัง
ครูเที่ยงรับคำ ออกหลวงมงคลจึงขอตัวกลับไป พ้นหลังออกหลวงมงคลครูเที่ยงก็วิตกหนักกับภาระหน้าที่ที่พึ่งได้รับ หากเป็นครูเที่ยงที่ต้องเป็นเกราะป้องกันภัยให้พระศรีศิลป์แต่เพียงผู้เดียว แม้แต่ชีวิตก็ยอมยกให้ได้ แต่นี่ออกหลวงมงคลต้องการกำลังจากลูกศิษย์ที่สำหรับครูเที่ยงแล้ว ศิษย์ทุกคนเปรียบเสมือนลูกหลาน หากต้องมาเสียเลือดเนื้อเพราะการนี้ก็คงสลดใจยิ่งนัก
ทับทิมสังเกตการณ์อยู่ก็รับรู้ได้ว่าผิดปกติจากทุกคราที่ออกหลวงมงคลมาเยือน ทั้งสีหน้าครูเที่ยงที่แผ่รังสีความกังวลออกมา แต่เงี่ยหูฟังเท่าใดก็ฟังไม่ได้ศัพท์นัก ครั้นจะเข้าไปถามเลยก็ดูสีหน้าผู้เป็นพ่อคงจะไม่มีคำตอบใดให้เป็นแน่
“ออกหลวงกระไรนี่น่ากลัวนัก รอยสักเต็มตัวเหมือนพวกอยู่ยงคงกระพัน “ จุกออกความเห็นวิจารณ์ออกหลวงมงคล
“พ่อข้ากับพี่เพลิงก็มีรอยสักเต็มแผ่นหลัง เอ็งไม่กลัวรึ” ทับทิมซักจุก
“มันต่างกันนะพี่ ครูเที่ยงกับพี่เพลิงไม่ได้มีแววตาดุร้ายน่าเกรงขามเท่าออกหลวงผู้นี้แม้แต่น้อย” จุกยังคงยืนกรานว่าออกหลวงมงคลผู้นี้น่าเกรงขามเป็นที่สุด
“ออกหลวงมงคลกระไรนี่มีศักดิ์เป็นลุงพี่ไม่ใช่รึ เหตุใดพี่ไม่ออกไปต้อนรับเล่า”
“เป็นลุงนังอบเชยมัน ไม่เกี่ยวกับข้าดอก”
“แต่ครูเที่ยงดูเคารพนับถือออกหลวงผู้นี้นัก”
“ใช่ พ่อจะพูดอยู่เสมอ ว่าออกหลวงมงคลเป็นผู้มีพระคุณต่อพ่อมาก ชาตินี้ต้องหาทางทดแทน แต่ออกหลวงมงคลมาครานี้เห็นท่าไม่ดีนัก จักต้องมีเรื่องอันใดให้พ่อทำเป็นแน่ ข้าจะต้องรู้ให้ได้”
ในขณะที่ทับทิมกำลังตั้งข้อสงสัยอยู่นั้น ครูเที่ยงก็กำลังจุกอกกับคำว่า ทดแทนบุญคุณ ก่อนจะหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง
18 ปีก่อน... ณ ท่าช้าง เมืองสิงห์บุรี
ทิพย์ เมียรักของครูเที่ยงซึ่งกำลังท้องแก่ใกล้คลอดกำลังนั่งหวีผมให้ทับทิม ลูกสาววัย 4 ขวบปี
“พี่เที่ยงจะไปไหนหรือจ๊ะ” ทิพย์เอ่ยถามผัวรักเพราะเห็นเร่งรีบจะออกจากเรือน ทั้งที่ดวงตะวันก็คล้อยต่ำลงไปทุกทีแล้ว
“พี่เกิดเปรี้ยวปาก อยากกินแกงปลาช่อน พี่จะไปหว่านแหจับมาแกงให้เอ็งกิน สักประเดี๋ยวคงได้มาหลายตัว”
“รีบไปรีบมานะจ๊ะพี่ จะมืดจะค่ำอยู่แล้ว ฉันเป็นห่วง” เที่ยงรับคำเมียรัก ก่อนจะรีบถือแหเครื่องมือหากินคู่กายเดินมุ่งหน้าออกไป
“ฝนแรก น้ำดี ปลาชุกชุมนัก เย็นนี้ล่ะข้าจะทำแกงให้ลูกให้เมียกินจนอิ่มท้อง” เที่ยงมองดูปลาช่อนท้องอวบก็เกิดเปรี้ยวปากอยากกินไข่มันมากนัก ยิ่งเพลิดเพลินกับการหว่านแหจนเวลาล่วงเลย...
