
เรามักจินตนาการว่าสังคมยุคกลาง มีความเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริงสังคมสมัยกลางมีความซับซ้อนสูง สังคมสมัยกลางแตกต่างจากสังคมสมัยใหม่ ตรงที่สังคมสมัยกลางก่อรูปจากความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่นความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และการอุปถัมภ์ ไม่มีเอกสารแสดงความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ แตกต่างจากสังคมสมัยใหม่ ที่กำหนดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ของสถาบันต่างๆในเอกสาร หรือกฎหมาย
สังคมที่ก่อรูปจากความสัมพันธ์ส่วนตัว สืบทอดเรื่อยมา ประกอบกับพลังของธรรมเนียมประเพณี ทำให้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเหล่านี้ มีความมั่นคง และความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปความสัมพันธ์จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
ยิ่งเราศึกษาโลกยุคกลางเพิ่มมากขึ้นเท่าใด เราจะพบความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ก่อนเข้าสู่โลกยุคกลาง เราจะดูสภาพแวดล้อมในเวลานั้น ดูความซับซ้อนของสภาพท้องถิ่น แต่จะเข้าใจสภาพแวดล้อมเหล่านี้ เราจะพิจารณาเรื่องทั่วไปก่อน จะทำให้เราคุ้นชินกับดินแดนที่เราไม่คุ้นชินนี้
ศักดินาสวามิภักดิ์
เมื่อพูดถึงยุคกลาง สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ระบบที่รวมคนชนชั้นต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นระบบสังคม ตุลาการและกฎหมาย เศรษฐกิจ การเมือง และมีชนชั้นสูงเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
ชนชั้นสูง
เราจะเข้าใจสังคมสมัยกลาง ต้องเข้าใจความแตกต่างของชนชั้นสูงและสามัญชน ก่อน
ยุคกลาง สืบทอดมาจากความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมยุโรปช่วงก่อนยุคกลาง ช่วงก่อนยุคกางแบ่งชนชั้นออกเป็นเสรีชน(free man) และนักรบ (warrior) และธรรมเนียมประเพณีของชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของที่ดิน และยังมีบทบาทเป็นผู้นำในการสู้รบและการปกครอง จนกระทั่งสิ้นสุดยุคกลางตอนต้น
ตอนนี้มีการแบ่งชนชั้นสูงออกเป็น สองชนชั้น อัศวินและชนชั้นเสรีที่ติดอาวุธ ชนชั้นที่เป็นอัศวินนั่งบนหลังม้าค่อยๆ กลมกลืนเข้าสู่สังคมชนชั้นสูง ได้รับค่าที่ดินตอบแทน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่าย ค่าอุปกรณ์ทางการทหาร คนมองว่าเป็นชนชั้นนักรบของสังคม ที่เหลือเป็นทหารที่มีความสำคัญน้อยที่สุด ไม่ถูกจัดเข้าสู่สถานะชนชั้นสูงแต่ถูกจัดเข้าสู่ชนชั้นไม่เป็นไท(unfree) เพิ่มมากขึ้น
