สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา และเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้มีปมในใจ ขอเรียกนามแทนตัวเองว่า M นะคะ ตั้งแต่เราจำความได้ เราก็เกิดมาเจอแค่พ่อคนเดียว ที่เป็นเหมือนทั้งพ่อและเเม่ของเรา เลี้ยงเรามาโดยตัวคนเดียว
ก่อนอื่น เราจะย้อนกลับไปเมื่อตอนเราเด็ก เราและครอบครัวอยูบ้านที่ภาคเหนือ มีพ่อเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ ส่วนแม่ก็ไม่ได้ทำงาน พ่อเรากับแม่ช่วงนั้นทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่ และพ่อก็ได้เกิดอุบัติเหตุถังน้ำมันระเบิดใส่ขา ทำให้ต้องรักษาตัวอยู่เป็นหลายเดือน แต่แม่ก็กลับไม่สนใจ ความทรงจำในวัยเด็กนั้นแทบจะจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พอรู้ว่าแม่ทะเลาะกับพ่อ และก็เลิกลากันไป
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเราก็มีแต่พ่อ เมื่อพ่อเริ่มหายดี แต่เงินทองที่เคยสร้างมาก็ไม่เหลือ จนพาเราย้ายที่อยู่ มายังแถวๆรัชดา ตอนนั้นพ่อเราก็เป็นหัวหน้าช่างคุมอู่แท็กซี่หลายร้อยคัน ก็ยังโชคดีที่พ่อเรามีความสามารถ แต่การที่จะทำงานไปด้วยแล้วมีลูกเล็กๆผู้หญิงด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องงาย ในแต่ละวันเราต้องรอคอยพ่อพักงานตอนเที่ยง แล้วเอาอาหารมาให้เราในห้องพัก เราก็ได้แค่บีบนวด ดูแลหาน้ำให้พ่อกินเพื่อคลายความเหนื่อย เวลาเราป่วยเราก็มีพ่อคอยหาน้ำหายาหาข้าวมาป้อน เวลาพ่อออกไปข้างนอกหรือไปทำงาน ก็จำเป็นจะต้องขังเราไว้ในห้องคนเดียว เราก็ทำได้แค่ดูทีวี รอเวลาไปให้หมดไปวันวัน จนวันนึงเราก็มีคนมาช่วยดูแล คนๆนั้นเป็นเหมือนแม่ใหม่ ซึ่งตอนเด็กเรากับแม่ก็มีบ้างที่ไม่ถูกใจกัน ตอนนั้นเราก็ยังคงคิดเล็กๆว่า ถึงแม่ใหม่เค้าจะดี แต่เราก็อยากได้รับความรักและการดูแลจากแม้แท้ๆมากๆกว่า ในทุกๆวันแม่ ตั้งแต่เด็กจนโต เราร้องไห้คิดถึงแม่ตลอด เราคิดว่าแม่จะยังจำเราได้ไหม ยังรักเราเหมือนเดิมอยู่ไหม และก็ยังหวังลึกๆว่าซักวันหนึ่ง เราจะได้เจอแม่ หรือหากมีตอนไหนที่เรากับเเม่เดินสวนกัน อยากจะขอปาฏิหาริย์ให้ได้เจอแม่ซักครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจอมาจนถึงทุกวันนี้
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น โดยเมื่อวันที่ 17 ส.ค. เราไปไหว้พระขอพรที่วัดศรีษะทอง และ วัดบางพระ จ.นครปฐม วันนี้เรายังพูดกับแฟนอยู่เลยว่า ทำไมอยู่ดีๆถึงคิดถึงแม่ขึ้นมา จากนั้นเราก็...อื้มช่างมันเถอะถึงเราไม่มีแม่ แต่เราก็ยังมีพ่อที่เลี้ยงดูเรามาดี จนเราเรียนจบมหาลัยรัฐบาลแถวนครปฐม ด้วยเกียรตินิยม มีหน้าที่การงานที่ดี จากวันนั้นเราก็กลับมาทำงานที่หัวหิน จนมาวันเสาร์ที่ 19 ส.ค. เราได้รับข้อความจากน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเพื่อนใน FB ข้อความดังกล่าวถูกการกรองจาก FB ทำให้ไม่ขึ้นในข้อความเรา แต่เหมือนน้องเค้าพิมพ์มาทุกวัน และยาวมาก วันเสาร์เราจึงเห็นมันเด้งขึ้นมา เราก็ไล่อ่านใจความสำคัญ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอเราอ่านมาเรื่อยๆ เราก็เริ่มรู้สึกกลัว เหมือนมันแอบตกใจเล็กๆ เราจึงลองถามชื่อแม่ของน้องคนนั้น ซึ่งน้องก็ตอบกลับมาเป็นชื่อ ของแม่เราที่เขียนในใบสูติบัตร ทำให้เราเริ่มมั่นใจ แต่เราก็ยังกลัวอยู่จึงขอให้น้องถ่ายรูปแม่มาให้เราดูหน่อย น้องก็ถ่ายส่งกลับมา วินาทีนั้นคือแบบ ผู้หญิงคนนี้คือแม่เราหรอ แต่ดูจากโครงหน้า คิ้ว จมูก คือหน้าเราคล้ายแม่มาก เราก็ถามสารทุกข์สุขดิบเกี่ยวกับแม่ ผ่านน้องต่างพ่อ น้องเค้าก็ตอบเรามาว่าแม่สบายดี แต่เราก็ยังไม่กล้าคุยอะไรมาก