ในขณะเดียวกัน ทิพย์จะลุกไปหุงข้าวรอผัวรัก ก็เกิดน้ำคร่ำแตก ทิพย์ตกใจและก็เริ่มปวดท้องจะคลอด ทิพย์ส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความทรมาน ทับทิมเห็นแม่ร้องก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ทับทิม ไปเรียกป้าแก้วมาช่วยแม่ที บอกว่าแม่จะคลอดแล้ว เร็วๆนะลูก” ทับทิมในวัยเด็กรีบวิ่งลงจากเรือนไปที่บ้านป้าแก้วคนข้างบ้านในทันที
“ป้าแก้วจ๊ะ...ป้าแก้ว”
“อ้าว นังทับทิม มีกระไรรึ ร้องแหกปากลั่นบ้าน”
“ช่วยแม่ด้วย ช่วยแม่ฉันด้วย” ทับทิมพูดด้วยความเหนื่อยหอบ
“แม่เอ็งเป็นกระไรรึ รึมันจะคลอดลูกแล้ว”
“ใช่จ๊ะๆ ป้ารีบไปดูแม่เร็ว” ทับทิมคว้ามือป้าแก้วให้วิ่งไปดูทิพย์ด้วยความร้อนรน
เมื่อแก้วผู้ที่เคยเป็นหมอตำแยเก่ามาถึง ก็เห็นทิพย์ในสภาพทุรนทุราย แก้วรีบผูกเชือกไว้ให้ทิพย์จับ ก่อนจะสั่งให้ทับทิมไปตามเพื่อนบ้านมาช่วยต้มน้ำร้อน ทับทิมรีบวิ่งออกไปตามคำสั่ง
“ไอ้เที่ยงมันไปมุดหัวอยู่ที่ใดกัน ทำไมปล่อยเมียท้องแก่ใกล้คลอดไว้ลำพังเช่นนี้”
แก้วส่ายหัวเอือมระอาที่เที่ยงไม่ได้อยู่ดูแลเมีย ก่อนจะหันมาสั่งให้ทิพย์หายใจเข้าออก และเบ่งลูกอย่างเป็นจังหวะ เพื่อนบ้านใกล้เคียงสามสี่คนที่ทับทิมเรียกมาเริ่มมาถึง ก็แบ่งหน้าที่กันต้มน้ำและเตรียมของรอรับเด็กกันอย่างขะมักเขม้น แต่ทิพย์นั้นหน้าซีดเซียวนัก อาการไม่สู้ดี เลือดก็ไหลทะลักออกมาไม่ยอมหยุด แต่ลูกน้อยก็ไม่มีวี่แววจะยอมโผล่หัวออกมา ทิพย์ส่งเสียงร้องโอดโอย เจ็บจนเจียนจะขาดใจ
ในขณะเดียวกัน เที่ยงที่ได้ปลามากพอควรแล้วก็เดินทางกลับบ้านมาหาลูกเมีย แต่ไม่ทันการเสียแล้ว...เมื่อลมหายใจสุดท้ายของทิพย์หมดลงก่อนที่ผัวรักจะกลับมาถึงบ้านเพียงไม่กี่ก้าว ภาพแรกที่เห็นหน้าเมียรักนอนหมดลมหายใจจมกองเลือดทำเอาเที่ยงแทบคลั่ง เขาวิ่งไปกอดศพอุ่นๆของเมียรัก กรีดร้องเสียงหลงเหมือนคนบ้า ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็สลดไปตามๆกัน ทับทิมเองก็ร้องไห้ไม่หยุดจนแก้วต้องกอดปลอบขวัญหลานตัวน้อยที่พึ่งเสียแม่ไปอย่างกะทันหัน
ร่างของทิพย์ถูกฝังไว้ที่หลังบ้าน เพราะถือว่าเป็นการตายโหง แก้วจึงรีบสั่งให้สามีไปขุดหลุมฝังศพทิพย์ เพราะเที่ยงคงไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดแล้ว เมื่อยังคงรับไม่ได้กับการจากไปอย่างกะทันหันของเมียรัก เที่ยงจึงเอาแต่กินเหล้าเมามาย นอนเกลือกดินยุหน้าบ้าน ส่วนทับทิมนั้นแก้วสงสารหลานจึงเอาไปนอนด้วย
