
ตอนที่ 1 ดวงตาของฉัน
ฉันชื่อแป้งร่ำ เป็นเด็กผู้หญิง อายุ หกขวบ ปลายๆ ฉันอยู่ในจังหวัดไม่ไกลนักจากกรุงเทพฯบ้านของฉันเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ เก่าๆ ซึ่งเป็นมรดกของคุณปู่ที่ทิ้งไว้ให้พวกเราอยู่หลังจากที่ท่านตาย โดยที่บ้านคุณย่าก็อยู่ หลังติดๆกัน นั่นแหล่ะ
ฉันเป็นลูกคนที่สอง มีพี่สาวอีกคน ชื่อแป้งหอม พี่แป้งหอมแก่กว่าฉัน 7 ปี เป็นคนที่สวยมาก ผิวขาวใส อัธยาศัยดีมีเพื่อนมากมาย ซึ่งต่างกับฉันมาก ฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบๆ ชอบที่จะอยู่กับตัวเอง เล่นคนเดียว เพราไม่ชอบความวุ่นวาย และเพราะเป็นแบบนี้ จึงทำให้พ่อแม่ของฉัน วิตกกังวลใจเป็นอย่างมากกลัวว่าอนาคตฉันจะอยู่ในสังคมลำบาก
พ่อของฉัน ท่านรับราชการอยู่ในกระทรวงใหญ่แห่งหนึ่งใน กรุงเทพ แต่เนื่องจากห่วงคุณย่า พ่อจึงไม่เคยคิดย้ายออกไปไหนไกล ประกอบกับคุณแม่ของฉัน ก็ทำงานอยู่ในตัวจังหวัดนี้ด้วยพ่อฉันเป็นคนเจ้าระเบียบ ค่อนข้างดุ แต่ไม่ใช่คนโหดร้าย ออกจะรักครอบครัว และค่อนข้างเกรงใจแม่ของฉันมากอยู่ ฉันสนิทกับพ่อ แต่ก็สนิทกับแม่มากกว่า เพราะคุณแม่เป็นคนใจดี ใจเย็น และไม่เคยบังคับอะไรฉันเลย
แม่ของฉัน เป็นอาจารย์สอนโบราณคดี อยู่ในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งซึ่งมีวิทยาเขต อยู่ในจังหวัดที่ฉันอยู่ แม่เป็นคนอารมณ์ดีใจเย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส และชอบช่วยเหลือผู้อื่น อยู่เสมอ แม่ชอบสอน ตามสไตล์ของอาจารย์ทั้งหลาย แต่แม่มีวิธีสอน อย่างสงบเยือกเย็น เรียกว่าหากใครโดนแม่ดุแล้วล่ะก็ จะงงว่านี่ถูกดุแล้วหรือไร แม่มีวิธีหลอกล่อ ให้ฉันทำตามได้เสมอโดยที่ฉันไม่รู้สึกว่าแม่กำลังดุหรือสั่ง กว่าจะนึกได้ฉันก็ทำตามแม่ไปซะแล้ว แล้วแม่ก็จะกอดหอมพร้อมบอกว่า ฉันเป็นคนว่านอนสอนง่าย
แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ตอนแม่ตั้งท้องฉัน แม่มีอาการแพ้อย่างมาก กินอะไรก็ไม่ได้ กินได้แต่น้ำมะพร้าวเป็นอยู่อย่างนั้นมาตลอด สามเดือน แต่ตอนท้องฉัน แม่กลับมีความสุข อารมณ์ดี แม่เป็นคนคิดบวก และสอนให้ฉัน คิดไปในทางเดียวกับแม่เสมอ แม่บอกว่าตอนท้องฉัน แม่ชอบทำบุญและใส่บาตร กับคุณย่าเป็นประจำ แม่มักจะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อยู่เสมอๆ วันที่ฉันเกิด เช้าวันนั้นแม่ก็ได้ไปใส่บาตรด้วยเช่นกันแม่อธิฐานว่า ของให้ลูกของแม่ที่อยู่ในท้องนี้ เกิดมามีบุญวาสนาสูง มีเมตตา สามารถช่วยเหลือผู้อื่น
ได้ ตอนนั้นฉันอยู่ในท้องแม่ เพียงเจ็ดเดือน แต่แม่ก็กลับปวดท้อง จนคลอดฉันออกมา ฉันแข็งแรงดี แม้ตัวจะเล็กไปสักหน่อยและอยู่ในตู้อบอีกเป็นเดือน
ตอนอายุ แปดขวบแม่พาฉันกับพี่แป้งหอม ไปเที่ยวบ้านคุณยาย ทางภาคเหนือ ช่วงปิดเทอม
“แป้งจ๊ะ” แม่มักเรียกฉันว่าแป้ง แต่เรียกพี่แป้งหอมว่า หอม
“แม่ว่าลูกควรไปนอนได้แล้วนะจ๊ะ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกลกันแต่เช้า”
“หอมจ๊ะ”
“ เดี๋ยวค่ะแม่รอละครจบก่อนได้ไหมค่ะ” พี่หอมต่อรอง แล้วก็ดูละครต่อไม่สนใจแม่เลย ฉันเดินตามแม่ไปอย่างง่ายดาย เพราะชอบให้แม่ส่งเข้านอน แม่มักจะเล่าเรื่องโบราณๆต่างๆที่แม่ศึกษามาให้ฉันฟังก่อนนอนเสมอ
