ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๒๒ เจ้าแผ่นดินว่าเราเป็นกบฏแล้ว...เราจะทำตามรับสั่ง

ทับทิมเบื่อการเข้าครัว เมื่อเห็นว่าพิศเผลอจึงแอบหนีมาดูทหารฝึกซ้อมดาบ กิ่งที่คอยตามเฝ้าสังเกตเห็นทับทิมสนิทสนมกับหมื่นพันธราชก็นำความไปบอกนายของตน อังกาบจึงคิดแผนจะยุยงให้สิงห์กับทับทิมแตกกัน โดยไปเป่าหูสิงห์ว่า ทับทิมทำตัวสนิทสนมกับหัวหมื่นและขลุกตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่เช้าจนตะวันจะตกดินอยู่แล้ว สิงห์โดนเป่าหู พิษแรงหึงก็ทำให้บึ่งไปตามทับทิมถึงที่ เมื่อไปถึงก็เห็นทับทิมและจุกกำลังพูดคุยสนิทสนมกับหัวหมื่นจริงดังคำอังกาบว่าก็ยิ่งไม่พอใจ จึงตรงเข้าไปแสดงความเป็นเจ้าของและขอตัวทับทิมออกมาจากลานฝึกซ้อม

         ทับทิมไม่พอใจที่สิงห์มาแสดงอาการหึงหวงและสั่งห้ามไม่ให้ตนไปที่ลานฝึกซ้อมอีก และบอกจะหนีกลับบ้านหากสิงห์มาบังคับตน สิงห์จึงต้องยอมจำนน แต่ถึงกระนั้นก็ไปนั่งเฝ้าทับทิมและกำชับจุกไว้ไม่ให้ทับทิมต้องอยู่กับหัวหมื่นตามลำพังสองคนเด็ดขาด

00000000


         เมื่ออังกาบเห็นว่าแผนการยุแยงให้สิงห์ผิดใจกับทับทิมไม่เป็นผล มิหนำซ้ำยังทำให้สิงห์หาเวลามานั่งเฝ้าทับทิมและตัวติดกันหนักกว่าเดิมอีก อังกาบจึงคิดหาแผนใหม่ เมื่อเห็นว่าคุณหญิงชื่นกำลังเคี่ยวเข็ญให้ทับทิมหัดเรียงหุงหาข้าวปลา จึงใช้ให้กิ่งเอาสลอดไปใส่อาหารที่ทับทิมจะทำมาให้คุณหญิงชื่น แต่บังเอิญพิศมาแอบเห็นเข้าจึงนำความไปบอกกับสิงห์ เมื่อทับทิมยกสำรับเข้ามา สิงห์จึงหยิบอาหารที่โดนวางยานั้นตักขึ้นจะป้อนอังกาบ อังกาบบ่ายเบี่ยงสิงห์จึงแสร้งน้อยใจว่าอังกาบรังเกียจตนหรือไร อังกาบจึงยอมจำนนกินอาหารที่ตนวางยา แล้วรีบขอตัวกลับบ้านไปทันที

00000000


         พิษของสลอดทำให้อังกาบท้องไส้ปั่นป่วนและหมดเรี่ยวแรง ออกญาจักกรีเห็นลูกหน้าซีดเซียว และกิ่งก็หลุดปากว่าโดนสลอด ก็โมโหหุนหันพลันแล่นไปอาละวาดยังเรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดี สิงห์จึงบอกว่าเป็นสลอดที่อังกาบเป็นคนใส่เอง พิศช่วยยืนยันให้สิงห์อีกแรงว่าเห็นกับตา คุณหญิงชื่นตกใจแต่ก็เชื่อพิศ เพราะบ่าวรับใช้ไม่เคยโกหก สิงห์ต่อว่าอังกาบว่าหากแม่ตนกินไปจริงๆก็คงล้มป่วยไม่ต่างกัน ออกญาจักรีโมโหที่เสียหน้า และโกรธที่สิงห์เอาสลอดป้อนเข้าปากลูกสาวตนจึงด่าว่าสิงห์รุนแรง คุณหญิงชื่นทนไม่ได้ที่ลูกชายสุดรักถูกต่อว่า จึงโกรธและกล่าวว่า

         “หากลูกชายของอิฉันไม่ดีและเลวร้ายถึงเพียงนั้น อิฉันก็เห็นว่าคงไม่เหมาะจะเป็นเขยของออกญาจักรี ฉะนั้นแล้วการหมั้นหมายที่เคยพูดคุยกันไว้ก็ให้ถือเป็นโมฆะเถิดเจ้าค่ะ ด้วยพ่อสิงห์ทำตัวน่าละอายยิ่งนัก ไม่เหมาะจะหมั้นหมายกับแม่อังกาบบุตรีของออกญาเสียเลย”