แสงตะเกียงค่อยๆริบหรี่ เที่ยงจึงเอาน้ำมันตะเกียงมาเติมแต่ด้วยความเมามายเที่ยงจึงพลัดทำตะเกียงหลุดมือ ไฟค่อยๆลุกลามขึ้นทีละนิดจนลุกไหม้ลามไปทั้งหลัง เที่ยงในสภาพเมามายนอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ
“นั่นมันไฟกระไรนั่น ใครมาเผากระไรยามดึกดื่นเยี่ยงนี้” แก้วลุกขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงไฟลุกไหม้ และก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นที่มาของควันโขมงกลุ่มใหญ่
“พี่กล้า ตื่นเร็ว ไฟไหม้บ้านไอ้เที่ยง” แก้วรีบปลุกสามีให้ลุกขึ้นมาดูเพลิงไฟที่เผาไหม้บ้านเที่ยง
“อ้าว แล้วไอ้เที่ยงเล่า เมามายเยี่ยงนั้น มิใช่ถูกไฟคลอกตายดอกรึ ไปดูเร็ว”
สองผัวเมียรีบลุกวิ่งไปดูเพื่อนบ้านอย่างร้อนรน ทั้งคู่ส่งเสียงร้องเรียกเที่ยง เมื่อเที่ยงได้ยินเสียงจึงค่อยๆได้สติ ตื่นจากความเมามายและสำลักควันจนแทบจะหายใจไม่ออก สองผัวเมียรีบเอาน้ำในตุ่มมาสาดทางหนีออกมาให้เที่ยง เที่ยงรู้สึกตัวจึงจะหาทางหนีออกมา แต่ไฟที่ลุกไหม้ไปทั้งหลังทำให้ยากจะออกมาได้ เที่ยงเหลียวมองน้ำในตุ่มจึงตักน้ำราดตัว ก่อนจะกระโดดหนีกองไฟออกมาทางหน้าต่าง สองผัวเมียรีบวิ่งไปดูอาการ
“รอดแล้วไอ้เที่ยง เกือบตายวันเดียวกับนังทิพย์แล้วไหมล่ะ” กล้าเอ่ยขึ้นมาด้วยความโล่งใจ
“แม่ก็พึ่งตายโหง พ่อยังจะมาถูกไฟคลอกตายอีก นังทับทิมจะเป็นเช่นใด ไอ้เที่ยง เอ็งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อนังทับทิมันสิวะ” แก้วเตือนสติเที่ยงเพราะห่วงหลาน เที่ยงรอดตายจากถูกไฟคลอกแล้ว แต่เรือนทั้งหลังถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เที่ยงมองดูซากเรือนด้วยความสลดใจ
รุ่งเช้าวันต่อมา เที่ยงนั่งกอดลูกอยู่ที่แคร่หน้าบ้านของแก้ว
“แล้วนี่เอ็งจะทำเยี่ยงไร เรือนก็ถูกไฟไหม้ไปทั้งหลัง จะพาลูกไปซุกหัวนอนยุที่ใดกัน” แก้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำกระไรต่อ แลฉันก็ไม่มีอัฐมากพอมาซื้อไม้ปลูกเรือนใหม่ ลำพังตัวฉันไปขออาศัยนอนที่วัดก็ยังพอได้ แต่ลูกนี่สิ” เที่ยงสีหน้าสลดไปด้วยความกังวลใจ แล้วลูบหัวลูกอย่างเป็นห่วง
“ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองวิเศษชัยชาญจะมีเปรียบมวย หากชนะก็ได้อัฐมากมายนัก เอ็งก็เป็นศิษย์มีครู เป็นถึงศิษย์สำนักวัดสระไม้แดง เชิงมวยเอ็งก็ไม่แพ้ผู้ใด ข้าว่าหากเอ็งเดินทางไปเปรียบมวย ต้องได้อัฐมากโขอยู่ พอจะปลูกเรือนใหม่ได้ไม่ยากดอก” กล้าแนะแนวทางให้เที่ยง
“นังทับทิมนี่เอ็งไม่ต้องห่วงดอก ข้าก็เอ็นดูมันเหมือนลูกเหมือนหลาน ข้าจะรับดูแลมันเอง เอ็งไปเถิดไอ้เที่ยง ทำเพื่อลูกเอ็ง นังทับทิมมันก็เติบโตขึ้นทุกวัน จะไม่มีเรือนอยู่ได้เยี่ยงไร”
สองผัวเมียชี้แนะแนวทางให้เที่ยง เที่ยงจึงตัดสินใจจะเดินทางไปเปรียบมวย ใช้หยาดเหงื่อและแรงหมัดแลกอัฐมาสร้างเรือนให้ลูก ณ เมืองวิเศษชัยชาญ
เที่ยงตัดสินใจมุ่งหน้าไปวิเศษชัยชาญ พร้อมข้าวของติดไม้ติดมือที่แก้วกับกล้าจัดหาให้เพียงเล็กน้อย ล่องลอยไปตามลำน้ำ พายเรือไปเพียงชั่วครู่ก็เห็นพระนอนองค์ใหญ่มาแต่ไกล จึงหยุดนิ่งพนมมือขึ้นขอพร
“ไอ้เที่ยงจากบ้านไปครานี้ ขอให้ได้พบเจอหนทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยเถิดหลวงพ่อ”
เมื่อเพิ่มความเป็นศิริมงคลให้ตนแล้ว เที่ยงก็มุ่งหน้าพายเรือต่อไปเพียงลำพัง ทั้งโดดเดี่ยว ทั้งหนาวเหน็บ คิดถึงทิพย์เมียรักจนน้ำตาไหลนองหน้า แต่พอคิดเห็นหน้าลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ฮึดสู้พายเรือต่อไป จนเข้าสู่เขตเมืองวิเศษชัยชาญ...
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๒ สิบแปดปีก่อน...
แขกคนสำคัญที่ทับทิมกับจุกกล่าวถึงคือ ออกหลวงมงคล มีศักดินา ๒๔๐๐ ไร่ แต่มีความสามารถไม่ค่อยตรงกับตำแหน่งที่ได้รับ คือเป็นผู้มีพละกำลังที่แข่งแกร่ง มีความสามารถทางการรบการต่อสู้ กล้าหาญ และเป็นผู้มีวิชาอาคมฟันแทงไม่เข้า ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถืออย่างกว้างขวาง
ออกหลวงมงคลผู้นี้เป็นพี่ชายของบังอร เป็นผู้ที่คอยเกื้อหนุนครอบครัวของครูเที่ยงมาโดยตลอด อบเชยเอาน้ำและของว่างเข้ามาต้อนรับ ออกหลวงจึงทักทายหลานสาวว่าโตแล้วสวยเหมือนแม่ไม่มีผิด และดูจะอ่อนหวานกว่าด้วยซ้ำ บังอรทำสีหน้าเคืองพี่ชาย ก่อนจะขอตัวเพราะออกหลวงมงคลมีเรื่องอยากคุยกับครูเที่ยงเป็นการส่วนตัว
“ออกหลวงมีกระไรจะให้ฉันรับใช้ ฉันยินดีนัก ออกหลวงมีบุญคุณกับฉันแลลูกเมียท่วมหัว หากฉันได้ตอบแทนบ้าง ฉันก็นอนตายตาหลับแล้ว”
“เอ็งพูดเหมือนเข้าไปนั่งอ่านใจข้านัก ใช่แล้ว...ข้ามาครานี้ มีเรื่องต้องขอแรงเอ็ง”