พวกเราใช้เวลาเกือบทั้งวัน กว่าจะถึงบ้านคุณยาย พ่อเป็นคนขับเสียส่วนใหญ่ โดยมีแม่สลับผลัดเปลี่ยนกัน บ้านคุณยาย เป็นบ้านไม้คล้ายเรือนไทยเก่าๆมีใต้ถุนสูง มีบันไดสำหรับเดินขึ้นไป ตรงหน้าบันได มีตุ่มมังกรเล็กสองตุ่ม ตุ่มหนึ่งใส่น้ำแล้วมี กระบวยตักวางไว้บนฝา อีกตุ่มมีดอกบัว สีชมพูสวย ปลูกไว้ มองดูแล้วสวยดี ที่บ้านคุณยายมีเรือนแบบนี้อยู่ ติดๆกันหลายๆหลัง ก็เป็นเรือนของบรรดาลูกหลานของคุณยายทั้งนั้น คุณยายดูเป็นผู้ดีเก่า กริยาท่าทาง สุภาพเรียบร้อยพูดช้าๆแต่ชัดเจน เวลาคุณยายดุ เหมือนไม่ได้ดุ แต่เหมือนสอนเสียมากกว่า ฉันคิดเอาในใจว่า แม่คงเหมือนคุณยายนั่นเอง
ฉันชอบมาบ้านคุณยาย เพราะที่นี่แม้จะมีผู้คนอยู่เยอะแต่ก็สงบร่มเย็นดี ฉันชอบมานั่ง
ที่ชิงช้าหลังครัว ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่นด้วย บางครั้งนั่งเพลินๆก็พลอยหลับไป แล้วฉันก็ได้ยินเสียง เรียก
“หนู หนู หนูจ๋า ๆๆๆๆ”เสียงเรียก ยานๆแว่วๆของผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวยดี แต่แปลกจัง
ทำไมใส่ชุดโบราณๆ อ้าวนั้นพี่แป้งหอมนี่ ทำไมแต่งตัวแบบนั้นล่ะ จะไปปาร์ตี้ที่ไหนแน่เลย
แล้วนั้นจะโบกมือลาทำไม
“พี่หอมๆจะไปไหน”ฉันร้องโวยวาย ตะโกนเท่าไหร่ ๆ พี่หอมก็ไม่หันกลับมา
“หนุ หนู หนู ตื่นเถอะ”ฉันถูกใครคนหนึ่งเขย่าตัว จนตกใจตื่น
“มานอนอยู่ตรงนี้ทำไมลูก ฝนจะตกแล้ว เข้าบ้านเถอะ” ฉันยัง งงๆอยู่แต่ก็เดินตามคุณป้าคนนั้น
ขึ้นเรือนไป เห็นพี่หอมนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่ ไม่เห็นไปไหน อ้าวแล้วตะกี้ที่เห็นนั่นใคร ทำไมหน้าเหมือนพี่หอมจัง คิดไปคิดมา ยิ่งงง ยิ่งไม่เข้าใจ จึง ไปกินขนมดีกว่า แล้ว เดี๋ยวค่อยเล่าให้แม่ฟัง แต่ในที่สุดฉัน
ก็ลืมเล่า และลืมเหตุการณ์ในความฝันไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงเอะอะ โวยวาย มาจากเตียงข้างๆ
“ ไม่ ไม่ไม่ไป ปล่อยๆๆปล่อยชั้น”เสียงพี่หอมตะโกนลั่น ทั้งที่ตายังปิดอยู่ ฉันตกใจเลยวิ่งออกไปตามแม่ เข้ามาปลุกพี่หอม พี่หอมตื่นมาอย่าง งงๆ พร้อมกับเล่าด้วยอาการกลัวว่า
“แม่ใครก็ไม่รู้ใส่ชุดไทยโบราณ มาชวนให้ หอมไปอยู่ด้วย หอมบอกไม่ไปๆก็ดึงหอมใหญ่เลย” "หอมจ๊ะ ฟังแม่ก่อน" แม่พูด
“แม่คิดว่าลูกคงจะดูละครก่อนนอนแล้วเก็บเอามาฝันแน่เลย”แม่พูดแล้วเข้าไปกอดพี่หอม ด้วยอยากปลอบใจ
“ก็คงจริงค่ะ” พี่หอมตอบ แล้วล้มตัวนอนต่อ ทิ้งให้แม่กับฉันยืนงง อยู่ข้างๆ
เช้าวันนั้นพี่หอมตื่นเกือบสาย และก็ไม่พูดเรื่องความฝันนั่นอีกเลย ฉันในตอนนั้น
กลับรู้สึกว่า การมาบ้านของคุณยายหนนี้ มันดูแปลกๆแต่ด้วยความที่ฉันยังเด็ก จึงบอกไม่ถูก
ว่ามันแปลกอะไรตรงไหน สุดท้ายก็ลืมเรื่องนี้ไปเช่นกัน
วันนี้คุณยายบอกจะพาเราไปทำบุญที่วัด เก่าแก่ แถวๆบ้าน คุณยายเตรียมชุดผ้าซิ่นสีขาว พร้อมห่มสไบ ลูกไม้บางๆพาดไปที่ไหล่ ดูแล้วเหมือนแม่ชี คุณยายเล่าว่า พวกคนเก่าแก่ที่นี่ มักจะสวมชุดแบบนี้ไปวัดกันเสมอ คุณยายพาพวกเราเดินไป สักพักก็ถึงวัด
