ปีพุทธศักราช 2171...
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก จึงเรียกหาออกญาศรีวรวงศ์ จางวางมหาดเล็ก เป็นขุนนางที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างมาก และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โดยบิดาของออกญาศรีวรวงศ์เป็นพระปิตุลาแท้ๆของพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงให้ออกญาศรีวรวงศ์เชิญกระแสรับสั่งออกในที่ประชุมขุนนางเรื่องรัชทายาท ซึ่งในครานั้นเหล่าขุนนางมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพระเชษฐาธิราช พระโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แต่อีกฝ่ายสนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ฝ่ายนี้มี ออกญากลาโหม ออกญาท้ายน้ำ ออกหลวงธรรมไตรโลก ออกพระศรีเนาวรัตน์และออกพระจุฬา (ราชมนตรี) สนับสนุน
ออกญาศรีวรวงศ์กังวลเรื่องพระศรีศิลป์จะก่อการกบฏจึงแวะไปเรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดีเกลอเก่าเพื่อปรึกษาหารือ จมื่นสรรเพชรภักดีรู้ว่าออกญาศรีวรวงศ์เป็นคนเลือดร้อนจึงปรามว่าอย่าพึ่งด่วนทำการใด ให้รอดูท่าทีไปก่อน ออกญาศรีวรวงศ์ถึงจะเป็นคนเลือดร้อน เด็ดขาด แต่ก็เป็นคนรักพวกพ้องยิ่งนัก ถึงแม้จะได้ดีในหน้าที่ราชการถึงเพียงใดก็ยังปฏิบัติตัวต่อเกลอเก่าเช่นเดิม เมื่อเกลอเก่าห้ามปรามจึงรับฟังและทำตาม
หากออกญาศรีวรวงศ์เป็นน้ำร้อน จมื่นสรรเพชญ์ภักดีก็เป็นดั่งน้ำเย็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยมีผู้รู้เท่าใดนัก เพราะถึงแม้ออกญาศรีวรวงศ์จะมีอำนาจมากมายเพียงใดแต่จมื่นศรีสรรเพชญ์ภักดีไม่เคยป่าวประกาศว่าตนเป็นเกลอรักกับผู้มีอิทธิพลเหมือนดั่งขุนนางคนอื่นที่หาทางประจบออกญาศรีวรวงศ์กันเป็นโขยง
00000000
เรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดี...
คุณหญิงชื่นพะว้าพะวง ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก เฝ้ารอลูกชายหัวเกี้ยวหัวแหวนที่จากเรือนไปหลายเดือนแล้ว พิศกับเพลินบ่าวรับใช้ยกสำรับมาวางตรงหน้าแต่คุณหญิงชื่นก็ไม่ยอมกิน บอกว่าหากวันนี้ยังไม่เห็นหน้าลูกชายจะไม่ยอมกินกระไรเลย
“ไอ้บุษย์มันไปตามพ่อสิงห์ถึงไหนกันรึนังพิศ ป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมา ข้าคิดถึงพ่อสิงห์จนใจจะขาดอยู่แล้ว” คุณหญิงชื่นบ่นกับบ่าวคนสนิท
“มันไปตั้งแต่เมื่อวาน อีกประเดี๋ยวคงตามตัวคุณสิงห์กลับมาให้คุณหญิงหายคิดถึง อดใจรออีกประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” พิศปลอบใจคุณหญิงชื่น
“มาแล้วเจ้าค่ะ คุณสิงห์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เพลินแหกปากร้องลั่น เมื่อเห็นสิงห์กับบุษย์ควบม้ามาแต่ไกล
“พ่อสิงห์กลับมาแล้ว”