“มีกระไรให้ฉันช่วย ฉันเต็มใจจะรับใช้ออกหลวงจนสุดกำลัง”
“ข้าอยากได้คนมีฝีมือและไว้ใจได้ เห็นว่าเอ็งมีลูกศิษย์ลูกหาฝีมือดีอยู่มากนัก หากได้เอ็งช่วย กิจของข้าก็คงไร้กังวล”
“แล้วกิจที่ว่า...คือกิจอันใดฤาออกหลวง”
“ตอนนี้ยังไม่มีกระไรดอก แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าในวันหน้าจะเกิดเหตุร้ายกับพระพันปีศรีศิลป์ จึงอยากให้เอ็งฝึกคนไว้ให้เตรียมพร้อม หากวันหน้าเกิดเหตุมิดีมิร้ายขึ้นจริง จักได้ช่วยเป็นเกราะคุ้มภัยให้พระพันปีศรีศิลป์ให้รอดพ้นจากพวกปองร้าย”
“ตอนนี้ท่านผนวชอยู่มิใช่รึ ยังจะมีคนกล้าคิดปองร้ายได้เยี่ยงไรกัน”
“ก็ไม่แน่ดอก แผ่นดินกำลังจะถูกเปลี่ยน...จะไว้ใจสิ่งไรได้เล่า เอ็งทำตามคำข้า จัดหาคนไว้ให้ดี ฝึกซ้อมพวกมันให้แข็งแกร่ง หากข้าต้องใช้งานพวกเอ็งวันใด จะส่งม้าเร็วมาบอกข่าว”
“การนี้ข้าต้องการคนที่ไว้ใจได้ ก็เห็นจะมีแต่เอ็งนะไอ้เที่ยง” ออกหลวงมงคลบอกกล่าวอย่างจริงจัง
ครูเที่ยงรับคำ ออกหลวงมงคลจึงขอตัวกลับไป พ้นหลังออกหลวงมงคลครูเที่ยงก็วิตกหนักกับภาระหน้าที่ที่พึ่งได้รับ หากเป็นครูเที่ยงที่ต้องเป็นเกราะป้องกันภัยให้พระศรีศิลป์แต่เพียงผู้เดียว แม้แต่ชีวิตก็ยอมยกให้ได้ แต่นี่ออกหลวงมงคลต้องการกำลังจากลูกศิษย์ที่สำหรับครูเที่ยงแล้ว ศิษย์ทุกคนเปรียบเสมือนลูกหลาน หากต้องมาเสียเลือดเนื้อเพราะการนี้ก็คงสลดใจยิ่งนัก
ทับทิมสังเกตการณ์อยู่ก็รับรู้ได้ว่าผิดปกติจากทุกคราที่ออกหลวงมงคลมาเยือน ทั้งสีหน้าครูเที่ยงที่แผ่รังสีความกังวลออกมา แต่เงี่ยหูฟังเท่าใดก็ฟังไม่ได้ศัพท์นัก ครั้นจะเข้าไปถามเลยก็ดูสีหน้าผู้เป็นพ่อคงจะไม่มีคำตอบใดให้เป็นแน่
“ออกหลวงกระไรนี่น่ากลัวนัก รอยสักเต็มตัวเหมือนพวกอยู่ยงคงกระพัน “ จุกออกความเห็นวิจารณ์ออกหลวงมงคล
“พ่อข้ากับพี่เพลิงก็มีรอยสักเต็มแผ่นหลัง เอ็งไม่กลัวรึ” ทับทิมซักจุก
“มันต่างกันนะพี่ ครูเที่ยงกับพี่เพลิงไม่ได้มีแววตาดุร้ายน่าเกรงขามเท่าออกหลวงผู้นี้แม้แต่น้อย” จุกยังคงยืนกรานว่าออกหลวงมงคลผู้นี้น่าเกรงขามเป็นที่สุด
“ออกหลวงมงคลกระไรนี่มีศักดิ์เป็นลุงพี่ไม่ใช่รึ เหตุใดพี่ไม่ออกไปต้อนรับเล่า”
“เป็นลุงนังอบเชยมัน ไม่เกี่ยวกับข้าดอก”
“แต่ครูเที่ยงดูเคารพนับถือออกหลวงผู้นี้นัก”
“ใช่ พ่อจะพูดอยู่เสมอ ว่าออกหลวงมงคลเป็นผู้มีพระคุณต่อพ่อมาก ชาตินี้ต้องหาทางทดแทน แต่ออกหลวงมงคลมาครานี้เห็นท่าไม่ดีนัก จักต้องมีเรื่องอันใดให้พ่อทำเป็นแน่ ข้าจะต้องรู้ให้ได้”