         ออกญาจักรีได้ยินดังนั้นจึงด่ากราดและข่มขู่ครอบครัวคุณหญิงชื่นว่า มาหยามน้ำใจกันถึงเพียงนี้ หากภายภาคหน้าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวคุณหญิงชื่นก็อย่ามาหาว่าตนใจร้าย และรีบลงจากเรือนคุณหญิงชื่นไปด้วยท่าทีดุดัน สิงห์เข้าไปกอดผู้เป็นแม่ไว้แนบแน่น คุณหญิงชื่นกล่าวขอโทษลูกชายที่ตนชักนำคนใจหยาบมาให้ลูกต้องมัวหมอง และบอกกับลูกว่าตนจะยอมให้ลูกแต่งกับคนที่ลูกรัก และจะไม่ขัดขวางความรักของลูกแล้ว สิงห์ก้มลงกราบผู้เป็นแม่ด้วยกตัญญู

         ทางด้านอังกาบที่รู้ข่าวยกเลิกงานหมั้นหมายก็คลุ้มคลั่งอาละวาดและแค้นเคืองทุกคน ออกญาจักรีกอดปลอดลูกสาวสุดรัก ก่อนจะสัญญาว่าจะแก้แค้นแทนลูก อังกาบร้องไห้แต่แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

00000000

วิเศษชัยชาญ...

         1 เดือนผ่านไป พิธีแต่งงานระหว่างทับทิมกับหมื่นสุรสิงห์ถูกจัดขึ้นที่เรือน ทั้งคุณหญิงชื่นและจมื่นสรรเพชญ์ภักดีจัดงานกันอย่างเอิกเกริก สรรหาอาหารคาวหวานล้วนขึ้นชื่อหายากระดมมาในงาน ออกญากลาโหมก็ไม่พลาดที่จะมาร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งของหลานรัก คุณหญิงเห็นทับทิมในชุดเจ้าสาวสวยมากจึงเอ่ยมาชม คุณหญิงชื่นใช้ให้พิศหยิบเครื่องประดับประจำตระกูลของตนมามอบให้แก่ทับทิม ทับทิมกราบคุณหญิงชื่นด้วยความปลื้มปิติ

2 เดือนผ่านไป...

         ทับทิมมีอาการคลื่นเหียนเวียนไส้ คุณหญิงชื่นสังเกตอาการก็รู้ทันทีว่าตนกำลังจะมีหลาน จึงดีใจเป็นยกใหญ่ สรรหาของบำรุงมาให้ทับทิมไม่เว้นแต่ละวัน ทับทิมกลายเป็นที่รักของทุกคนในเรือน เวลาล่วงเลยจนทับทิมท้องแก่ใกล้คลอด...

๐๐๐๐๐๐๐๐


         เมื่อครั้งที่ออกญาศรีธรรมาธิราชถึงแก่กรรม บิดาของออกญากลาโหมและน้องชายของออกญากลาโหมก็สิ้นชีวิตในเวลาต่อมา ในการจัดการปลงศพน้องชาย ออกญากลาโหมได้นำอัฐของออกญาศรีธรรมาธิราชผู้เป็นบิดาซึ่งฌาปนกิจเรียบร้อยโดยถูกต้องตามประเพณีแล้ว มาประกอบการพิธีอีกครั้งหนึ่ง
(การกระทำเยี่ยงนี้เป็นเกียรติซึ่งใช้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระมหาอุปราชซึ่งสืบราชบัลลังก์ เมื่อเจ้านายในราชตระกูลได้เสียชีวิตไป พระองค์อาจขุดอัฐิของพระราชบิดาหรือพระประยูรญาติขึ้นมาเผาตามพระราชพิธีได้)

         ครั้งนั้นเหล่าเสวกามาตย์และขุนนางผู้ใหญ่อื่นๆจำนวนมาก ได้ไปร่วมในงานพิธีศพน้องชายและทำบุญอัฐิบิดาของออกญากลาโหมอย่างคับคั่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่ออกญาศรีธรรมาธิราช พิธีนี้ทำอยู่ ๓ วัน และทำอย่างโอ่อ่าหรูหรา ซึ่งไม่มีขุนนางคนใดเคยทำได้เหมือน เพราะเป็นการผิดประเพณีไทย
เหตุการณ์นั้นทำให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงพิโรธ ด้วยเหล่าขุนนางข้าราชการมุขมนตรีคนสำคัญในราชสำนักทั้งปวงต่างพากันไปพิธีศพและทำบุญพระอัฐิของออกญากลาโหมกันโดยมากแน่น เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกท้องพระโรงจึงเกือบไม่มีใครเฝ้า ทรงกริ้ว ซ้ำยังถูกยุยงให้ตื่นตกใจอีกว่าเจ้าพระยากลาโหมกำลังคิดกบฏ ซึ่งหนึ่งในผู้เพ็ดทูลคือออกญาจักรีที่แค้นเคืองหมื่นสุรสิงห์และครอบครัว เมื่อเห็นว่าการนี้จะสามารถเล่นงานออกญากลาโหมและครอบครัวของสิงห์ได้จึงฉวยโอกาสในทันที พระเชษฐาธิราชจึงตรัสสั่งชาวป้อมล้อมวังขึ้นประจำที่ แล้วรับสั่งให้ไปเรียกเจ้าพระยากลาโหมฯมาเข้าเฝ้า       