ภายในวัดมีสถูปสี่เหลี่ยม ทรงปราสาท คุณยายอธิบายว่าเรียกว่าเจดีย์แบบล้านนา ในเจดีย์นั้นจะมีพระธาตุสิ่งศักดิ์สิทธิเก่าแก่ประดิษฐานอยู่ คนที่นี่เคารพบูชามาก ก่อนเดินเข้าไปในวัด ต้องเดินผ่านซุ้มประตูที่ก่ออิฐปูน ประดับลวดลายวิจิตรงามตา นั่นเสียก่อน คุณยายเล่าต่อว่า ลวดลายทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของช่างโบราณสมัยศรีวิชัยโน่น เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไป ก็จะเห็นวิหารหลัง
ใหญ่ เรียกกันว่า วิหารหลวง มีระเบียงรอบด้าน มีมุขออกทางด้านหน้าและหลัง วิหารแห่งนี้เห็นว่าเป็นวิหารใหม่ที่สร้างขึ้นแทนหลังซึ่งผุกร่อนไปตามเวลา ถัดจากวิหารแห่งนี้ไปก็เป็นหอระฆัง
เป็นหอสำหรับแขวนระฆังและกังสดาลขนาดใหญ่ ระฆังนี้มีไว้เพื่อใช้ตีบอกสัญญาณเวลาแก่พระสงฆ์ ในการลงทำวัตรและประกอบพิธีสงฆ์ต่างๆแต่เสียงดังกังวานของระฆังนั้นก็มีความหมายแฝงไว้คือ การเตือนให้ตื่น เตือนสติให้เข้าถึงสัจธรรม และให้ความรู้สึก ถึงความสงบ
ความสันติสุข ทุกครั้งที่ฉันได้ยินสียงระฆังก็รู้สึกเหมือนที่คุณยายบอกไว้เช่นกัน
ถวายเพลเสร็จ คุณยายก็พาพวกเราสนทนากับกับหลวงพ่อ ท่านเห็นเด็กสองคน เก่ๆกังอยู่จึงทักขึ้นมาลอยๆ
“แม่หนูสองคนนั่นเป็นหลานยาย รึ”
“ใช่เจ้าค่ะ เพิ่งมาจากกรุงเท”หลวงพ่อพยักหน้ารับแล้วว่าต่อ
“ดีแล้วมีสองพี่น้องมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แม่คนเล็กนั่นแหล่ะเขาจะช่วยพี่ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก เลี้ยงให้ดีล่ะ”
“เจ้าค่ะ”คุณยายตอบรับคำ พ่อกะแม่ มองหน้ากันปะหลับปะเหลือก กับคำพูดของหลวงพ่อ แต่ก็ไม่กล้าถามต่อว่าท่านหมายถึงอะไร ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ซึ่งตอนหลังแม่ มาเล่าให้ฉันฟังว่า พ่อสิกังวลใจใหญ่ส่วนแม่นั้นกลับดีใจที่ลูกทั้งสองของแม่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และแม่ก็เชื่อเสมอว่าฉัน มีอะไรที่วิเศษแฝงอยู่
กลับมาจากวัด ก็บ่ายกว่าแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปพักตามอัธยาศัย พ่อกับแม่ไปคุยกับคุณลุงคุณป้าบ้านข้างๆที่เป็นญาติๆกัน พี่แป้งหอมก็ขึ้นเรือนไปดูทีวี พร้อมกับบ่นเรื่องสัญญาณเนตที่ไม่มีในบ้านคุณยาย หาว่านี่มันสมัยไหนแล้ว คุณยายจะอนุรักษ์ชีวิตโบราณไปไหน
ฟังพี่แป้งหอมบ่นจน ฉันรำคาญจึงหนีไปนอนเล่นที่ชิงช้าดีกว่า ยังไม่ทันไร ก็เห็นพี่แป้งหอมวิ่งจู๊ด ผ่านไปทางป่าด้านหลังซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนไทยหลังเล็ก ฉันจึงวิ่งตามพี่แป้งหอมไปด้วยความแปลกใจ ปกติพี่หอมไม่น่า จะออกมาวิ่งกลางแดดแบบนี้ คุณยายเคยเล่าถึงเรือนหลังเล็กนี้ว่าเป็นที่เก็บของเก่าสมัยคุณทวดของคุณทวดสืบต่อกันมาหลายต่อหลายปี ได้มีการซ่อมแซม
กันไปก็หลายๆหน แต่ก็ไม่มีใครคิดรื้อทิ้งแม้จะปิดไว้ เป็นเรือนร้างแล้วก็ตาม
“ใครจะไปกล้ารื้อทิ้ง เฮี้ยนออกจะขนาดนั้น” ฉันจำได้ว่าคุณป้านวลพี่สาวแม่พูดแบบนั้น
เห็นพี่แป้งหอมวิ่งเตลิดขึ้นไปบนเรือนเล็กนั่น ยังไม่ทันที่ฉันจะวิ่งตามขึ้นไปก็ได้ยินเสียงร้อง
กรี๊ดๆๆ ดังลั่น พอฉันวิ่งขึ้นไปก็เห็นพี่แป้งหอม ทรุดลงที่พื้นเอามือปิดหน้าปากก็ร้องโวยวาย