ในขณะที่ทับทิมกำลังตั้งข้อสงสัยอยู่นั้น ครูเที่ยงก็กำลังจุกอกกับคำว่า ทดแทนบุญคุณ ก่อนจะหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง
18 ปีก่อน... ณ ท่าช้าง เมืองสิงห์บุรี
ทิพย์ เมียรักของครูเที่ยงซึ่งกำลังท้องแก่ใกล้คลอดกำลังนั่งหวีผมให้ทับทิม ลูกสาววัย 4 ขวบปี
“พี่เที่ยงจะไปไหนหรือจ๊ะ” ทิพย์เอ่ยถามผัวรักเพราะเห็นเร่งรีบจะออกจากเรือน ทั้งที่ดวงตะวันก็คล้อยต่ำลงไปทุกทีแล้ว
“พี่เกิดเปรี้ยวปาก อยากกินแกงปลาช่อน พี่จะไปหว่านแหจับมาแกงให้เอ็งกิน สักประเดี๋ยวคงได้มาหลายตัว”
“รีบไปรีบมานะจ๊ะพี่ จะมืดจะค่ำอยู่แล้ว ฉันเป็นห่วง” เที่ยงรับคำเมียรัก ก่อนจะรีบถือแหเครื่องมือหากินคู่กายเดินมุ่งหน้าออกไป
“ฝนแรก น้ำดี ปลาชุกชุมนัก เย็นนี้ล่ะข้าจะทำแกงให้ลูกให้เมียกินจนอิ่มท้อง” เที่ยงมองดูปลาช่อนท้องอวบก็เกิดเปรี้ยวปากอยากกินไข่มันมากนัก ยิ่งเพลิดเพลินกับการหว่านแหจนเวลาล่วงเลย...
ในขณะเดียวกัน ทิพย์จะลุกไปหุงข้าวรอผัวรัก ก็เกิดน้ำคร่ำแตก ทิพย์ตกใจและก็เริ่มปวดท้องจะคลอด ทิพย์ส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความทรมาน ทับทิมเห็นแม่ร้องก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ทับทิม ไปเรียกป้าแก้วมาช่วยแม่ที บอกว่าแม่จะคลอดแล้ว เร็วๆนะลูก” ทับทิมในวัยเด็กรีบวิ่งลงจากเรือนไปที่บ้านป้าแก้วคนข้างบ้านในทันที
“ป้าแก้วจ๊ะ...ป้าแก้ว”
“อ้าว นังทับทิม มีกระไรรึ ร้องแหกปากลั่นบ้าน”
“ช่วยแม่ด้วย ช่วยแม่ฉันด้วย” ทับทิมพูดด้วยความเหนื่อยหอบ
“แม่เอ็งเป็นกระไรรึ รึมันจะคลอดลูกแล้ว”
“ใช่จ๊ะๆ ป้ารีบไปดูแม่เร็ว” ทับทิมคว้ามือป้าแก้วให้วิ่งไปดูทิพย์ด้วยความร้อนรน
เมื่อแก้วผู้ที่เคยเป็นหมอตำแยเก่ามาถึง ก็เห็นทิพย์ในสภาพทุรนทุราย แก้วรีบผูกเชือกไว้ให้ทิพย์จับ ก่อนจะสั่งให้ทับทิมไปตามเพื่อนบ้านมาช่วยต้มน้ำร้อน ทับทิมรีบวิ่งออกไปตามคำสั่ง
“ไอ้เที่ยงมันไปมุดหัวอยู่ที่ใดกัน ทำไมปล่อยเมียท้องแก่ใกล้คลอดไว้ลำพังเช่นนี้”
แก้วส่ายหัวเอือมระอาที่เที่ยงไม่ได้อยู่ดูแลเมีย ก่อนจะหันมาสั่งให้ทิพย์หายใจเข้าออก และเบ่งลูกอย่างเป็นจังหวะ เพื่อนบ้านใกล้เคียงสามสี่คนที่ทับทิมเรียกมาเริ่มมาถึง ก็แบ่งหน้าที่กันต้มน้ำและเตรียมของรอรับเด็กกันอย่างขะมักเขม้น แต่ทิพย์นั้นหน้าซีดเซียวนัก อาการไม่สู้ดี เลือดก็ไหลทะลักออกมาไม่ยอมหยุด แต่ลูกน้อยก็ไม่มีวี่แววจะยอมโผล่หัวออกมา ทิพย์ส่งเสียงร้องโอดโอย เจ็บจนเจียนจะขาดใจ