00000000


         จมื่นสรรพชญ์ภักดีล้มป่วยมาได้หลายเดือนแล้ว จึงไม่ได้ไปร่วมงานพิธีศพของน้องชายออกญากลาโหม แต่ก็ต้องมาทวีความกลัดกลุ้มเมื่อทราบข่าวในพระราชวัง จมื่นสรรเพชญ์ภักดีจึงตัดสินใจเรียกลูกชายเข้ามาหาและเขียนหนังสือลับวานให้สิงห์เอาไปให้ออกญากลาโหมโดยเร็ว และให้ลักลอบไปอย่าให้มีผู้รู้เห็น ด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก สิงห์รับปากผู้เป็นพ่อและบอกให้พ่อคลายกังวล ตนจะเอาหนังสือลับนี้ไปให้ถึงออกญากลาโหมให้จงได้ สิงห์เข้ามาหาทับทิมในห้อง จะมาล่ำลาเมียรักเพื่อไปทำธุระที่สำคัญที่ตนเพิ่งได้รับหน้าที่หมาดๆ ทับทิมท้องแก่ใกล้คลอดกำลังรู้สึกเจ็บท้องแปลบๆแต่เมื่อเห็นหน้าผัวรักเข้ามาหาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี จึงยังไม่บอกถึงอาการเจ็บท้องของตน สิงห์กอดจูบลูกน้อยที่อยู่ในท้องและบอกลา ทับทิมซักถามว่าผัวรักจะไปทำการใด สิงห์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทับทิมฟังอย่างไม่มีปิดบัง

         สิงห์ถามทับทิมว่าอยากให้ตนไปหรือไม่ เพราะเมียรักก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้วตนเป็นห่วง อยากอยู่ดูแลไม่อยากจากไปไหน ทับทิมเห็นว่าเรื่องที่สิงห์ได้รับหน้าที่มานี้ก็สำคัญยิ่งนัก จึงบอกให้สิงห์ไปทำหน้าที่ของตน ไม่ต้องห่วงทางนี้เพราะมีคนคอยดูแลอยู่เต็มเรือน และลูกคงไม่คลอดวันนี้ดอก สิงห์กอดลาเมียรักและเร่งรีบลงจากเรือนไปทำหน้าที่ส่งหนังสือลับของตนโดยด่วน

         ระหว่างทางสิงห์ต้องหลบหลีกเหล่าขุนนางที่ได้รับคำสั่งมาใช้กลเรียกออกญากลาโหมเข้าวัง สิงห์ต้องเลี่ยงไปทางอ้อมเพื่อไม่ให้ได้พบเจอกับขุนนางเหล่านั้น แต่ก็หนีไม่พ้นสายตาของออกญาจักกรี เมื่อเห็นสิงห์ก็รู้ทันว่าคงมาลอบบอกกลที่ตนจะมาเรียกออกญากลาโหมเข้าวังเป็นแน่ จึงสั่งให้คนไล่ตามจับกุมตัวสิงห์เอาไว้

00000000


         ในขณะที่สิงห์กำลังควบม้าสีหมอกหลบหลีกคนของออกญาจักรี เป็นเวลาเดียวกันที่ทับทิมเจ็บท้องจะคลอดลูก คุณหญิงชื่นรีบสั่งให้บุษย์ไปตามหมอมาทำคลอด คุณหญิงชื่นเป็นคนคอยอยู่ข้างๆทับทิมไม่ห่าง เช่นเดียวกับจุกที่คอยพูดเรื่องขำขันให้ทับทิมลืมความเจ็บปวด เมื่อหมอมาถึงก็จัดแจงผูกผ้าและทำคลอดทับทิมในทันที คุณหญิงชื่นได้หลานสาวสมใจ ทับทิมเจ็บเจียนตายแต่พอได้เห็นหน้าลูก ความเจ็บปวดทรมานก็หายไปหมดสิ้น