คุณหญิงชื่นออกมานอกชานเรือนมองดูลูกชายที่เพิ่งมาถึงหมาดๆด้วยท่าทีดีใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม สิงห์รีบขึ้นเรือนมาหาผู้เป็นแม่ คุณหญิงชื่นรีบโผเข้ากอดลูกชาย
“พ่อสิงห์ แม่ไม่ได้เห็นหน้าคร่าตานานนัก จนเกือบจะจำหน้าไม่ได้อยู่แล้วเชียว หากไม่ให้ไอ้บุษย์ไปตาม เมื่อใดแม่จะได้เห็นหน้า จะปล่อยให้แม่ทนพิษคิดถึงลูกจนขาดใจตายหรืออย่างไร” คุณหญิงชมตัดพ้อน้อยใจลูกชาย
“ลูกกราบขอโทษขอรับคุณหญิงแม่ ลูกมัวแต่สนใจฝึกฝนหมัดมวย จนไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนคุณหญิงแม่ อภัยให้ลูกด้วยเถิดขอรับ”
สิงห์ก้มกราบแม่อย่างนอบน้อม
“เอาเถิด แม่ไม่ได้โกรธเคืองดอก เพียงแต่น้อยใจ” คุณหญิงชื่นเพ่งพิศมองลูกชายทั่วทั้งตัว
“ตายแล้วพ่อสิงห์ คล้ำลงไปเป็นกอง มือเท้าก็หยาบกร้าน ฝึกฝนกระไรกันถึงได้มีสภาพยับเยินถึงเพียงนี้ แม่ไม่ให้ไปเรียนกระไรอีกแล้วนะลูก” คุณหญิงชื่นรับไม่ได้ที่ลูกชายคนเดียวที่เฝ้าฟูมฟักมาอย่างดี ต้องมีผิวพรรณที่หยาบกร้านหมองคล้ำไม่ขาวผ่องดังเดิม
“ลูกไปฝึกฝนวิชาต่อสู้ จะให้มัวห่วงผิวพรรณได้อย่างไรกันเล่าขอรับคุณหญิงแม่”
“คุณสิงห์ชกมวยเตะต่อยชำนาญเหมือนนักมวยผู้เก่งกาจเลยขอรับ” บุษย์รีบยกยอนายพร้อมทำท่าปล่อยหมัดชกมวย
“จริงรึไอ้บุษย์ คุณสิงห์เก่งขนาดนั้นเชียวรึ” เพลินเอ่ยถามบุษย์ เพราะไม่เคยเห็นสิงห์ชกมวย
“จริงสิจ๊ะ ฉันเห็นคุณสิงห์ออกลีลาชกมวยมากับตา”
บุษย์บอกเล่าแววตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันที่นั่งดูสิงห์ประลองมวย คุณหญิงชมสั่งให้พิศกับเพลินจัดเตรียมสำรับของโปรดทั้งคาวหวานของสิงห์ไว้ให้พร้อม ก่อนจะบอกให้สิงห์ไปล้างเนื้อล้างตัวเพราะเห็นว่ามอมแมม ทางด้านบุษย์ก็ไปสาธยายเรื่องฝีมือเชิงมวยของคุณสิงห์ให้บ่าวไพร่ในเรือนฟังอย่างออกรสออกชาติ
00000000
เมื่อจมื่นสรรเพชญ์กลับมาถึงเรือนในตอนเย็น สิงห์ก็เข้าไปกราบกรานผู้เป็นพ่อ จมื่นสรรเพชญ์ภักดีวางแผนให้ลูกชายเข้ารับราชการเพราะเห็นว่ามีวิชาติดตัวมาแล้ว สิงห์เห็นผู้เป็นพ่อมีสีหน้าไม่สู้ดีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จมื่นสรรเพชรภักดีจึงยอมบอกลูกชายว่าบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ส่อแววจะเกิดกากก่อการกบฏ แล้วเล่าต่อว่าออกญาศรีวรวงศ์กำลังเตรียมการรับมืออยู่ หากได้สิงห์มาช่วยงานพ่อคงเบาใจขึ้น
“เมื่อวานออกญาท่านก็มาปรึกษาหารือกับพ่อเรื่องนี้ ไม่เห็นหน้าหลานรักก็เลยถามหา พ่อก็บอกไปว่าพ่อสิงห์ไปร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ ท่านก็ชอบใจนักบอกว่าจองตัวพ่อสิงห์เข้ารับราชการสังกัดกรมกองออกญาศรีวรวงศ์ไว้เลย”
“ท่านอามีเมตตากับลูกนัก เอ็นดูลูกตั้งแต่เป็นเพียงจมื่นศรีสรรักษ์จนบัดนี้ได้เป็นถึงออกญาศรีวรวงศ์ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป”
“นี่แหละข้อดีของออกญาท่าน รักพวกพ้องยิ่งนัก ไม่เคยทอดทิ้งญาติสนิทมิตรสหาย เหมือนดังครั้งนั้น...”