ในขณะเดียวกัน เที่ยงที่ได้ปลามากพอควรแล้วก็เดินทางกลับบ้านมาหาลูกเมีย แต่ไม่ทันการเสียแล้ว...เมื่อลมหายใจสุดท้ายของทิพย์หมดลงก่อนที่ผัวรักจะกลับมาถึงบ้านเพียงไม่กี่ก้าว ภาพแรกที่เห็นหน้าเมียรักนอนหมดลมหายใจจมกองเลือดทำเอาเที่ยงแทบคลั่ง เขาวิ่งไปกอดศพอุ่นๆของเมียรัก กรีดร้องเสียงหลงเหมือนคนบ้า ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็สลดไปตามๆกัน ทับทิมเองก็ร้องไห้ไม่หยุดจนแก้วต้องกอดปลอบขวัญหลานตัวน้อยที่พึ่งเสียแม่ไปอย่างกะทันหัน
ร่างของทิพย์ถูกฝังไว้ที่หลังบ้าน เพราะถือว่าเป็นการตายโหง แก้วจึงรีบสั่งให้สามีไปขุดหลุมฝังศพทิพย์ เพราะเที่ยงคงไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดแล้ว เมื่อยังคงรับไม่ได้กับการจากไปอย่างกะทันหันของเมียรัก เที่ยงจึงเอาแต่กินเหล้าเมามาย นอนเกลือกดินยุหน้าบ้าน ส่วนทับทิมนั้นแก้วสงสารหลานจึงเอาไปนอนด้วย
แสงตะเกียงค่อยๆริบหรี่ เที่ยงจึงเอาน้ำมันตะเกียงมาเติมแต่ด้วยความเมามายเที่ยงจึงพลัดทำตะเกียงหลุดมือ ไฟค่อยๆลุกลามขึ้นทีละนิดจนลุกไหม้ลามไปทั้งหลัง เที่ยงในสภาพเมามายนอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ
“นั่นมันไฟกระไรนั่น ใครมาเผากระไรยามดึกดื่นเยี่ยงนี้” แก้วลุกขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงไฟลุกไหม้ และก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นที่มาของควันโขมงกลุ่มใหญ่
“พี่กล้า ตื่นเร็ว ไฟไหม้บ้านไอ้เที่ยง” แก้วรีบปลุกสามีให้ลุกขึ้นมาดูเพลิงไฟที่เผาไหม้บ้านเที่ยง
“อ้าว แล้วไอ้เที่ยงเล่า เมามายเยี่ยงนั้น มิใช่ถูกไฟคลอกตายดอกรึ ไปดูเร็ว”
สองผัวเมียรีบลุกวิ่งไปดูเพื่อนบ้านอย่างร้อนรน ทั้งคู่ส่งเสียงร้องเรียกเที่ยง เมื่อเที่ยงได้ยินเสียงจึงค่อยๆได้สติ ตื่นจากความเมามายและสำลักควันจนแทบจะหายใจไม่ออก สองผัวเมียรีบเอาน้ำในตุ่มมาสาดทางหนีออกมาให้เที่ยง เที่ยงรู้สึกตัวจึงจะหาทางหนีออกมา แต่ไฟที่ลุกไหม้ไปทั้งหลังทำให้ยากจะออกมาได้ เที่ยงเหลียวมองน้ำในตุ่มจึงตักน้ำราดตัว ก่อนจะกระโดดหนีกองไฟออกมาทางหน้าต่าง สองผัวเมียรีบวิ่งไปดูอาการ
