เขาสนใจศึกษาแต่พุทธวจนเท่านั้น

ถาม : โยมได้พบหลายคนที่เขาบอกว่า เขาสนใจศึกษาแต่พุทธวจนเท่านั้น ไม่ยอมฟังคำสอนของอาจารย์องค์อื่นเพราะต้องการศึกษาธรรมะที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
ก็เลยบอกเขาว่า ถ้าเป็นธรรมะที่ออกจากโอษฐ์พระพุทธเจ้า คุณก็ต้องเกิดในสมัยพุทธกาล เพราะที่คุณฟังก็เป็นธรรมะที่ถ่ายทอดมาอีกที เราควรอธิบายเค้าอย่างไรดีคะ
หรือว่าปล่อยเขาไปตามบุญตามกรรม
ท่านชยสาโรตอบ : นอกจากว่าจะฟังจากโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงแม้ว่ามี Time Machine กลับไปอยู่ในสมัยพุทธกาลได้ คลานเข้าไปฟังพระพุทธองค์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะไม่รู้ภาษาท่าน (เสียงญาติโยมหัวเราะ) มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ
เพราะฉะนั้นที่พูดว่าพุทธวจน ชอบพุทธวจน เขาหมายถึงพุทธวจนที่แปลเป็นภาษาไทยไม่ใช่หรือ ? อันนั้นก็ไม่ใช่พุทธวจนอยู่แล้ว
ถ้าใครเคยแปลภาษานึงไปอีกภาษานึง ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะยากที่จะตรงทีเดียว
ฉะนั้นถ้าต้องการจะเรียนพุทธวจน ต้องเรียนภาษาบาลี อย่างน้อยต้องเรียนภาษาบาลีให้คล่อง ต้องเรียนโดยไม่ต้องแปล โอเคนั่นก็พอไปได้ในระดับหนึ่ง
แต่อีกอย่างนึง ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว หมายความว่าไม่มีชาวอินเดียที่ไหนที่พูดภาษาบาลีเป็นประจำ ดังนั้นเมื่อเราอ่านบาลีแต่เป็นพุทธวจน เราแปลได้ยังไง ? เรารู้ความหมายได้ยังไง ? ถึงจะเรียนภาษาบาลีนะ เราก็ยังต้องมีคำแปลระหว่างการเรียน แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าคำแปลนี้ถูก
ใครเป็นผู้แปล แล้วใครจะไปพิสูจน์ว่าคำแปลนี้ถูกได้ เพราะไม่มีใครพูดภาษานี้อีกแล้ว
และถึงแม้จะมีใครพูดภาษาที่คล้ายกับภาษาบาลี ภาษามันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม เช่น ภาษาไทยของคนทุกวันนี้ลองเปิดอ่านหนังสือจาก 50 ปีที่แล้ว ร้อยปีที่แล้ว สองร้อยปีที่แล้ว ภาษาไทยจากยุคสุโขทัย เราอ่านรู้เรื่องไหม มันยากนะ
คนอังกฤษนี่ ถ้าอ่านเชคสเปียร์ ถ้าไม่มีพจนานุกรม อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ขนาดคนอังกฤษแท้ๆ อย่างที่อาตมาเคยเป็น
ไอ้เรื่องภาษานี่ไม่ใช่ง่าย เรารู้ได้ว่าศัพท์ต่างๆมันแปลว่าอะไร เพราะผู้แปลทั้งหลายตั้งแต่สมัยพุทธกาล คำแปลของผู้แปลสองสามชั้นนี้จะเรียกว่า อรรถกถา
ในกรณีของพุทธวจนนี้ ไม่เอาอรรถกถานี้ไม่ได้ เพราะอรรถกถานี้คือผู้แปล คือผู้ที่อธิบายคำแปล
ในอรรถกถาหรือคำแปลก็รั้งจากพุทธกาลมาพันปี มากกว่าสุโขทัยมาปัจจุบัน
เราสังเกตในคำแปลจะมีหลายบทที่ไม่มีใครรู้หรอกว่าแปลว่าอะไร เดาๆเอา หรือภาษาไทยคำไหนที่ท่านผู้แปลเป็นไทย ไม่เข้าใจ ท่านจะทับศัพท์เอาไว้
สิ่งที่เราต้องสังเกตและจะเห็นได้ทุกศาสนา มันจะเป็นกระบวนการหรือที่เรียกว่า โปรแตสแตนท์* เหมือนที่ศาสนาคริสต์มีเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ที่ต่อต้านแคทอริก มันจะมีในทุกศาสนา ทุกลัทธิ มันจะมี มันจะถึงจุดหนึ่งที่ว่าคนส่วนมากรู้สึกว่ามันเสื่อม มันไม่ดีเหมือนแต่ก่อน แล้วก็จะมีความต้องการอะไรที่มันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ไว้ใจได้ 100% ของดี ของแท้
อันนี้คือความต้องการของจิตใจของมนุษย์อย่างหนึ่ง มันจะปรากฏในศาสนาทุกศาสนา ต้องกลับมาเอาของดี ของแท้ ไอ้ของทีหลังนี่ไม่เอาแล้ว เอาแต่นี้อย่างเดียว รู้สึกว่าเราเป็นพวกที่รักษาหัวใจแท้ของพระศาสนาเอาไว้
ทีนี้มันต้องระวังอยู่เหมือนกันนะ มันก็กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นเป็นความงมงายได้เหมือนกัน
ทีนี้อาตมามีคำอุปมาอุปไมยซึ่งเกิดจากที่ตอนอาตมายังไม่ออกบวช มีนิตยสารของอังกฤษไปเอารูปวาด Landscape ที่ดังที่สุดของจิตรกรสุดยอดของยุโรป ห้าหกคน แล้วนักข่าวหรือผู้เขียนบทความเดินทางไปที่ตรงนั้น ที่โคโล*หรือใครที่วาด Landscape แล้วในนิตยสารที่เค้าพิมพ์ด้วยกัน เพื่อที่จะได้เทียบว่ารูปถ่ายกับ Landscape รูปวาด จะดูว่ามันตรงกันตรงไหนอย่างไร
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิด แน่นอนพอมีสิ่งก่อสร้างอยู่บ้าง แต่ที่น่าสนใจมากก็คิด ในบางส่วนจิตรกรก็ย้ายเนินจากจุดนี้ จุดนั้น หรือว่าอันนี้ก็ใหญ่กว่าที่เป็นจริง อันนี้ก็เล็กกว่าที่เป็นจริงในข้อปลีกย่อยไม่ตรงกัน
ถ้าเป็นพวกเราหรืออาตมาวาด ก็คงว่า วาดไม่เป็นเลย แต่นี่คือจิตรกรที่ว่าชั้นยอด คือการที่ท่านเปลี่ยนก็ด้วยเจตนาเพื่ออะไร ?
เพราะว่าความต้องการของจิตรกรคือถ่ายทอดบรรยากาศ ไม่ใช่ถ่ายทอดแต่สิ่งที่ตาเห็นเพียงอย่างเดียว แต่ถ่ายทอดความรู้สึกของผู้ที่อยู่ตรงนั้นด้วย
ทีนี้อาตมาว่าในบางจุดเราดูรูปวาดได้ตรงกับความจริงของท่านตรงนั้นได้มากกว่ารูปถ่าย นี่คือคำอุปมาของอาตมา
นึกออกหรือยัง คำอุปมาคือ พุทธวจนในพระไตรปิฏกเหมือนรูปถ่ายความจริง คำสอนของครูบาอาจารย์รุ่นหลังเหมือนรูปวาดความจริง
อันที่เราไปตำหนิครูบาอาจารย์ว่า อันที่จริงในพระไตรปิฎกในพระอภิธรรม มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ตรงนี้ เอ๊ะ ในพระอภิธรรมหรือพระไตรปิฎกอันนั้น ใหญ่กว่านั้น มันเล็กกว่านี้ ถ้ามองแบบรูปถ่าย โอเค ใช่ ถูกต้อง
แต่ในการที่ครูบาอาจารย์ผู้ต้องการจะถ่ายทอดความจริงในสำนวนภาษาในแนวทางที่ผู้ฟังจะเกิดความเข้าใจและความตั้งใจที่จะเจริญรอยตามท่าน บางทีอาตมาว่าอันนี้มันไม่ตรงกับพระไตรปิฎกทีเดียว มันไม่เป็นไร ถ้าหากว่าเป็นคำสอนที่ออกมาจากปากของพระอริยเจ้า มันก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ แต่ว่ามันเป็นสำนวน เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับพระไตรปิฎก
หลวงพ่อชาท่านเคยสอนว่า บางสิ่งบางอย่างที่ผมพูด มันไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก แต่มันอยู่ในตู้พระไตรปิฎก ไม่ต้องเอาสำนวนยาวของอาตมา (เสียงหัวเราะกัน) เอาสั้นๆของหลวงพ่อชา ชัดกว่าเนอะ อยู่ในตู้พระไตรปิฎก
ก่อนหน้านี้อาตมาเอง เอาตั้งแต่อาจารย์ที่เอาเรื่องพุทธวจนยังไม่บวชเลย มารู้จักท่านตั้งแต่ตอนนั้น อาตมาเป็นคนบ่นเองว่า เอ๊ะ ทำไมชาวพุทธในเมืองไทยไม่สนใจพระสูตรเลย ทำไมไม่อ่านพุทธวจนเลย พอทราบว่ามีกระบวนการสนับสนุนเรื่องพุทธวจน อาตมาสนับสนุน เห็นดีด้วย แต่อะไรก็แล้วแต่มันก็ต้องพอดี มันก็ต้องอย่าไปสำคัญมั่นหมายมันมากจนเกินไป
สำนวนหลายสำนวน คำสอนหลายคำสอนที่อ่านแล้วชวนสับสนในพุทธวจน ถ้าไม่มีหลักในการปฏิบัติยากที่จะเข้าใจ หรือยากที่จะได้ประโยชน์
แต่อาตมาพูดในฐานะเป็นผู้ที่รักพระไตรปิฎกมากและก็อ่านเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าปฏิเสธ และอาตมาเองก็เป็นผู้ที่สนับสนุนพระต่างชาติเป็นประจำว่า ในข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนของฝ่ายอรัญวาสี(พระป่า) ในเมืองไทย หรืออย่างน้อยก็สายหลวงปู่มั่น เราอ่อนทางพระไตรปิฎก สำหรับครูบาอาจารย์หรือพระไทยที่อยู่ในเมืองไทยตลอดในสมัยก่อนไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเป็นปัญหา
แต่พระฝรั่งเหล่านี้ถือว่าเรียนที่นี่แล้ว ไปอยู่ต่างประเทศ ต้องไปเจอชาวพุทธที่นับถือพุทธแบบธิเบตบ้าง เซนบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง แล้วเราจะพูดรู้เรื่อง เราก็ยืนยันแต่หลักของครูบาอาจารย์เราไม่ได้ เราก็ต้องสามารถพูดในระดับตำราได้ด้วย เพื่อจะได้สร้างความเข้าใจระหว่างพุทธศาสนานิกายต่างๆ
พูดถึงในระดับอินเตอร์ ความรู้ทางพระไตรปิฎกนี้สำคัญ
แต่ในส่วนการปฏิบัติส่วนตัวนี้ ก็ไม่ควรปฏิเสธคำสอนของครูบาอาจารย์ ยกตนข่มท่าน หรือว่าแข่งดีกับท่าน หรือว่าลบหลู่ท่าน อันนี้ก็เป็นอุปกิเลสซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกได้เหมือนกัน
***********
ถอดจากไฟล์ : 2558.01.30 ไขปัญหาธรรมช่วงเช้า ปี ๒๕๕๘ ปฏิบัติธรรมบ้านพอ นาที 12.47
http://www.jayasaro.panyaprateep.org/audiovideo/album/188
ภาพ : ท่านชยสาโร โดยคุณท่องถิ่น พระกรรมฐาน

https://www.facebook.com/182989118504002/photos/a.182994541836793.46489.182989118504002/1025446750924897/?type=3&theater
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่