ฉันเข้าไปกอดพี่แป้งหอมไว้
“พี่หอมเป็นอะไร พี่หอมๆๆ” “แป้งๆ พี่เจอผี แป้งผีจริงๆนะแป้ง”
“ไหนๆ แป้งไม่เห็นมีใครเลยนี่พี่หอม ลองดูซิ” พี่หอมยังปิดหน้า ก็ค่อยๆเปิดตาออกมาดู
“แต่พี่เห็นจริงๆนะแป้งเห็นจริงๆผู้หญิงใส่ชุดโบราณไว้ม้วย วิ่งทะลุเข้าไปในเรือนจริงๆนะแป้ง” “แป้งว่าเรากลับกันเถอะพี่หอม เดียวแม่ถามหาเอา น่ะ”
“เออๆ ไปก็ไป” พี่หอมพูดแล้วเดินนำหน้าไปเลย
เรือนไทยหลังเล็กของคุณยาย เป็นเรือนแบบทางภาคเหนือคือ ยกใต้ถุนสูง เหมือนเรือน
หลังใหญ่ หรือคล้ายๆเรือนไทยทางภาคกลางนั่นแหล่ะ ต่างกันตรงที่ รูปทรงหลังคา และสัดส่วนของเรือนจะเตี้ยและลุ่มมากกว่าทั้งยังมีช่องหน้าต่างแคบๆเล็กๆไว้สำหรับกันลมหนาว คุณยายเคยเล่าว่า เรือนไทยหลังนี้มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี มีหลังคาที่มียอดจั่วประดับกาแลไม้ มีการแกะสลักอย่างงดงาม มุงกระเบื้องไม้เรียกว่า แป้นเกล็ด ตัวเรือนมีชานกว้างๆอยู่ด้านหน้า มีขนาดหนึ่งห้องนอน ซึ่งประตูห้องนี้ ปิดอยู่มีไม้หนาๆตอกไขว้กันไว้ไม่ให้ใครเข้า ฉันสังเกตเห็นมีผ้าแปลกๆผืนหนึ่งแปะไว้เหนือประตู เขียนอักษรอะไรไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ฉันรู้แล้ว นั่นคือผ้ายันต์
“พี่ว่าพี่ตาไม่ฝาดนะแป้ง ต้องเป็นผีแน่ๆ” พี่หอมบ่นไม่อยู่แถมมีท่าทางหวาดกลัวจริงๆ
“แล้วพี่หอมวิ่งไปเรือนนั้นทำไมล่ะ” “พี่ไม่รู้แป้ง พี่แค่รู้สึกอยากเดินเล่น”
“แป้งว่าพี่หอมตาฝาดผีที่ไหนจะมาตอนกลางวัน ล่ะพี่หอม”
“เออก็จริง” พี่หอมพูดเสียงยังหวั่นๆอยู่
สองพี่น้องพากันเดินกลับไปเรือนใหญ่ ได้เวลาคุณยาย เตรีมตั้งอาหารเย็นพอดี
“แม่หอม แม่แป้ง มาทางนี้สิลูก มาช่วยกันทำกับข้าวเร็ว” พี่แป้งหอมวิ่งจู๊ดนำไป ไม่รอฉันเลยสักนิดเดียว เป็นอีกสิ่งที่พี่แป้งหอมเก่ง คือทำกับข้าว ส่วนฉันได้แค่ล้างผักก็เก่งแล้ว พอล้างผักเสร็จคุณยายฉันก็ไล่ ออกจากครัว คงกลัวฉันวิ่งไปชนเตาเข้า ฉันเลยออกมานั่งเล่นตรงม้าหิน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้โรงครัวรอ ด้านหลังของโรงครัว มีแม่น้ำเล็กๆไหลผ่าน มีท่าขึ้นเรือทำจากไม้ อยู่หน่อย ตรงทางลง ซึ่งน่าจะไม่มีการใช้งานแล้ว นั่งเล่นนอนเล่นเพลินไปฉันก็เคลิ้มหลับ
ได้ยินเสียงแว่วๆ ใครมาเล่นกันเสียงดังอยู่แถวนี้ ก็เลยงัวเงียตื่นขึ้นมาดู เห็นเด็กแถวบ้านกำลังใช้หนังสติ๊กยิงนกกันอยู่ นึกในใจว่า แม่เคยบอกว่าบาปหนัก แต่ทำไมพวกนี้เห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้ ฉันตั้งใจจะวิ่งไปห้ามสักหน่อย แต่ โอ๊ย!!! อะไรวิ่งมาถูกตาฉัน จำได้ตอนนั้นว่า มันชาๆมึนๆ
หนักๆตรงหัว เอามือจับออกมาก็เห็นมีเลือดปนน้ำขาวๆขุ่นๆ ออกมา ฉันกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ เสียงร้องของฉันทำให้ทุกคนในบ้านวิ่งกันเข้ามาดู แล้วพาฉันไปโรงพยาบาล
“โชคดีนะคะที่หินไม่ถูกตาดำ แต่ต้องปิดตาไว้ก่อนนะคะแล้วเราจะประเมินอาการกันอีกที”คุณหมอบอกกับแม่อย่างนั้น สีหน้าแม่ซีดลง สิ่งที่แม่กังวลที่สุดในตอนนั้นคือฉันอาจตาบอด
https://pantip.com/topic/36707031 ลิงค์เดิม (มือใหม่หัดลงค่ะ)
กรุณาติดตามต่อ ตอนที่ 2 นักรบโบราณ ......