“รอดแล้วไอ้เที่ยง เกือบตายวันเดียวกับนังทิพย์แล้วไหมล่ะ” กล้าเอ่ยขึ้นมาด้วยความโล่งใจ
“แม่ก็พึ่งตายโหง พ่อยังจะมาถูกไฟคลอกตายอีก นังทับทิมจะเป็นเช่นใด ไอ้เที่ยง เอ็งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อนังทับทิมันสิวะ” แก้วเตือนสติเที่ยงเพราะห่วงหลาน เที่ยงรอดตายจากถูกไฟคลอกแล้ว แต่เรือนทั้งหลังถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เที่ยงมองดูซากเรือนด้วยความสลดใจ
รุ่งเช้าวันต่อมา เที่ยงนั่งกอดลูกอยู่ที่แคร่หน้าบ้านของแก้ว
“แล้วนี่เอ็งจะทำเยี่ยงไร เรือนก็ถูกไฟไหม้ไปทั้งหลัง จะพาลูกไปซุกหัวนอนยุที่ใดกัน” แก้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำกระไรต่อ แลฉันก็ไม่มีอัฐมากพอมาซื้อไม้ปลูกเรือนใหม่ ลำพังตัวฉันไปขออาศัยนอนที่วัดก็ยังพอได้ แต่ลูกนี่สิ” เที่ยงสีหน้าสลดไปด้วยความกังวลใจ แล้วลูบหัวลูกอย่างเป็นห่วง
“ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองวิเศษชัยชาญจะมีเปรียบมวย หากชนะก็ได้อัฐมากมายนัก เอ็งก็เป็นศิษย์มีครู เป็นถึงศิษย์สำนักวัดสระไม้แดง เชิงมวยเอ็งก็ไม่แพ้ผู้ใด ข้าว่าหากเอ็งเดินทางไปเปรียบมวย ต้องได้อัฐมากโขอยู่ พอจะปลูกเรือนใหม่ได้ไม่ยากดอก” กล้าแนะแนวทางให้เที่ยง
“นังทับทิมนี่เอ็งไม่ต้องห่วงดอก ข้าก็เอ็นดูมันเหมือนลูกเหมือนหลาน ข้าจะรับดูแลมันเอง เอ็งไปเถิดไอ้เที่ยง ทำเพื่อลูกเอ็ง นังทับทิมมันก็เติบโตขึ้นทุกวัน จะไม่มีเรือนอยู่ได้เยี่ยงไร”
สองผัวเมียชี้แนะแนวทางให้เที่ยง เที่ยงจึงตัดสินใจจะเดินทางไปเปรียบมวย ใช้หยาดเหงื่อและแรงหมัดแลกอัฐมาสร้างเรือนให้ลูก ณ เมืองวิเศษชัยชาญ
เที่ยงตัดสินใจมุ่งหน้าไปวิเศษชัยชาญ พร้อมข้าวของติดไม้ติดมือที่แก้วกับกล้าจัดหาให้เพียงเล็กน้อย ล่องลอยไปตามลำน้ำ พายเรือไปเพียงชั่วครู่ก็เห็นพระนอนองค์ใหญ่มาแต่ไกล จึงหยุดนิ่งพนมมือขึ้นขอพร
“ไอ้เที่ยงจากบ้านไปครานี้ ขอให้ได้พบเจอหนทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยเถิดหลวงพ่อ”
เมื่อเพิ่มความเป็นศิริมงคลให้ตนแล้ว เที่ยงก็มุ่งหน้าพายเรือต่อไปเพียงลำพัง ทั้งโดดเดี่ยว ทั้งหนาวเหน็บ คิดถึงทิพย์เมียรักจนน้ำตาไหลนองหน้า แต่พอคิดเห็นหน้าลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ฮึดสู้พายเรือต่อไป จนเข้าสู่เขตเมืองวิเศษชัยชาญ...
โปรดติดตามตอนต่อไป