จมื่นสรรเพชญ์ภักดีนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันวาน...
“เมื่อครั้งอาเจ้ายังเป็นเพียงจมื่นศรีสรรักษ์ อายุได้ 18 ปี แต่อาของเจ้ามีนิสัยค่อนไปทางนักเลง เชี่ยวชาญในการต่อสู้ทั้งยังมีพวกพ้องบริวารอยู่เป็นอันมาก ต่อมาได้ไปก่อเหตุทำร้ายพระยาแรกนาแล้วหนีไปหลบอยู่ในวัด ไม่ยอมถูกจับกุม และไม่มีผู้ใดจับกุมตัวได้ จันกระทั่งพระเจ้าอยู่หัว(สมเด็จพระเอกาทศรถ)จึงให้จับตัวออกญาศรีธรรมาธิราชผู้เป็นบิดาไปขัง จมื่นศรีสรรักษ์จึงยอมเข้ามามอบตัวแต่โดยดี”
“หากเป็นลูก ลูกก็จะยอมเข้ามอบตัว เพราะหากต้องทำให้พ่อเดือดร้อนเพราะตน ก็เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นคนนัก แล้วออกญาท่านออกจากคุกได้อย่างไรหรือขอรับ” สิงห์ออกความคิดเห็นและถามต่อ...
“มีรับสั่งให้จับไปขังคุก 5 เดือน แต่ทว่าบรรดาพวกพ้องได้ไปร้องขอให้เจ้าขรัวมณีจันทร์ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทน ออกญาท่านจึงได้กลับมารับราชการต่อ และรุ่งเรืองขึ้นกว่าแต่ก่อน”
สิงห์เพลิดเพลินกับเรื่องเล่าของออกญาศรีวรวงศ์ ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“พ่อสิงห์ พ่ออยากให้เจ้าเรียนดาบเพิ่ม ไหนๆก็เป็นมวยแล้ว จงเรียนดาบเพิ่มเติมเถิด เผื่อวันหน้าจะได้ใช้เป็นคุณแก่แผ่นดิน” จมื่นสรรค์เพชญ์ภักดีวางแผนอนาคตให้ลูกชาย
“เจ้าคุณพ่อขอรับ ลูกมีเรื่องอยากขอก่อนเข้ารับราชการขอรับ”
“พ่อสิงห์ยังมีเรื่องอันใดอีกรึ นึกว่าขอไปเรียนหมัดมวยก็จะหมดเรื่องขอเสียแล้ว”
“อีกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นขอรับ เจ้าคุณพ่อ” สิงห์ทำใจดีสู้เสือเมื่อผู้เป็นพ่อทำท่าทางเหมือนรู้ทัน
“เรื่องกระไรรึ ไหนลองว่ามาซิ หากเห็นว่าสมควร พ่อก็จักไม่ขัดเจ้าดอก”
“ลูกมีแม่หญิงในดวงใจ แลได้ให้คำสัญญาไว้แล้วว่าจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอมาเป็นศรีเรือน เจ้าคุณพ่อช่วยเป็นธุระให้ลูกได้หรือไม่ขอรับ” สิงห์รวบรวมความกล้าพูดออกไป แล้วหวั่นใจในคำตอบของผู้เป็นพ่อยิ่งนัก จมื่นสรรเพชญ์ภักดีเห็นลูกชายทำหน้าเจื่อนจึงหัวเราะออกมา
“กระไรกัน นี่จากบ้านไปไม่กี่เดือน จะหาเมียมาให้พ่อแม่ไปสู่ขอแล้วรึ ร้ายนักนะเจ้า บอกพ่อมาประเดี๋ยวนี้ ว่าที่ศรีสะใภ้คุณหญิงชื่น ชื่อเสียงเรียงนามกระไร เป็นลูกเป็นหลานบ้านใดกันรึพ่อสิงห์”
“ชื่อทับทิม เป็นลูกสาวของครูมวยที่ลูกไปร่ำเรียนขอรับ”
“เอาล่ะ คงถึงวัยอยากมีครอบมีครัวของเจ้าแล้ว พ่อไม่ว่ากระไร แลจะไปสู่ขอให้ดังที่เจ้าขอมา”
“ขอบพระคุณขอรับเจ้าคุณพ่อ” สิงห์ดีใจตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก
“อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะพ่อจะไปสู่ขอแม่ทับทิมให้หลังจากเจ้าเข้ารับราชการแล้วเท่านั้น ตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้ยศไร้ตำแหน่ง แต่ริจะมีเมีย ไม่อายชาวบ้านเขารึ”
สิงห์สีหน้าเปลี่ยนคิดหาคำแก้ตัว...