ชนชั้นสูงที่เป็นนักรบ เป็นความจริงทางสังคมที่เกิดขึ้นเรื่อยมา ชนชั้นสูงมีอำนาจได้มาซึ่งความมั่งคั่งและเข้าถึงแหล่งทรัพยากร ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางทหาร มารวมอำนาจในมืออัศวิน การปรับปรุงโล่ห์ของอัศวิน ทำให้ต้นทุนทางทหารเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันช่องว่างระหว่างทหารติดอาวุธเต็มอัตราและชาวนาที่ถือหอก ห่างออกไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้อัศวินสำคัญยิ่งขึ้น คือการคิดเหล็กเหยียบเท้า เวลาขี่ม้า ช่วยให้อัศวินสู้รบได้ดียิ่งขึ้น ความเป็นนักรบของอัศวิน ทำให้อัศวินมีค่าใช้จ่าย ในการฝึกฝน บำรุงรักษาและจัดหาเครื่องมือในการสู้รบ เมื่อมีการคิดคันธนู longbow และหอก ทำให้อัศวินเป็นนักรบที่เอาชนะได้ยาก ตอนนี้ชนชั้นสูงใช้เทคโนโลยีเพื่อตักตวงผลประโยชน์ที่เป็นทรัพยากร และการมีทรัพยากรนั้นก็มาจากเทคโนโลยีเอง
สถานะของชนชั้นสูง มีการสืบทอดทางมรดก สะท้อนถึงพลังของธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งความโน้มเอียงตามธรรมชาติของชนชั้นสูงที่จะใช้ทรัพยากรประโยชน์ของชนชั้นสูง
ชนชั้นสูงยุคกลางจำนวนมาก มีบรรพบุรุษเป็นนักรบเชื้อสายเยอรมัน ที่รุกรานอาณาจักรโรมันในช่วงที่โรมันกำลังเสื่อม เข้ามายึดครองที่ดินเป็นของตนเอง และในบางกรณีเข้าแทนที่สถานะของเจ้าของที่ดินที่เป็นชาวโรมัน คนในครอบครัวชนชั้นสูงนี้ เข้าสู่ชนชั้นสูง ในเวลาต่อมา โดยเข้าไปในช่องทางการเป็นทหาร การเมือง และความสำเร็จทางเศรษฐกิจ
เส้นแบ่งระหว่างชนชั้นสูงและสามัญชน ไม่เคยมั่นคง อาจมีการข้ามเส้นแบ่งชนชั้น หากมีความมั่งคั่ง ก็เช้าสู่ชนชั้นสูงได้ หรือมีความเสื่อมจะตกลงมา ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านอาจใช้เวลา มากกว่า 1 ช่วงอายุ
ในชนชั้นสูงยังมีการแบ่งระดับย่อยๆ อีก ในทางสังคมศาสตร์ มักจะแบ่งย่อยเป็นสามระดับ สูง-กลาง-ต่ำในชนชั้นสูงด้วยกันมีความแตกต่างในความมั่งคั่ง อำนาจและสถานะ อย่างมหาศาล ชนชั้นสูงที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษ ในศต.ที่สิบสาม อาจมีรายได้ต่อปีประมาณ 5000 ปอนด์ สูงกว่าคนจนที่สุดประมาณ 500 เท่า บุคคลที่อยู่ในชั้นสูงสุดคือกษัตริย์และชนชั้นสูงส่วนบน ที่มีโครงข่ายอุปถัมภ์กว้างขวางเหนือดินแดนกว้างใหญ่ และประชากรจำนวนมาก ทำให้ชนชั้นสูงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองในระดับประชาชาติและระดับนานาชาติ
รองลงไปจากกษัตริย์และชนชั้นสูงระดับรองจากกษัตริย์ที่มีความมั่งคั่งและอำนาจมากมาย
เป็น ชนชั้นสูงที่มีอำนาจจำกัด บางคนมีชนชั้นสูงอยู่ในอำนาจไม่กี่คน
ยังมีชนชั้นสูงในระดับล่างสุด เทียบได้กับอัศวินที่เป็นเจ้าของที่ดิน เป็นชนชั้นสูงที่อยู่ต่ำที่สุด เป็นบุคคลที่ไม่มีอำนาจปกครองใดๆ เลย ครอบครัวชนชั้นสูงที่เป็นนักรบอาชีพ สามารถเลี้ยงตัวได้ โดยทำหน้าที่ให้บริการทางทหารแก่ชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงกว่า ชนชั้นสูงที่เป็นนักรบนั้นมีความมั่งคั่งและอำนาจน้อยกว่าสามัญชนที่อยู่เหนือขึ้นไป และมีอำนาจน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสามัญชน ที่อยู่สูงขึ้นไปในชั้นของตนเอง
มาดูการแบ่งระดับย่อยๆ ในชนชั้นสูง ลงไปอีก
