
จากกรณี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 จำเลยกับพวกได้ปราศรัยชักชวนให้ประชาชนกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น)ลาออก
แล้วปิดล้อมเข้าควบคุมทำเนียบรัฐบาล ห้ามราชการเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ก่อนยื่นขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์
ซึ่งเมื่อถึงเวลา นัด จำเลยทุกคนมาศาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายสนธิ มาฟังคำพิพากษา

ศาลอุทธร์พิเคราะแล้วเห็นว่า โจทย์มีรองเลขาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักสถานที่ดูแลรักษาความเรียบร้อย สันติบาล 4 ปาก เบิกความถคงรายละเอียดเฟตุการที่ จ. ทั้ง 6 ที่เป็นแกนนำ และผู้ชุมนุม ที่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและได้นำรถ 6 ล้อเข้าไปตั้งเวทีปราศรัย หน้าสนามหญ้าทำเนียบนัฐบาล มีการตัดโซ่ที่คล้องประตูสองชุ้นรวมทั้งผลักดันแผงเหล็กกะนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้เพื่อรักษาความปลอดภัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้ เกิดความเสียหายต่อระบบรดน้ำ,สนามหญ้าที่ตายทั้งหมด และระบบไฟในสนามหญ้า

ศาลจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการกระทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวสทบเนื่องกันแต่ผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุ ว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุทนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ซึ่งการที่จำเลยจะใช้เสรีภาพนั้นก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ว และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน
จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความเปิดเผยว่า เตรียมยื่นหลักทรัพย์ สำหรับ 5 แกนนำคนละไม่เกิน 1 แสนบาท
ส่วนนายสนธิ ไม่ได้ยื่นเนื่งจากถูกจำคุกในคดีอื่น โดยจะพยายามยืนฎีกาต่อสู้คดีให้ทันภายในวันนี้ด้วย
ด้านบรรยากาศ มีประชาชนเข้าร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลยเป็นจำนวนมากกว่า 50 คนจนล้นห้องพิจารณาคดี
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้คุก 8 เดือน ไม่รอลงอาญา พล.ต.จำลอง+5 แกนนำบุกทำเนียบปี 51
จากกรณี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 จำเลยกับพวกได้ปราศรัยชักชวนให้ประชาชนกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น)ลาออก
แล้วปิดล้อมเข้าควบคุมทำเนียบรัฐบาล ห้ามราชการเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ก่อนยื่นขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์
ซึ่งเมื่อถึงเวลา นัด จำเลยทุกคนมาศาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายสนธิ มาฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธร์พิเคราะแล้วเห็นว่า โจทย์มีรองเลขาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักสถานที่ดูแลรักษาความเรียบร้อย สันติบาล 4 ปาก เบิกความถคงรายละเอียดเฟตุการที่ จ. ทั้ง 6 ที่เป็นแกนนำ และผู้ชุมนุม ที่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและได้นำรถ 6 ล้อเข้าไปตั้งเวทีปราศรัย หน้าสนามหญ้าทำเนียบนัฐบาล มีการตัดโซ่ที่คล้องประตูสองชุ้นรวมทั้งผลักดันแผงเหล็กกะนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้เพื่อรักษาความปลอดภัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้ เกิดความเสียหายต่อระบบรดน้ำ,สนามหญ้าที่ตายทั้งหมด และระบบไฟในสนามหญ้า
ศาลจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการกระทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวสทบเนื่องกันแต่ผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุ ว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุทนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ซึ่งการที่จำเลยจะใช้เสรีภาพนั้นก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ว และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความเปิดเผยว่า เตรียมยื่นหลักทรัพย์ สำหรับ 5 แกนนำคนละไม่เกิน 1 แสนบาท
ส่วนนายสนธิ ไม่ได้ยื่นเนื่งจากถูกจำคุกในคดีอื่น โดยจะพยายามยืนฎีกาต่อสู้คดีให้ทันภายในวันนี้ด้วย
ด้านบรรยากาศ มีประชาชนเข้าร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลยเป็นจำนวนมากกว่า 50 คนจนล้นห้องพิจารณาคดี