“เอาอย่างที่พ่อว่า พ่อจะส่งครูดาบศิษย์สำนักพุทไธสวรรค์มาฝึกสอนให้เจ้า จงตั้งใจฝึกฝนให้ดี เข้ารับราชการวันใดพ่อจะไปรับศรีสะใภ้มาส่งให้เจ้าถึงเรือน” จมื่นสรรเพชรภักดีส่งสายตาเอาจริงเอาจังจนสิงห์เถียงไม่ออก
“ขอรับ เจ้าคุณพ่อ”
00000000
ขุนพันธ์ นายทหารในสังกัดกรมกองของจมื่นสรรเพชรภักดี เป็นศิษย์สำนักพุทไธสวรรค์ได้รับหน้าที่มาเป็นครูฝึกวิชาดาบให้กับสิงห์ สิงห์ตั้งใจฝึกซ้อมทุกวี่วันโดยมีทับทิม หญิงผู้เป็นดวงใจเป็นเป้าหมายของการฝึกครั้งนี้ หากฝีมือเข้าขั้นวันใด สิงห์ก็จะได้ฤกษ์ยามไปรับเธอมาเป็นศรีเรือนดังคำมั่นที่ให้ไว้
ท่วงท่าการฟาดฟันดาบของสิงห์พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานหมัดมวยที่มีมาแต่แรก ทำให้เมื่อเรียนดาบก็จับจังหวะท่วงท่าได้ว่องไวยิ่งขึ้น บ่าวในเรือนโดยเฉพาะบุษย์ยิ่งชื่นชมในฝีไม้ลายมือของผู้เป็นนาย คุณหญิงชื่นเองก็ปลาบปลื้มใจไม่น้อยที่เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีฝีมือการต่อสู้ไม่แพ้ลูกขุนนางคนใด
00000000
ในตอนค่ำ เรือนครูเที่ยง...
นับแต่วันที่สิงห์จากไป ทับทิมก็เฝ้าแต่คะนึงหา ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นแต่หน้าสิงห์วนเวียนเต็มไปหมด ลานมวยที่เคยซ้อมด้วยกัน ลำคลองที่เคยพลอดรัก วันเวลาผ่านไปล่วงเดือนแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าสิงห์จะกลับมา
“ไอ้สิงห์ เอ็งลืมสัญญาของเราแล้วรึ เหตุใดยังไม่กลับมา หรือว่า...ใจเอ็งเปลี่ยนไปแล้ว”
ทับทิมเฝ้ากังวล ในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ท่ามกลางความเงียบงันก็มีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งค่อยๆย่างกรายเข้ามา ทับทิมเงี่ยหูฟังแล้วหันกลับไปดูอย่างมีความหวัง...
“ไอ้จุก เป็นเอ็งดอกรึ” ทับทิมเสียงแผ่ว เมื่อไม่ใช่คนที่ตนหวัง
“ฉันเอง ทำไมรึ อยากให้เป็นไอ้สิงห์แทนที่จะเป็นฉันล่ะสิ” จุกพูดอย่างรู้ทัน ทับทิมนั่งกอดเข่านิ่ง ไม่พูดจา
“หากคิดถึงมันขนาดนั้น เราก็ไปหามันเลยดีไหมพี่ กรุงศรีจะกว้างใหญ่สักพียงใดกัน วันสองวันคงหาเจอ”
“เหตุใดต้องทำเยี่ยงนั้น หากไอ้สิงห์มันไม่คิดจะกลับมา ข้าก็หาจำเป็นต้องเฝ้ารอพร่ำเพ้อหาคนไร้สัจจะไม่”
ทับทิมพูดทิ้งท้ายอย่างโมโห ก่อนจะลุกเดินหนีออกไป จุกรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นหาได้ออกมาจากใจพี่สาวคนสนิทแม้แต่น้อย...
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๑ จมื่นศรีสรรักษ์
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก จึงเรียกหาออกญาศรีวรวงศ์ จางวางมหาดเล็ก เป็นขุนนางที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างมาก และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โดยบิดาของออกญาศรีวรวงศ์เป็นพระปิตุลาแท้ๆของพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงให้ออกญาศรีวรวงศ์เชิญกระแสรับสั่งออกในที่ประชุมขุนนางเรื่องรัชทายาท ซึ่งในครานั้นเหล่าขุนนางมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพระเชษฐาธิราช พระโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แต่อีกฝ่ายสนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ฝ่ายนี้มี ออกญากลาโหม ออกญาท้ายน้ำ ออกหลวงธรรมไตรโลก ออกพระศรีเนาวรัตน์และออกพระจุฬา (ราชมนตรี) สนับสนุน
ออกญาศรีวรวงศ์กังวลเรื่องพระศรีศิลป์จะก่อการกบฏจึงแวะไปเรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดีเกลอเก่าเพื่อปรึกษาหารือ จมื่นสรรเพชรภักดีรู้ว่าออกญาศรีวรวงศ์เป็นคนเลือดร้อนจึงปรามว่าอย่าพึ่งด่วนทำการใด ให้รอดูท่าทีไปก่อน ออกญาศรีวรวงศ์ถึงจะเป็นคนเลือดร้อน เด็ดขาด แต่ก็เป็นคนรักพวกพ้องยิ่งนัก ถึงแม้จะได้ดีในหน้าที่ราชการถึงเพียงใดก็ยังปฏิบัติตัวต่อเกลอเก่าเช่นเดิม เมื่อเกลอเก่าห้ามปรามจึงรับฟังและทำตาม
หากออกญาศรีวรวงศ์เป็นน้ำร้อน จมื่นสรรเพชญ์ภักดีก็เป็นดั่งน้ำเย็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยมีผู้รู้เท่าใดนัก เพราะถึงแม้ออกญาศรีวรวงศ์จะมีอำนาจมากมายเพียงใดแต่จมื่นศรีสรรเพชญ์ภักดีไม่เคยป่าวประกาศว่าตนเป็นเกลอรักกับผู้มีอิทธิพลเหมือนดั่งขุนนางคนอื่นที่หาทางประจบออกญาศรีวรวงศ์กันเป็นโขยง
เรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดี...
คุณหญิงชื่นพะว้าพะวง ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก เฝ้ารอลูกชายหัวเกี้ยวหัวแหวนที่จากเรือนไปหลายเดือนแล้ว พิศกับเพลินบ่าวรับใช้ยกสำรับมาวางตรงหน้าแต่คุณหญิงชื่นก็ไม่ยอมกิน บอกว่าหากวันนี้ยังไม่เห็นหน้าลูกชายจะไม่ยอมกินกระไรเลย
“ไอ้บุษย์มันไปตามพ่อสิงห์ถึงไหนกันรึนังพิศ ป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมา ข้าคิดถึงพ่อสิงห์จนใจจะขาดอยู่แล้ว” คุณหญิงชื่นบ่นกับบ่าวคนสนิท
“มันไปตั้งแต่เมื่อวาน อีกประเดี๋ยวคงตามตัวคุณสิงห์กลับมาให้คุณหญิงหายคิดถึง อดใจรออีกประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” พิศปลอบใจคุณหญิงชื่น
“มาแล้วเจ้าค่ะ คุณสิงห์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เพลินแหกปากร้องลั่น เมื่อเห็นสิงห์กับบุษย์ควบม้ามาแต่ไกล
“พ่อสิงห์กลับมาแล้ว”
คุณหญิงชื่นออกมานอกชานเรือนมองดูลูกชายที่เพิ่งมาถึงหมาดๆด้วยท่าทีดีใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม สิงห์รีบขึ้นเรือนมาหาผู้เป็นแม่ คุณหญิงชื่นรีบโผเข้ากอดลูกชาย
“พ่อสิงห์ แม่ไม่ได้เห็นหน้าคร่าตานานนัก จนเกือบจะจำหน้าไม่ได้อยู่แล้วเชียว หากไม่ให้ไอ้บุษย์ไปตาม เมื่อใดแม่จะได้เห็นหน้า จะปล่อยให้แม่ทนพิษคิดถึงลูกจนขาดใจตายหรืออย่างไร” คุณหญิงชมตัดพ้อน้อยใจลูกชาย
“ลูกกราบขอโทษขอรับคุณหญิงแม่ ลูกมัวแต่สนใจฝึกฝนหมัดมวย จนไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนคุณหญิงแม่ อภัยให้ลูกด้วยเถิดขอรับ”
สิงห์ก้มกราบแม่อย่างนอบน้อม
“เอาเถิด แม่ไม่ได้โกรธเคืองดอก เพียงแต่น้อยใจ” คุณหญิงชื่นเพ่งพิศมองลูกชายทั่วทั้งตัว
“ตายแล้วพ่อสิงห์ คล้ำลงไปเป็นกอง มือเท้าก็หยาบกร้าน ฝึกฝนกระไรกันถึงได้มีสภาพยับเยินถึงเพียงนี้ แม่ไม่ให้ไปเรียนกระไรอีกแล้วนะลูก” คุณหญิงชื่นรับไม่ได้ที่ลูกชายคนเดียวที่เฝ้าฟูมฟักมาอย่างดี ต้องมีผิวพรรณที่หยาบกร้านหมองคล้ำไม่ขาวผ่องดังเดิม
“ลูกไปฝึกฝนวิชาต่อสู้ จะให้มัวห่วงผิวพรรณได้อย่างไรกันเล่าขอรับคุณหญิงแม่”
“คุณสิงห์ชกมวยเตะต่อยชำนาญเหมือนนักมวยผู้เก่งกาจเลยขอรับ” บุษย์รีบยกยอนายพร้อมทำท่าปล่อยหมัดชกมวย
“จริงรึไอ้บุษย์ คุณสิงห์เก่งขนาดนั้นเชียวรึ” เพลินเอ่ยถามบุษย์ เพราะไม่เคยเห็นสิงห์ชกมวย
“จริงสิจ๊ะ ฉันเห็นคุณสิงห์ออกลีลาชกมวยมากับตา”
บุษย์บอกเล่าแววตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันที่นั่งดูสิงห์ประลองมวย คุณหญิงชมสั่งให้พิศกับเพลินจัดเตรียมสำรับของโปรดทั้งคาวหวานของสิงห์ไว้ให้พร้อม ก่อนจะบอกให้สิงห์ไปล้างเนื้อล้างตัวเพราะเห็นว่ามอมแมม ทางด้านบุษย์ก็ไปสาธยายเรื่องฝีมือเชิงมวยของคุณสิงห์ให้บ่าวไพร่ในเรือนฟังอย่างออกรสออกชาติ
เมื่อจมื่นสรรเพชญ์กลับมาถึงเรือนในตอนเย็น สิงห์ก็เข้าไปกราบกรานผู้เป็นพ่อ จมื่นสรรเพชญ์ภักดีวางแผนให้ลูกชายเข้ารับราชการเพราะเห็นว่ามีวิชาติดตัวมาแล้ว สิงห์เห็นผู้เป็นพ่อมีสีหน้าไม่สู้ดีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จมื่นสรรเพชรภักดีจึงยอมบอกลูกชายว่าบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ส่อแววจะเกิดกากก่อการกบฏ แล้วเล่าต่อว่าออกญาศรีวรวงศ์กำลังเตรียมการรับมืออยู่ หากได้สิงห์มาช่วยงานพ่อคงเบาใจขึ้น
“เมื่อวานออกญาท่านก็มาปรึกษาหารือกับพ่อเรื่องนี้ ไม่เห็นหน้าหลานรักก็เลยถามหา พ่อก็บอกไปว่าพ่อสิงห์ไปร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ ท่านก็ชอบใจนักบอกว่าจองตัวพ่อสิงห์เข้ารับราชการสังกัดกรมกองออกญาศรีวรวงศ์ไว้เลย”
“ท่านอามีเมตตากับลูกนัก เอ็นดูลูกตั้งแต่เป็นเพียงจมื่นศรีสรรักษ์จนบัดนี้ได้เป็นถึงออกญาศรีวรวงศ์ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป”
“นี่แหละข้อดีของออกญาท่าน รักพวกพ้องยิ่งนัก ไม่เคยทอดทิ้งญาติสนิทมิตรสหาย เหมือนดังครั้งนั้น...”
จมื่นสรรเพชญ์ภักดีนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันวาน...
“เมื่อครั้งอาเจ้ายังเป็นเพียงจมื่นศรีสรรักษ์ อายุได้ 18 ปี แต่อาของเจ้ามีนิสัยค่อนไปทางนักเลง เชี่ยวชาญในการต่อสู้ทั้งยังมีพวกพ้องบริวารอยู่เป็นอันมาก ต่อมาได้ไปก่อเหตุทำร้ายพระยาแรกนาแล้วหนีไปหลบอยู่ในวัด ไม่ยอมถูกจับกุม และไม่มีผู้ใดจับกุมตัวได้ จันกระทั่งพระเจ้าอยู่หัว(สมเด็จพระเอกาทศรถ)จึงให้จับตัวออกญาศรีธรรมาธิราชผู้เป็นบิดาไปขัง จมื่นศรีสรรักษ์จึงยอมเข้ามามอบตัวแต่โดยดี”
“หากเป็นลูก ลูกก็จะยอมเข้ามอบตัว เพราะหากต้องทำให้พ่อเดือดร้อนเพราะตน ก็เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นคนนัก แล้วออกญาท่านออกจากคุกได้อย่างไรหรือขอรับ” สิงห์ออกความคิดเห็นและถามต่อ...
“มีรับสั่งให้จับไปขังคุก 5 เดือน แต่ทว่าบรรดาพวกพ้องได้ไปร้องขอให้เจ้าขรัวมณีจันทร์ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทน ออกญาท่านจึงได้กลับมารับราชการต่อ และรุ่งเรืองขึ้นกว่าแต่ก่อน”
สิงห์เพลิดเพลินกับเรื่องเล่าของออกญาศรีวรวงศ์ ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“พ่อสิงห์ พ่ออยากให้เจ้าเรียนดาบเพิ่ม ไหนๆก็เป็นมวยแล้ว จงเรียนดาบเพิ่มเติมเถิด เผื่อวันหน้าจะได้ใช้เป็นคุณแก่แผ่นดิน” จมื่นสรรค์เพชญ์ภักดีวางแผนอนาคตให้ลูกชาย
“เจ้าคุณพ่อขอรับ ลูกมีเรื่องอยากขอก่อนเข้ารับราชการขอรับ”
“พ่อสิงห์ยังมีเรื่องอันใดอีกรึ นึกว่าขอไปเรียนหมัดมวยก็จะหมดเรื่องขอเสียแล้ว”
“อีกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นขอรับ เจ้าคุณพ่อ” สิงห์ทำใจดีสู้เสือเมื่อผู้เป็นพ่อทำท่าทางเหมือนรู้ทัน
“เรื่องกระไรรึ ไหนลองว่ามาซิ หากเห็นว่าสมควร พ่อก็จักไม่ขัดเจ้าดอก”
“ลูกมีแม่หญิงในดวงใจ แลได้ให้คำสัญญาไว้แล้วว่าจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอมาเป็นศรีเรือน เจ้าคุณพ่อช่วยเป็นธุระให้ลูกได้หรือไม่ขอรับ” สิงห์รวบรวมความกล้าพูดออกไป แล้วหวั่นใจในคำตอบของผู้เป็นพ่อยิ่งนัก จมื่นสรรเพชญ์ภักดีเห็นลูกชายทำหน้าเจื่อนจึงหัวเราะออกมา
“กระไรกัน นี่จากบ้านไปไม่กี่เดือน จะหาเมียมาให้พ่อแม่ไปสู่ขอแล้วรึ ร้ายนักนะเจ้า บอกพ่อมาประเดี๋ยวนี้ ว่าที่ศรีสะใภ้คุณหญิงชื่น ชื่อเสียงเรียงนามกระไร เป็นลูกเป็นหลานบ้านใดกันรึพ่อสิงห์”
“ชื่อทับทิม เป็นลูกสาวของครูมวยที่ลูกไปร่ำเรียนขอรับ”
“เอาล่ะ คงถึงวัยอยากมีครอบมีครัวของเจ้าแล้ว พ่อไม่ว่ากระไร แลจะไปสู่ขอให้ดังที่เจ้าขอมา”
“ขอบพระคุณขอรับเจ้าคุณพ่อ” สิงห์ดีใจตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก
“อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะพ่อจะไปสู่ขอแม่ทับทิมให้หลังจากเจ้าเข้ารับราชการแล้วเท่านั้น ตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้ยศไร้ตำแหน่ง แต่ริจะมีเมีย ไม่อายชาวบ้านเขารึ”
สิงห์สีหน้าเปลี่ยนคิดหาคำแก้ตัว...
“เอาอย่างที่พ่อว่า พ่อจะส่งครูดาบศิษย์สำนักพุทไธสวรรค์มาฝึกสอนให้เจ้า จงตั้งใจฝึกฝนให้ดี เข้ารับราชการวันใดพ่อจะไปรับศรีสะใภ้มาส่งให้เจ้าถึงเรือน” จมื่นสรรเพชรภักดีส่งสายตาเอาจริงเอาจังจนสิงห์เถียงไม่ออก
“ขอรับ เจ้าคุณพ่อ”
ขุนพันธ์ นายทหารในสังกัดกรมกองของจมื่นสรรเพชรภักดี เป็นศิษย์สำนักพุทไธสวรรค์ได้รับหน้าที่มาเป็นครูฝึกวิชาดาบให้กับสิงห์ สิงห์ตั้งใจฝึกซ้อมทุกวี่วันโดยมีทับทิม หญิงผู้เป็นดวงใจเป็นเป้าหมายของการฝึกครั้งนี้ หากฝีมือเข้าขั้นวันใด สิงห์ก็จะได้ฤกษ์ยามไปรับเธอมาเป็นศรีเรือนดังคำมั่นที่ให้ไว้
ท่วงท่าการฟาดฟันดาบของสิงห์พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานหมัดมวยที่มีมาแต่แรก ทำให้เมื่อเรียนดาบก็จับจังหวะท่วงท่าได้ว่องไวยิ่งขึ้น บ่าวในเรือนโดยเฉพาะบุษย์ยิ่งชื่นชมในฝีไม้ลายมือของผู้เป็นนาย คุณหญิงชื่นเองก็ปลาบปลื้มใจไม่น้อยที่เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีฝีมือการต่อสู้ไม่แพ้ลูกขุนนางคนใด
ในตอนค่ำ เรือนครูเที่ยง...
นับแต่วันที่สิงห์จากไป ทับทิมก็เฝ้าแต่คะนึงหา ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นแต่หน้าสิงห์วนเวียนเต็มไปหมด ลานมวยที่เคยซ้อมด้วยกัน ลำคลองที่เคยพลอดรัก วันเวลาผ่านไปล่วงเดือนแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าสิงห์จะกลับมา
“ไอ้สิงห์ เอ็งลืมสัญญาของเราแล้วรึ เหตุใดยังไม่กลับมา หรือว่า...ใจเอ็งเปลี่ยนไปแล้ว”
ทับทิมเฝ้ากังวล ในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ท่ามกลางความเงียบงันก็มีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งค่อยๆย่างกรายเข้ามา ทับทิมเงี่ยหูฟังแล้วหันกลับไปดูอย่างมีความหวัง...
“ไอ้จุก เป็นเอ็งดอกรึ” ทับทิมเสียงแผ่ว เมื่อไม่ใช่คนที่ตนหวัง
“ฉันเอง ทำไมรึ อยากให้เป็นไอ้สิงห์แทนที่จะเป็นฉันล่ะสิ” จุกพูดอย่างรู้ทัน ทับทิมนั่งกอดเข่านิ่ง ไม่พูดจา
“หากคิดถึงมันขนาดนั้น เราก็ไปหามันเลยดีไหมพี่ กรุงศรีจะกว้างใหญ่สักพียงใดกัน วันสองวันคงหาเจอ”
“เหตุใดต้องทำเยี่ยงนั้น หากไอ้สิงห์มันไม่คิดจะกลับมา ข้าก็หาจำเป็นต้องเฝ้ารอพร่ำเพ้อหาคนไร้สัจจะไม่”
ทับทิมพูดทิ้งท้ายอย่างโมโห ก่อนจะลุกเดินหนีออกไป จุกรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นหาได้ออกมาจากใจพี่สาวคนสนิทแม้แต่น้อย...
โปรดติดตามตอนต่อไป