อัศวินธรรมดาโชคดีที่ได้เลื่อนฐานะเข้ามาอยู่ในชนชั้นสูง ชนชั้นสูงด้วยกันที่เข้ามาก่อนแล้ว จะคิดว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาสู่ชั้นสูง ในด้านความสัมพันธ์กับสังคมโดยรวม อัศวินธรรมดาที่เข้ามาสู่ชั้นสูงนี้ยังคบค้าสมาคมและแบ่งปันวัฒนธรรม กับดยุคที่มีอำนาจ ไม่ได้คบค้าสมาคมกับพ่อค้าร่ำรวย, ทั้งดยุคและอัศวิน เป็นนักรบอย่างเป็นทางการ มีสิทธิสืบทอดความเป็นชนชั้นสูงทางมรดก มีสิทธิมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมชั้นสูง ที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น จนเลยยุคกลาง
วัฒนธรรมนี้ ไม่เพียงการบ่มเพาะทักษะทางทหาร เช่น นักดาบ ขี่ม้า ยังต้องมีความรู้ด้านศิลปะ เช่น การประพันธ์และดนตรี และยังมีกิจกรรมนอกเวลาของพวกผู้ดี เช่น ล่าสัตว์และเล่นหมากรุก ยังต้องติดตามแฟชั่นการแต่งกายของผู้ดี สามัญชนที่ก้าวขึ้นมายังชนชั้นนี้ ทีหลัง ต้องมาต่อสู้กับกฎที่ชนชั้นสูงวางไว้เรียบร้อยแล้ว.
เมื่อพิจารณาทุกชนชั้นในสังคมแล้ว ชนชั้นสูงอาจจะมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่อำนาจและอิทธิพลมีมากกว่าจำนวนของชนชั้นสูงที่มีจริงๆ โดยเฉพาะชนชั้นสูงที่มีระบบศักดินาสวามิภักดิ์ยุคกลาง ที่มีลักษณะพิเศษ ถูกครอบงำโดยชนชั้นสูง เป็นระบบที่ครอบคลุมกฎหมายและการปกครอง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตแม้กับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง.
ตอนที่ 1 สังคมสมัยกลาง
เรามักจินตนาการว่าสังคมยุคกลาง มีความเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริงสังคมสมัยกลางมีความซับซ้อนสูง สังคมสมัยกลางแตกต่างจากสังคมสมัยใหม่ ตรงที่สังคมสมัยกลางก่อรูปจากความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่นความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และการอุปถัมภ์ ไม่มีเอกสารแสดงความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ แตกต่างจากสังคมสมัยใหม่ ที่กำหนดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ของสถาบันต่างๆในเอกสาร หรือกฎหมาย
สังคมที่ก่อรูปจากความสัมพันธ์ส่วนตัว สืบทอดเรื่อยมา ประกอบกับพลังของธรรมเนียมประเพณี ทำให้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเหล่านี้ มีความมั่นคง และความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปความสัมพันธ์จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
ยิ่งเราศึกษาโลกยุคกลางเพิ่มมากขึ้นเท่าใด เราจะพบความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ก่อนเข้าสู่โลกยุคกลาง เราจะดูสภาพแวดล้อมในเวลานั้น ดูความซับซ้อนของสภาพท้องถิ่น แต่จะเข้าใจสภาพแวดล้อมเหล่านี้ เราจะพิจารณาเรื่องทั่วไปก่อน จะทำให้เราคุ้นชินกับดินแดนที่เราไม่คุ้นชินนี้
ศักดินาสวามิภักดิ์