จากนั้นเราก็รวบรวมความกล้า ทักไลน์ไปหาพ่อ ว่า แม่...ทักหนูมา พ่อก็ตอบไลน์มาว่า ลูกก็ตอบปกติ ตอบไปแบบสบายๆ แต่อย่าคิดมากนะลูก พ่อไม่อยากให้กระทบกับการทำงาน เราก็ได้แต่ตอบว่า ค่ะ ... แต่ในใจและหัวสมองก็ยังคิดถึงแต่เรื่องนี้มาทั้งคืน ว่าแม่ยังรักเราจริงๆอยู่ไหม
จากนั้นไม่นานเราก็เห็นแม่ที่เลี้ยงเรามาโพสเฟสเกี่ยวกับความรู้สึกน้อยใจ หรือพูดทำนองว่าครอบครัวเค้ากลับมาแล้ว ทำให้เราคิดมาก ไม่อยากให้แม่ที่เลี้ยงเรามาเสียใจ เราจึงทักไลน์ไปคุยและบอกยังรักแม่ที่เลี้ยงเรามาเหมือนเดิม
จุดที่ทำให้เราไม่สบายใจ คือ ระหว่างแม่ที่เลี้ยงเรามา กับแม่แท้ๆ คงไม่มีใครแทนกันได้ และคนที่เสียใจกับเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เราคนเดียว คงจะมีพ่ออีกคนที่เสียใจ เวลาที่เราถามพ่อ เกี่ยวกับเรื่องของแม้แท้ๆเรา พ่อเราเหมือนจะร้องไห้ออกมา มันคงเป็นความเจ็บปวดที่ต้องเลิกกัน และต้องทำหน้าที่หลายๆอย่างเพื่อเลี้ยงเรามาจนโตและใช้ชีวิตในสังคมได้ขนาดนี้
สุดท้ายนี้เราอยากให้ผู้ที่อ่าน หรือมีเรื่องราวที่คล้ายๆกับเรา ลองพิจารณาว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเราเองมีปัญหา ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวของเราเอง ไม่มีความคิดใครมาทำให้เราเสียใจได้ นอกจากความคิดของตัวเอง ขอบคุณค่ะที่เข้ามาอ่านกันจนจบ.
เมื่อแม่ที่ไม่ได้เจอกัน 20 ปี กลับมาในชีวิตอีกครั้ง
ก่อนอื่น เราจะย้อนกลับไปเมื่อตอนเราเด็ก เราและครอบครัวอยูบ้านที่ภาคเหนือ มีพ่อเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ ส่วนแม่ก็ไม่ได้ทำงาน พ่อเรากับแม่ช่วงนั้นทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่ และพ่อก็ได้เกิดอุบัติเหตุถังน้ำมันระเบิดใส่ขา ทำให้ต้องรักษาตัวอยู่เป็นหลายเดือน แต่แม่ก็กลับไม่สนใจ ความทรงจำในวัยเด็กนั้นแทบจะจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พอรู้ว่าแม่ทะเลาะกับพ่อ และก็เลิกลากันไป
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเราก็มีแต่พ่อ เมื่อพ่อเริ่มหายดี แต่เงินทองที่เคยสร้างมาก็ไม่เหลือ จนพาเราย้ายที่อยู่ มายังแถวๆรัชดา ตอนนั้นพ่อเราก็เป็นหัวหน้าช่างคุมอู่แท็กซี่หลายร้อยคัน ก็ยังโชคดีที่พ่อเรามีความสามารถ แต่การที่จะทำงานไปด้วยแล้วมีลูกเล็กๆผู้หญิงด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องงาย ในแต่ละวันเราต้องรอคอยพ่อพักงานตอนเที่ยง แล้วเอาอาหารมาให้เราในห้องพัก เราก็ได้แค่บีบนวด ดูแลหาน้ำให้พ่อกินเพื่อคลายความเหนื่อย เวลาเราป่วยเราก็มีพ่อคอยหาน้ำหายาหาข้าวมาป้อน เวลาพ่อออกไปข้างนอกหรือไปทำงาน ก็จำเป็นจะต้องขังเราไว้ในห้องคนเดียว เราก็ทำได้แค่ดูทีวี รอเวลาไปให้หมดไปวันวัน จนวันนึงเราก็มีคนมาช่วยดูแล คนๆนั้นเป็นเหมือนแม่ใหม่ ซึ่งตอนเด็กเรากับแม่ก็มีบ้างที่ไม่ถูกใจกัน ตอนนั้นเราก็ยังคงคิดเล็กๆว่า ถึงแม่ใหม่เค้าจะดี แต่เราก็อยากได้รับความรักและการดูแลจากแม้แท้ๆมากๆกว่า ในทุกๆวันแม่ ตั้งแต่เด็กจนโต เราร้องไห้คิดถึงแม่ตลอด เราคิดว่าแม่จะยังจำเราได้ไหม ยังรักเราเหมือนเดิมอยู่ไหม และก็ยังหวังลึกๆว่าซักวันหนึ่ง เราจะได้เจอแม่ หรือหากมีตอนไหนที่เรากับเเม่เดินสวนกัน อยากจะขอปาฏิหาริย์ให้ได้เจอแม่ซักครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจอมาจนถึงทุกวันนี้
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น โดยเมื่อวันที่ 17 ส.ค. เราไปไหว้พระขอพรที่วัดศรีษะทอง และ วัดบางพระ จ.นครปฐม วันนี้เรายังพูดกับแฟนอยู่เลยว่า ทำไมอยู่ดีๆถึงคิดถึงแม่ขึ้นมา จากนั้นเราก็...อื้มช่างมันเถอะถึงเราไม่มีแม่ แต่เราก็ยังมีพ่อที่เลี้ยงดูเรามาดี จนเราเรียนจบมหาลัยรัฐบาลแถวนครปฐม ด้วยเกียรตินิยม มีหน้าที่การงานที่ดี จากวันนั้นเราก็กลับมาทำงานที่หัวหิน จนมาวันเสาร์ที่ 19 ส.ค. เราได้รับข้อความจากน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเพื่อนใน FB ข้อความดังกล่าวถูกการกรองจาก FB ทำให้ไม่ขึ้นในข้อความเรา แต่เหมือนน้องเค้าพิมพ์มาทุกวัน และยาวมาก วันเสาร์เราจึงเห็นมันเด้งขึ้นมา เราก็ไล่อ่านใจความสำคัญ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอเราอ่านมาเรื่อยๆ เราก็เริ่มรู้สึกกลัว เหมือนมันแอบตกใจเล็กๆ เราจึงลองถามชื่อแม่ของน้องคนนั้น ซึ่งน้องก็ตอบกลับมาเป็นชื่อ ของแม่เราที่เขียนในใบสูติบัตร ทำให้เราเริ่มมั่นใจ แต่เราก็ยังกลัวอยู่จึงขอให้น้องถ่ายรูปแม่มาให้เราดูหน่อย น้องก็ถ่ายส่งกลับมา วินาทีนั้นคือแบบ ผู้หญิงคนนี้คือแม่เราหรอ แต่ดูจากโครงหน้า คิ้ว จมูก คือหน้าเราคล้ายแม่มาก เราก็ถามสารทุกข์สุขดิบเกี่ยวกับแม่ ผ่านน้องต่างพ่อ น้องเค้าก็ตอบเรามาว่าแม่สบายดี แต่เราก็ยังไม่กล้าคุยอะไรมาก
จากนั้นเราก็รวบรวมความกล้า ทักไลน์ไปหาพ่อ ว่า แม่...ทักหนูมา พ่อก็ตอบไลน์มาว่า ลูกก็ตอบปกติ ตอบไปแบบสบายๆ แต่อย่าคิดมากนะลูก พ่อไม่อยากให้กระทบกับการทำงาน เราก็ได้แต่ตอบว่า ค่ะ ... แต่ในใจและหัวสมองก็ยังคิดถึงแต่เรื่องนี้มาทั้งคืน ว่าแม่ยังรักเราจริงๆอยู่ไหม
จากนั้นไม่นานเราก็เห็นแม่ที่เลี้ยงเรามาโพสเฟสเกี่ยวกับความรู้สึกน้อยใจ หรือพูดทำนองว่าครอบครัวเค้ากลับมาแล้ว ทำให้เราคิดมาก ไม่อยากให้แม่ที่เลี้ยงเรามาเสียใจ เราจึงทักไลน์ไปคุยและบอกยังรักแม่ที่เลี้ยงเรามาเหมือนเดิม
จุดที่ทำให้เราไม่สบายใจ คือ ระหว่างแม่ที่เลี้ยงเรามา กับแม่แท้ๆ คงไม่มีใครแทนกันได้ และคนที่เสียใจกับเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เราคนเดียว คงจะมีพ่ออีกคนที่เสียใจ เวลาที่เราถามพ่อ เกี่ยวกับเรื่องของแม้แท้ๆเรา พ่อเราเหมือนจะร้องไห้ออกมา มันคงเป็นความเจ็บปวดที่ต้องเลิกกัน และต้องทำหน้าที่หลายๆอย่างเพื่อเลี้ยงเรามาจนโตและใช้ชีวิตในสังคมได้ขนาดนี้
สุดท้ายนี้เราอยากให้ผู้ที่อ่าน หรือมีเรื่องราวที่คล้ายๆกับเรา ลองพิจารณาว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเราเองมีปัญหา ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวของเราเอง ไม่มีความคิดใครมาทำให้เราเสียใจได้ นอกจากความคิดของตัวเอง ขอบคุณค่ะที่เข้ามาอ่านกันจนจบ.