00000000


         ในที่สุดสิงห์ก็ควบม้าสีหมอกฝ่าด่านคนของออกญาจักรีเข้ามาถึงงานพิธีศพของน้องชายออกญากลาโหมจนได้ สิงห์รีบเข้าไปในงาน เมื่อออกญากลาโหมเห็นหน้าหลานรักก็กล่าวขอบใจที่สิงห์มาร่วมงานทั้งที่เมียใกล้คลอดแล้ว เมื่อเห็นแววตาสิงห์ผิดปกติ ออกญากลาโหมจึงเอ่ยถาม สิงห์จึงยื่นหนังสือลับของจมื่นสรรเพชญ์ภักดีที่ตนเก็บไว้กับตัวเป็นอย่างดีออกมาให้ออกญากลาโหมได้เปิดอ่าน เนื้อความเขียนไว้ว่า

           “...พระโองการจะให้หาเข้ามาดูมวย บัดนี้เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว เมื่อเจ้าคุณเข้ามานั้นให้คาดเชือกเข้ามาทีเดียว...”

         ครั้นขุนมหามนตรีไปถึงได้กราบเรียนว่าพระโองการให้หาเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ให้กลับยังพระราชวัง แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ทราบความจากหนังสือลับของจมื่นสรรเพชญ์ภักดีก่อนหน้านี้แล้ว จึงว่าขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งปวงว่า

         “เราทำราชการกตัญญูแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวงมา ท่านทั้งปวงก็แจ้งอยู่สิ้นแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว ถ้าเรารักซึ่งราชสมบัติ ท่านทั้งหลายเห็นจะพ้นเราเจียวฤา”

          ขุนนางทั้งปวงเมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วจึงว่า...
         
         “ราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ฝ่าเท้ากรุณาทั้งสิ้น ที่จะมีผู้ใดแข็งขันข้าพเจ้าทั้งปวงก็ไม่เห็นมีตัวแล้ว”

          เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงว่า...

         “ท่านทั้งปวงจงเห็นจริงด้วยเราเถิด เรากตัญญูคิดว่าเป็นเจ้าลูกเจ้าข้าวแดง จึงเป็นต้นคิดอ่านปรึกษามิให้เสียราชประเพณี ยกราชสมบัติถวายแล้วยังมีความดีไม่ ฟังแต่คำคนยุยงกลับจะมาทำร้ายราชการไปข้างหน้า ขอจงเร่งคิดถึงตัวเถิด”

          เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ กล่าวกับเหล่าขุนนางทั้งปวงดังนั้น แล้วดูท่วงทีขุนนางเหล่านั้นเห็นยังไว้อารมณ์เป็นกลางอยู่มิลงใจเป็นแน่แท้ จึงตัดสินใจกล่าวแก่บ่าวไพร่ สั่งทะลวงฟันให้จับกุมเอาตัวขุนมหามนตรีและบ่าวไพร่ซึ่งพายเรือมาแจ้งพระราชโองการนั้นไว้ให้สิ้น ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างตกใจหน้าซีดลงทุกคน...

เมื่อเหตุการณ์สงบลง พระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงปรึกษาแก่ขุนนางข้าราชการทั้งปวงที่อยู่ ณ ที่นั้น

        “บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินว่าเราทำการประชุมขุนนาง พร้อมมูลครั้งนี้คิดการเป็นกบฏ ก็ท่านทั้งปวงซึ่งมาช่วยโดยสุจริตนั้นจะมิพลอยเป็นกบฏด้วยฤา”

         ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันกราบเรียนว่า...

        “เป็นธรรมดาอยู่แล้วอุปมาเหมือนหนึ่งนิทาน พระบรมโพธิสัตว์เป็นนายสำเภา ทั้งหลายโดยสารไปค้า ใช้ใบไปถึงท่ามกลางมหาสมุทร ต้องพายุใหญ่สำเภาจะอับปางอยู่แล้ว พระบรมโพธิสัตว์จึงคิดว่าถ้าจะนิ่งอยู่ดังนี้ ก็จะพากันตายเสียด้วยสิ้นทั้งสำเภา จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่าถ้าอาตมาจะสำเร็จแก่พระโพธิญาณ ขออย่าให้สำเภาอับปางในท้องมหาสมุทรเลย เดชาอานุภาพพระบารมีบรมโพธิสัตว์ สำเภาก็มิได้จลาจล แล่นล่วงถึงประเทศธานีซึ่งจะไปค้านั้นเหมือนการอันเป็นครั้งนี้ ถ้าเท้าพระกรุณานิ่งตาย คนทั้งหลายคนทั้งปวงก็จะรอดด้วย”

         เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้ฟังขุนนาว่าดั่งนั้น ก็หัวเราะแล้วว่า...

       " เจ้าแผ่นดินว่าเราเป็นกบฏแล้วเราจะทำตามรับสั่ง ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด "

         ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึ่งว่า...

       " ถ้าท้าวกรุณาจะทำการใหญ่จริง  ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอเอาชีวิตสนองพระคุณตายก่อน "

00000000


โปรดติดตามตอนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่