เมื่อพูดถึงยุคกลาง สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ระบบที่รวมคนชนชั้นต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นระบบสังคม ตุลาการและกฎหมาย เศรษฐกิจ การเมือง และมีชนชั้นสูงเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
ชนชั้นสูง
เราจะเข้าใจสังคมสมัยกลาง ต้องเข้าใจความแตกต่างของชนชั้นสูงและสามัญชน ก่อน
ยุคกลาง สืบทอดมาจากความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมยุโรปช่วงก่อนยุคกลาง ช่วงก่อนยุคกางแบ่งชนชั้นออกเป็นเสรีชน(free man) และนักรบ (warrior) และธรรมเนียมประเพณีของชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของที่ดิน และยังมีบทบาทเป็นผู้นำในการสู้รบและการปกครอง จนกระทั่งสิ้นสุดยุคกลางตอนต้น
ตอนนี้มีการแบ่งชนชั้นสูงออกเป็น สองชนชั้น อัศวินและชนชั้นเสรีที่ติดอาวุธ ชนชั้นที่เป็นอัศวินนั่งบนหลังม้าค่อยๆ กลมกลืนเข้าสู่สังคมชนชั้นสูง ได้รับค่าที่ดินตอบแทน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่าย ค่าอุปกรณ์ทางการทหาร คนมองว่าเป็นชนชั้นนักรบของสังคม ที่เหลือเป็นทหารที่มีความสำคัญน้อยที่สุด ไม่ถูกจัดเข้าสู่สถานะชนชั้นสูงแต่ถูกจัดเข้าสู่ชนชั้นไม่เป็นไท(unfree) เพิ่มมากขึ้น
ชนชั้นสูงที่เป็นนักรบ เป็นความจริงทางสังคมที่เกิดขึ้นเรื่อยมา ชนชั้นสูงมีอำนาจได้มาซึ่งความมั่งคั่งและเข้าถึงแหล่งทรัพยากร ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางทหาร มารวมอำนาจในมืออัศวิน การปรับปรุงโล่ห์ของอัศวิน ทำให้ต้นทุนทางทหารเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันช่องว่างระหว่างทหารติดอาวุธเต็มอัตราและชาวนาที่ถือหอก ห่างออกไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้อัศวินสำคัญยิ่งขึ้น คือการคิดเหล็กเหยียบเท้า เวลาขี่ม้า ช่วยให้อัศวินสู้รบได้ดียิ่งขึ้น ความเป็นนักรบของอัศวิน ทำให้อัศวินมีค่าใช้จ่าย ในการฝึกฝน บำรุงรักษาและจัดหาเครื่องมือในการสู้รบ เมื่อมีการคิดคันธนู longbow และหอก ทำให้อัศวินเป็นนักรบที่เอาชนะได้ยาก ตอนนี้ชนชั้นสูงใช้เทคโนโลยีเพื่อตักตวงผลประโยชน์ที่เป็นทรัพยากร และการมีทรัพยากรนั้นก็มาจากเทคโนโลยีเอง
สถานะของชนชั้นสูง มีการสืบทอดทางมรดก สะท้อนถึงพลังของธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งความโน้มเอียงตามธรรมชาติของชนชั้นสูงที่จะใช้ทรัพยากรประโยชน์ของชนชั้นสูง
ชนชั้นสูงยุคกลางจำนวนมาก มีบรรพบุรุษเป็นนักรบเชื้อสายเยอรมัน ที่รุกรานอาณาจักรโรมันในช่วงที่โรมันกำลังเสื่อม เข้ามายึดครองที่ดินเป็นของตนเอง และในบางกรณีเข้าแทนที่สถานะของเจ้าของที่ดินที่เป็นชาวโรมัน คนในครอบครัวชนชั้นสูงนี้ เข้าสู่ชนชั้นสูง ในเวลาต่อมา โดยเข้าไปในช่องทางการเป็นทหาร การเมือง และความสำเร็จทางเศรษฐกิจ
เส้นแบ่งระหว่างชนชั้นสูงและสามัญชน ไม่เคยมั่นคง อาจมีการข้ามเส้นแบ่งชนชั้น หากมีความมั่งคั่ง ก็เช้าสู่ชนชั้นสูงได้ หรือมีความเสื่อมจะตกลงมา ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านอาจใช้เวลา มากกว่า 1 ช่วงอายุ