สัมผัสที่หก ของแป้งร่ำ
ตอนที่ 1 ดวงตาของฉัน
ฉันชื่อแป้งร่ำ เป็นเด็กผู้หญิง อายุ หกขวบ ปลายๆ ฉันอยู่ในจังหวัดไม่ไกลนักจากกรุงเทพฯบ้านของฉันเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ เก่าๆ ซึ่งเป็นมรดกของคุณปู่ที่ทิ้งไว้ให้พวกเราอยู่หลังจากที่ท่านตาย โดยที่บ้านคุณย่าก็อยู่ หลังติดๆกัน นั่นแหล่ะ
ฉันเป็นลูกคนที่สอง มีพี่สาวอีกคน ชื่อแป้งหอม พี่แป้งหอมแก่กว่าฉัน 7 ปี เป็นคนที่สวยมาก ผิวขาวใส อัธยาศัยดีมีเพื่อนมากมาย ซึ่งต่างกับฉันมาก ฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบๆ ชอบที่จะอยู่กับตัวเอง เล่นคนเดียว เพราไม่ชอบความวุ่นวาย และเพราะเป็นแบบนี้ จึงทำให้พ่อแม่ของฉัน วิตกกังวลใจเป็นอย่างมากกลัวว่าอนาคตฉันจะอยู่ในสังคมลำบาก
พ่อของฉัน ท่านรับราชการอยู่ในกระทรวงใหญ่แห่งหนึ่งใน กรุงเทพ แต่เนื่องจากห่วงคุณย่า พ่อจึงไม่เคยคิดย้ายออกไปไหนไกล ประกอบกับคุณแม่ของฉัน ก็ทำงานอยู่ในตัวจังหวัดนี้ด้วยพ่อฉันเป็นคนเจ้าระเบียบ ค่อนข้างดุ แต่ไม่ใช่คนโหดร้าย ออกจะรักครอบครัว และค่อนข้างเกรงใจแม่ของฉันมากอยู่ ฉันสนิทกับพ่อ แต่ก็สนิทกับแม่มากกว่า เพราะคุณแม่เป็นคนใจดี ใจเย็น และไม่เคยบังคับอะไรฉันเลย
แม่ของฉัน เป็นอาจารย์สอนโบราณคดี อยู่ในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งซึ่งมีวิทยาเขต อยู่ในจังหวัดที่ฉันอยู่ แม่เป็นคนอารมณ์ดีใจเย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส และชอบช่วยเหลือผู้อื่น อยู่เสมอ แม่ชอบสอน ตามสไตล์ของอาจารย์ทั้งหลาย แต่แม่มีวิธีสอน อย่างสงบเยือกเย็น เรียกว่าหากใครโดนแม่ดุแล้วล่ะก็ จะงงว่านี่ถูกดุแล้วหรือไร แม่มีวิธีหลอกล่อ ให้ฉันทำตามได้เสมอโดยที่ฉันไม่รู้สึกว่าแม่กำลังดุหรือสั่ง กว่าจะนึกได้ฉันก็ทำตามแม่ไปซะแล้ว แล้วแม่ก็จะกอดหอมพร้อมบอกว่า ฉันเป็นคนว่านอนสอนง่าย
แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ตอนแม่ตั้งท้องฉัน แม่มีอาการแพ้อย่างมาก กินอะไรก็ไม่ได้ กินได้แต่น้ำมะพร้าวเป็นอยู่อย่างนั้นมาตลอด สามเดือน แต่ตอนท้องฉัน แม่กลับมีความสุข อารมณ์ดี แม่เป็นคนคิดบวก และสอนให้ฉัน คิดไปในทางเดียวกับแม่เสมอ แม่บอกว่าตอนท้องฉัน แม่ชอบทำบุญและใส่บาตร กับคุณย่าเป็นประจำ แม่มักจะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อยู่เสมอๆ วันที่ฉันเกิด เช้าวันนั้นแม่ก็ได้ไปใส่บาตรด้วยเช่นกันแม่อธิฐานว่า ของให้ลูกของแม่ที่อยู่ในท้องนี้ เกิดมามีบุญวาสนาสูง มีเมตตา สามารถช่วยเหลือผู้อื่น
ได้ ตอนนั้นฉันอยู่ในท้องแม่ เพียงเจ็ดเดือน แต่แม่ก็กลับปวดท้อง จนคลอดฉันออกมา ฉันแข็งแรงดี แม้ตัวจะเล็กไปสักหน่อยและอยู่ในตู้อบอีกเป็นเดือน
ตอนอายุ แปดขวบแม่พาฉันกับพี่แป้งหอม ไปเที่ยวบ้านคุณยาย ทางภาคเหนือ ช่วงปิดเทอม
“แป้งจ๊ะ” แม่มักเรียกฉันว่าแป้ง แต่เรียกพี่แป้งหอมว่า หอม
“แม่ว่าลูกควรไปนอนได้แล้วนะจ๊ะ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกลกันแต่เช้า”
“หอมจ๊ะ”
“ เดี๋ยวค่ะแม่รอละครจบก่อนได้ไหมค่ะ” พี่หอมต่อรอง แล้วก็ดูละครต่อไม่สนใจแม่เลย ฉันเดินตามแม่ไปอย่างง่ายดาย เพราะชอบให้แม่ส่งเข้านอน แม่มักจะเล่าเรื่องโบราณๆต่างๆที่แม่ศึกษามาให้ฉันฟังก่อนนอนเสมอ
พวกเราใช้เวลาเกือบทั้งวัน กว่าจะถึงบ้านคุณยาย พ่อเป็นคนขับเสียส่วนใหญ่ โดยมีแม่สลับผลัดเปลี่ยนกัน บ้านคุณยาย เป็นบ้านไม้คล้ายเรือนไทยเก่าๆมีใต้ถุนสูง มีบันไดสำหรับเดินขึ้นไป ตรงหน้าบันได มีตุ่มมังกรเล็กสองตุ่ม ตุ่มหนึ่งใส่น้ำแล้วมี กระบวยตักวางไว้บนฝา อีกตุ่มมีดอกบัว สีชมพูสวย ปลูกไว้ มองดูแล้วสวยดี ที่บ้านคุณยายมีเรือนแบบนี้อยู่ ติดๆกันหลายๆหลัง ก็เป็นเรือนของบรรดาลูกหลานของคุณยายทั้งนั้น คุณยายดูเป็นผู้ดีเก่า กริยาท่าทาง สุภาพเรียบร้อยพูดช้าๆแต่ชัดเจน เวลาคุณยายดุ เหมือนไม่ได้ดุ แต่เหมือนสอนเสียมากกว่า ฉันคิดเอาในใจว่า แม่คงเหมือนคุณยายนั่นเอง
ฉันชอบมาบ้านคุณยาย เพราะที่นี่แม้จะมีผู้คนอยู่เยอะแต่ก็สงบร่มเย็นดี ฉันชอบมานั่ง
ที่ชิงช้าหลังครัว ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่นด้วย บางครั้งนั่งเพลินๆก็พลอยหลับไป แล้วฉันก็ได้ยินเสียง เรียก
“หนู หนู หนูจ๋า ๆๆๆๆ”เสียงเรียก ยานๆแว่วๆของผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวยดี แต่แปลกจัง
ทำไมใส่ชุดโบราณๆ อ้าวนั้นพี่แป้งหอมนี่ ทำไมแต่งตัวแบบนั้นล่ะ จะไปปาร์ตี้ที่ไหนแน่เลย
แล้วนั้นจะโบกมือลาทำไม
“พี่หอมๆจะไปไหน”ฉันร้องโวยวาย ตะโกนเท่าไหร่ ๆ พี่หอมก็ไม่หันกลับมา
“หนุ หนู หนู ตื่นเถอะ”ฉันถูกใครคนหนึ่งเขย่าตัว จนตกใจตื่น
“มานอนอยู่ตรงนี้ทำไมลูก ฝนจะตกแล้ว เข้าบ้านเถอะ” ฉันยัง งงๆอยู่แต่ก็เดินตามคุณป้าคนนั้น
ขึ้นเรือนไป เห็นพี่หอมนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่ ไม่เห็นไปไหน อ้าวแล้วตะกี้ที่เห็นนั่นใคร ทำไมหน้าเหมือนพี่หอมจัง คิดไปคิดมา ยิ่งงง ยิ่งไม่เข้าใจ จึง ไปกินขนมดีกว่า แล้ว เดี๋ยวค่อยเล่าให้แม่ฟัง แต่ในที่สุดฉัน
ก็ลืมเล่า และลืมเหตุการณ์ในความฝันไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงเอะอะ โวยวาย มาจากเตียงข้างๆ
“ ไม่ ไม่ไม่ไป ปล่อยๆๆปล่อยชั้น”เสียงพี่หอมตะโกนลั่น ทั้งที่ตายังปิดอยู่ ฉันตกใจเลยวิ่งออกไปตามแม่ เข้ามาปลุกพี่หอม พี่หอมตื่นมาอย่าง งงๆ พร้อมกับเล่าด้วยอาการกลัวว่า
“แม่ใครก็ไม่รู้ใส่ชุดไทยโบราณ มาชวนให้ หอมไปอยู่ด้วย หอมบอกไม่ไปๆก็ดึงหอมใหญ่เลย” "หอมจ๊ะ ฟังแม่ก่อน" แม่พูด
“แม่คิดว่าลูกคงจะดูละครก่อนนอนแล้วเก็บเอามาฝันแน่เลย”แม่พูดแล้วเข้าไปกอดพี่หอม ด้วยอยากปลอบใจ
“ก็คงจริงค่ะ” พี่หอมตอบ แล้วล้มตัวนอนต่อ ทิ้งให้แม่กับฉันยืนงง อยู่ข้างๆ
เช้าวันนั้นพี่หอมตื่นเกือบสาย และก็ไม่พูดเรื่องความฝันนั่นอีกเลย ฉันในตอนนั้น
กลับรู้สึกว่า การมาบ้านของคุณยายหนนี้ มันดูแปลกๆแต่ด้วยความที่ฉันยังเด็ก จึงบอกไม่ถูก
ว่ามันแปลกอะไรตรงไหน สุดท้ายก็ลืมเรื่องนี้ไปเช่นกัน
วันนี้คุณยายบอกจะพาเราไปทำบุญที่วัด เก่าแก่ แถวๆบ้าน คุณยายเตรียมชุดผ้าซิ่นสีขาว พร้อมห่มสไบ ลูกไม้บางๆพาดไปที่ไหล่ ดูแล้วเหมือนแม่ชี คุณยายเล่าว่า พวกคนเก่าแก่ที่นี่ มักจะสวมชุดแบบนี้ไปวัดกันเสมอ คุณยายพาพวกเราเดินไป สักพักก็ถึงวัด
ภายในวัดมีสถูปสี่เหลี่ยม ทรงปราสาท คุณยายอธิบายว่าเรียกว่าเจดีย์แบบล้านนา ในเจดีย์นั้นจะมีพระธาตุสิ่งศักดิ์สิทธิเก่าแก่ประดิษฐานอยู่ คนที่นี่เคารพบูชามาก ก่อนเดินเข้าไปในวัด ต้องเดินผ่านซุ้มประตูที่ก่ออิฐปูน ประดับลวดลายวิจิตรงามตา นั่นเสียก่อน คุณยายเล่าต่อว่า ลวดลายทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของช่างโบราณสมัยศรีวิชัยโน่น เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไป ก็จะเห็นวิหารหลัง
ใหญ่ เรียกกันว่า วิหารหลวง มีระเบียงรอบด้าน มีมุขออกทางด้านหน้าและหลัง วิหารแห่งนี้เห็นว่าเป็นวิหารใหม่ที่สร้างขึ้นแทนหลังซึ่งผุกร่อนไปตามเวลา ถัดจากวิหารแห่งนี้ไปก็เป็นหอระฆัง
เป็นหอสำหรับแขวนระฆังและกังสดาลขนาดใหญ่ ระฆังนี้มีไว้เพื่อใช้ตีบอกสัญญาณเวลาแก่พระสงฆ์ ในการลงทำวัตรและประกอบพิธีสงฆ์ต่างๆแต่เสียงดังกังวานของระฆังนั้นก็มีความหมายแฝงไว้คือ การเตือนให้ตื่น เตือนสติให้เข้าถึงสัจธรรม และให้ความรู้สึก ถึงความสงบ
ความสันติสุข ทุกครั้งที่ฉันได้ยินสียงระฆังก็รู้สึกเหมือนที่คุณยายบอกไว้เช่นกัน
ถวายเพลเสร็จ คุณยายก็พาพวกเราสนทนากับกับหลวงพ่อ ท่านเห็นเด็กสองคน เก่ๆกังอยู่จึงทักขึ้นมาลอยๆ
“แม่หนูสองคนนั่นเป็นหลานยาย รึ”
“ใช่เจ้าค่ะ เพิ่งมาจากกรุงเท”หลวงพ่อพยักหน้ารับแล้วว่าต่อ
“ดีแล้วมีสองพี่น้องมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แม่คนเล็กนั่นแหล่ะเขาจะช่วยพี่ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก เลี้ยงให้ดีล่ะ”
“เจ้าค่ะ”คุณยายตอบรับคำ พ่อกะแม่ มองหน้ากันปะหลับปะเหลือก กับคำพูดของหลวงพ่อ แต่ก็ไม่กล้าถามต่อว่าท่านหมายถึงอะไร ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ซึ่งตอนหลังแม่ มาเล่าให้ฉันฟังว่า พ่อสิกังวลใจใหญ่ส่วนแม่นั้นกลับดีใจที่ลูกทั้งสองของแม่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และแม่ก็เชื่อเสมอว่าฉัน มีอะไรที่วิเศษแฝงอยู่
กลับมาจากวัด ก็บ่ายกว่าแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปพักตามอัธยาศัย พ่อกับแม่ไปคุยกับคุณลุงคุณป้าบ้านข้างๆที่เป็นญาติๆกัน พี่แป้งหอมก็ขึ้นเรือนไปดูทีวี พร้อมกับบ่นเรื่องสัญญาณเนตที่ไม่มีในบ้านคุณยาย หาว่านี่มันสมัยไหนแล้ว คุณยายจะอนุรักษ์ชีวิตโบราณไปไหน
ฟังพี่แป้งหอมบ่นจน ฉันรำคาญจึงหนีไปนอนเล่นที่ชิงช้าดีกว่า ยังไม่ทันไร ก็เห็นพี่แป้งหอมวิ่งจู๊ด ผ่านไปทางป่าด้านหลังซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนไทยหลังเล็ก ฉันจึงวิ่งตามพี่แป้งหอมไปด้วยความแปลกใจ ปกติพี่หอมไม่น่า จะออกมาวิ่งกลางแดดแบบนี้ คุณยายเคยเล่าถึงเรือนหลังเล็กนี้ว่าเป็นที่เก็บของเก่าสมัยคุณทวดของคุณทวดสืบต่อกันมาหลายต่อหลายปี ได้มีการซ่อมแซม
กันไปก็หลายๆหน แต่ก็ไม่มีใครคิดรื้อทิ้งแม้จะปิดไว้ เป็นเรือนร้างแล้วก็ตาม
“ใครจะไปกล้ารื้อทิ้ง เฮี้ยนออกจะขนาดนั้น” ฉันจำได้ว่าคุณป้านวลพี่สาวแม่พูดแบบนั้น
เห็นพี่แป้งหอมวิ่งเตลิดขึ้นไปบนเรือนเล็กนั่น ยังไม่ทันที่ฉันจะวิ่งตามขึ้นไปก็ได้ยินเสียงร้อง
กรี๊ดๆๆ ดังลั่น พอฉันวิ่งขึ้นไปก็เห็นพี่แป้งหอม ทรุดลงที่พื้นเอามือปิดหน้าปากก็ร้องโวยวาย
ฉันเข้าไปกอดพี่แป้งหอมไว้
“พี่หอมเป็นอะไร พี่หอมๆๆ” “แป้งๆ พี่เจอผี แป้งผีจริงๆนะแป้ง”
“ไหนๆ แป้งไม่เห็นมีใครเลยนี่พี่หอม ลองดูซิ” พี่หอมยังปิดหน้า ก็ค่อยๆเปิดตาออกมาดู
“แต่พี่เห็นจริงๆนะแป้งเห็นจริงๆผู้หญิงใส่ชุดโบราณไว้ม้วย วิ่งทะลุเข้าไปในเรือนจริงๆนะแป้ง” “แป้งว่าเรากลับกันเถอะพี่หอม เดียวแม่ถามหาเอา น่ะ”
“เออๆ ไปก็ไป” พี่หอมพูดแล้วเดินนำหน้าไปเลย
เรือนไทยหลังเล็กของคุณยาย เป็นเรือนแบบทางภาคเหนือคือ ยกใต้ถุนสูง เหมือนเรือน
หลังใหญ่ หรือคล้ายๆเรือนไทยทางภาคกลางนั่นแหล่ะ ต่างกันตรงที่ รูปทรงหลังคา และสัดส่วนของเรือนจะเตี้ยและลุ่มมากกว่าทั้งยังมีช่องหน้าต่างแคบๆเล็กๆไว้สำหรับกันลมหนาว คุณยายเคยเล่าว่า เรือนไทยหลังนี้มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี มีหลังคาที่มียอดจั่วประดับกาแลไม้ มีการแกะสลักอย่างงดงาม มุงกระเบื้องไม้เรียกว่า แป้นเกล็ด ตัวเรือนมีชานกว้างๆอยู่ด้านหน้า มีขนาดหนึ่งห้องนอน ซึ่งประตูห้องนี้ ปิดอยู่มีไม้หนาๆตอกไขว้กันไว้ไม่ให้ใครเข้า ฉันสังเกตเห็นมีผ้าแปลกๆผืนหนึ่งแปะไว้เหนือประตู เขียนอักษรอะไรไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ฉันรู้แล้ว นั่นคือผ้ายันต์
“พี่ว่าพี่ตาไม่ฝาดนะแป้ง ต้องเป็นผีแน่ๆ” พี่หอมบ่นไม่อยู่แถมมีท่าทางหวาดกลัวจริงๆ
“แล้วพี่หอมวิ่งไปเรือนนั้นทำไมล่ะ” “พี่ไม่รู้แป้ง พี่แค่รู้สึกอยากเดินเล่น”
“แป้งว่าพี่หอมตาฝาดผีที่ไหนจะมาตอนกลางวัน ล่ะพี่หอม”
“เออก็จริง” พี่หอมพูดเสียงยังหวั่นๆอยู่
สองพี่น้องพากันเดินกลับไปเรือนใหญ่ ได้เวลาคุณยาย เตรีมตั้งอาหารเย็นพอดี
“แม่หอม แม่แป้ง มาทางนี้สิลูก มาช่วยกันทำกับข้าวเร็ว” พี่แป้งหอมวิ่งจู๊ดนำไป ไม่รอฉันเลยสักนิดเดียว เป็นอีกสิ่งที่พี่แป้งหอมเก่ง คือทำกับข้าว ส่วนฉันได้แค่ล้างผักก็เก่งแล้ว พอล้างผักเสร็จคุณยายฉันก็ไล่ ออกจากครัว คงกลัวฉันวิ่งไปชนเตาเข้า ฉันเลยออกมานั่งเล่นตรงม้าหิน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้โรงครัวรอ ด้านหลังของโรงครัว มีแม่น้ำเล็กๆไหลผ่าน มีท่าขึ้นเรือทำจากไม้ อยู่หน่อย ตรงทางลง ซึ่งน่าจะไม่มีการใช้งานแล้ว นั่งเล่นนอนเล่นเพลินไปฉันก็เคลิ้มหลับ
ได้ยินเสียงแว่วๆ ใครมาเล่นกันเสียงดังอยู่แถวนี้ ก็เลยงัวเงียตื่นขึ้นมาดู เห็นเด็กแถวบ้านกำลังใช้หนังสติ๊กยิงนกกันอยู่ นึกในใจว่า แม่เคยบอกว่าบาปหนัก แต่ทำไมพวกนี้เห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้ ฉันตั้งใจจะวิ่งไปห้ามสักหน่อย แต่ โอ๊ย!!! อะไรวิ่งมาถูกตาฉัน จำได้ตอนนั้นว่า มันชาๆมึนๆ
หนักๆตรงหัว เอามือจับออกมาก็เห็นมีเลือดปนน้ำขาวๆขุ่นๆ ออกมา ฉันกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ เสียงร้องของฉันทำให้ทุกคนในบ้านวิ่งกันเข้ามาดู แล้วพาฉันไปโรงพยาบาล
“โชคดีนะคะที่หินไม่ถูกตาดำ แต่ต้องปิดตาไว้ก่อนนะคะแล้วเราจะประเมินอาการกันอีกที”คุณหมอบอกกับแม่อย่างนั้น สีหน้าแม่ซีดลง สิ่งที่แม่กังวลที่สุดในตอนนั้นคือฉันอาจตาบอด
https://pantip.com/topic/36707031 ลิงค์เดิม (มือใหม่หัดลงค่ะ)
กรุณาติดตามต่อ ตอนที่ 2 นักรบโบราณ ......