ในชนชั้นสูงยังมีการแบ่งระดับย่อยๆ อีก ในทางสังคมศาสตร์ มักจะแบ่งย่อยเป็นสามระดับ สูง-กลาง-ต่ำในชนชั้นสูงด้วยกันมีความแตกต่างในความมั่งคั่ง อำนาจและสถานะ อย่างมหาศาล ชนชั้นสูงที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษ ในศต.ที่สิบสาม อาจมีรายได้ต่อปีประมาณ 5000 ปอนด์ สูงกว่าคนจนที่สุดประมาณ 500 เท่า บุคคลที่อยู่ในชั้นสูงสุดคือกษัตริย์และชนชั้นสูงส่วนบน ที่มีโครงข่ายอุปถัมภ์กว้างขวางเหนือดินแดนกว้างใหญ่ และประชากรจำนวนมาก ทำให้ชนชั้นสูงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองในระดับประชาชาติและระดับนานาชาติ
รองลงไปจากกษัตริย์และชนชั้นสูงระดับรองจากกษัตริย์ที่มีความมั่งคั่งและอำนาจมากมาย
เป็น ชนชั้นสูงที่มีอำนาจจำกัด บางคนมีชนชั้นสูงอยู่ในอำนาจไม่กี่คน
ยังมีชนชั้นสูงในระดับล่างสุด เทียบได้กับอัศวินที่เป็นเจ้าของที่ดิน เป็นชนชั้นสูงที่อยู่ต่ำที่สุด เป็นบุคคลที่ไม่มีอำนาจปกครองใดๆ เลย ครอบครัวชนชั้นสูงที่เป็นนักรบอาชีพ สามารถเลี้ยงตัวได้ โดยทำหน้าที่ให้บริการทางทหารแก่ชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงกว่า ชนชั้นสูงที่เป็นนักรบนั้นมีความมั่งคั่งและอำนาจน้อยกว่าสามัญชนที่อยู่เหนือขึ้นไป และมีอำนาจน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสามัญชน ที่อยู่สูงขึ้นไปในชั้นของตนเอง
มาดูการแบ่งระดับย่อยๆ ในชนชั้นสูง ลงไปอีก
อัศวินธรรมดาโชคดีที่ได้เลื่อนฐานะเข้ามาอยู่ในชนชั้นสูง ชนชั้นสูงด้วยกันที่เข้ามาก่อนแล้ว จะคิดว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาสู่ชั้นสูง ในด้านความสัมพันธ์กับสังคมโดยรวม อัศวินธรรมดาที่เข้ามาสู่ชั้นสูงนี้ยังคบค้าสมาคมและแบ่งปันวัฒนธรรม กับดยุคที่มีอำนาจ ไม่ได้คบค้าสมาคมกับพ่อค้าร่ำรวย, ทั้งดยุคและอัศวิน เป็นนักรบอย่างเป็นทางการ มีสิทธิสืบทอดความเป็นชนชั้นสูงทางมรดก มีสิทธิมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมชั้นสูง ที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น จนเลยยุคกลาง
วัฒนธรรมนี้ ไม่เพียงการบ่มเพาะทักษะทางทหาร เช่น นักดาบ ขี่ม้า ยังต้องมีความรู้ด้านศิลปะ เช่น การประพันธ์และดนตรี และยังมีกิจกรรมนอกเวลาของพวกผู้ดี เช่น ล่าสัตว์และเล่นหมากรุก ยังต้องติดตามแฟชั่นการแต่งกายของผู้ดี สามัญชนที่ก้าวขึ้นมายังชนชั้นนี้ ทีหลัง ต้องมาต่อสู้กับกฎที่ชนชั้นสูงวางไว้เรียบร้อยแล้ว.
เมื่อพิจารณาทุกชนชั้นในสังคมแล้ว ชนชั้นสูงอาจจะมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่อำนาจและอิทธิพลมีมากกว่าจำนวนของชนชั้นสูงที่มีจริงๆ โดยเฉพาะชนชั้นสูงที่มีระบบศักดินาสวามิภักดิ์ยุคกลาง ที่มีลักษณะพิเศษ ถูกครอบงำโดยชนชั้นสูง เป็นระบบที่ครอบคลุมกฎหมายและการปกครอง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตแม้กับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง.