ทำความรู้จัก 'ดันเคิร์ก (Dunkirk)' ก่อนดูหนัง

หลายๆคนที่ได้ดูหรืออาจจะยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเกิดความสงสัย Dunkirk คืออะไรทำไมอังกฤกศถึงไปโผล่อยู่ในฝรั่งเศสเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์นั้น คำถามพวกนี้เกิดขึ้นกับผมตอนลากแฟนไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้  และงงจนทำให้อาจจะดูแล้วไม่สนุกใครเป็นใครอะไร แน่นอนว่าเนื้อหาพวกนี้ไม่ได้มีอยู่ในบทเรียนประวัติศาสตร์ของเราๆสมัยเรียนแน่นอนคนที่พอจะรู้เรื่องนี้อย่างน้อยต้องเป็นผู้ที่ชอบหรือศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงเวลานั้น

เหตุการณ์ที่ Dunkirk ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าช่วงเวลา D-Day 06 มิถุนายน 1944 หรือ การโจมตีเพิล์ฮาเบอร์ 07 ธันวาคม 1941 ที่หลายๆคนอาจจะได้เคยชมภาพยนตร์ Band of Brothers , Saving Private Ryan หรือ Pearl Harbor(จริงมีภาพยนตร์หลายเรื่องมากๆที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองในช่วงเวลาสำคัญต่างๆแต่ของหยิบยกพอเป็นตัวอย่าง)

คือไม่แน่ใจที่เคยจะเป็นสปอยของหนังหรือเปล่าเพราะหนังสร้างตามความจริงในประวัติศาสตร์ผมก็จะขอพูดตามความจริงที่เกิดขึ้นละกันครับ ใครไม่แน่ใจก็กดปิดตรงนี้ได้ครับ

จุดเริ่มต้น

ต้องย้อนกลับไปไกลหน่อยถึงวันที่ 01 กันยายน 1939 (จริงๆโลกเริ่มเข้าสงครามโลกตั้งแต่ช่วงญี่ปุ่นเข้าโจมตีจีนในช่วง 1937 แต่นอนนอนว่าไม่ใช่ประเด็นที่พูดถึงเกี่ยวกับหนัง) กองทัพเยอรมันได้ใช้ยุทธวิธีการโจมตีแบบสายฟ้าฟาด (Blitzkrieg) ซึ่งเป็นซึ่งเป็นการโจมตีอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วยการทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินรบก่อนที่จะใช้ยานเกราะบุกเข้าโจมตีตามอย่างรวดเร็ว และสร้างความประหลาดใจให้กับฝ่ายข้าศึก ทำให้ฝ่ายตั้งรับไม่มีเวลาที่จะเตรียมการป้องกันใด ๆ เลย หลายท่านๆอ่านแล้วอาจจะไม่ประหลาดใจเท่าไร ก็ดูเป็นการรบแบบปกติที่ควรจะทำ แต่แน่นอนว่าหากใครได้ชมภาพยนตร์อย่างเรื่อง War horse , Fly Boys , All Quite on western front จะเห็นแนวคิดของนักการทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่การรบจะเกิดขึ้นระหว่างสนามเพลาะทหารราบอีกฝ่ายวิ่งหา ที่ตั้งรับของอีกฝ่ายโดนฆ่าตายเป็นร้อยเป็นพันในเวลาเพียงไม่นาน รถถังยังไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรในช่วงแรกของสงครามโลก หรือแม้กระทั้งเครื่องบินที่บทบาทการสนับสนุนของทหารราบยังไม่ดีพอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตัวอย่างการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 จากเรื่อง War horse


กลับมาที่วันที่ 01 กันยายน 1939 กองทัพเยอรมันได้ใช้ยุทธวิธีการโจมตีแบบสายฟ้าฟาด (Blitzkrieg) เข้าโจมตีโปแลนด์ ทำให้ประเทศในยุโรป อย่างฝรั่งเศส และเครือจักรภพของอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมัน โปแลนด์ยอมแพ้ ในวันที่ 06 ตุลาคม 1939

ทหารเยอรมันรื้อแนวกันระหว่างพรมแดนเยอรมัน-โปแลนด์

วันที่ 9 เมษายน 1940 เยอรมันเข้าโจมตีประเทศเพื่อนบ้านอย่าง นอร์เวย์ , เดนมาร์ค ซึ่งเยอรมันใช้เวลาเพียง 2 เดือนกับ 1 วัน คือวันที่ 10 มิถุนายน 1940 ก็เอาชนะเพื่อนบ้านได้อย่างไม่ยาก


ซึ่งแนวโนมสงครามเกิดขึ้นใกล้ตัวมากขึ้นมาเรื่อยๆมีการส่งทหารอังกฤษเข้ามาประจำการในฝรั่งเศสมากขึ้น มีการเสริมการป้องกันของแนว Maginot (แนวชายแดนระหว่างเยอรมัน กับ ฝรั่งเศสด้วยความคิดในหลักนิยมของหลายๆประเทศในยุโรปขณะนั้นยึดหลักนิยมและคาดว่าคงจะต่างจากสงครามโลกครั้งแรกไม่มาก คือการสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสนามเพลาะ ถึงมีการสร้างป้อมค่ายแนวสนามเพลาะที่แข็งแรงจนหลายๆฝ่ายคิดว่าไม่มีทางตีแตก แนวนี้สร้างขึ้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่1)

ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับการป้องกันแนวMaginot มากกว่ามีการป้องกันเบาบางกว่าที่แนวชายแดนฝรั่งเศส-เบลเยี่ยม


แนวรบก่อนการบุกโจมตี

วันที่ 10 พฤษาคม 1940 เยอรมันได้ทำการโจมตีประเทศอื่นในยุโรป คือ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์กทหารอังกฤษกับฝรั่งเศสที่ตรึงแนวรบอยุ่ตามแนสชายแดนเบลเยี่ยม – ฝรั่งเศสได้รุกเข้าช่วยเหลือประเทศดังกล่าว แต่เยอรมันได้ใช้ประโยชย์จากความประมาทของศัตรุรุกผ่านแนวป่าอาเดน (เป็นป่านทึบที่อยู่ระหว่างเบลเยี่ยมกับฝรั่งเศสที่หลายฝ่ายคาดว่าไม่มีทางที่รถถังเยอรมันจะเคลื่อนที่ผ่านได้) บริเวณดังกล่าวมีการตั้งรับอย่างเบาบาง ยานเกราะเยอรมันเจาะแนวรบเข้ามาสร้างวงล้อมทหารฝรั่งเศสและอังกฤษเอาไว้ เนื่องจากตรงอยู่ในวงล้อมและไม่สามารถตีฝ่าออกมาได้ การอพยพจึงเริ่มขึ้น


แนวรบของทั้งสองฝ่ายเมื่อเยอรมันเริ่มการโจมตี


เยอรมันเจาะแนวรบผ่านป่าอาร์เดนมาได้


กองกำลังเยอรมันเจาะผ่านแนวป่า

Operation Dynamo

เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของการอพยพที่ดังเคริ์ก แผนเดิมจะมีการใช้ท่าเรือที่ Calais และ Dunkirk ในการอพยพทหารวันที่ พลยานเกราะเยอรมันเจาะแนวรบบริเวณ Calais เข้ามาได้ Dunkirk จึงดูเหมือนจะเป็นทางรอดเดียว แนวป้องกันเริ่มแคบลงเรื่อยๆ อังกฤษมีทหารมากกว่า 300,000 นาย อาจจะช่วยกลับมาได้แค่ 50,000 นาย แต่เหมือนจะมีปฎิหารเกิดขึ้นอยู่ดีๆ ฮิตเลอร์สั่งให้กองทัพรอบๆแนวล้อมหยุดการรุกไล่ ซึ่งมีหลายๆทฤษฎีกล่าวถึงจุดนี้ บางก็ว่าจอมพลเกอร์รืง (ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน) อยากแสดงฝีมือให้เห็นโดยการใช้กองทัพอากาศทำลายทหารที่อยู่ในวงล้อม บางก็ว่าเยอรมันยุกเร็วเกิดไปจนการสนับสนุนของเยอรมันตามไม่ทัน หรือแม้กระทั่งบอกว่าเยอรมันมีจดหมายถึงเชอร์ชิลต้องการให้อังกฤษเข้ารวมกับฝ่ายอักษะ

แนวรับรอบเมือง Calais และ Dunkirk






การช่วยเหลือ

วันที่ 26 พฤษาคม 1940 นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลเริ่ม ปฎิบัติการ Dynamo วันช่วงสองวันแรกมีการคาดการว่าจะต้องช่วยทหารให้ได้ 45,000  นาย

วันที่ 27 พฤษาคม 1940 การช่วยเหลือเริ่มต้นขึ้นอย่างต่อเนื่องเรือรบถูกนำมาใช้ช่วยเหลือ มีการเกณฑ์เรือเล็กมาช่วยขนทหารจากหาดไปขึ้นรเอใหญ่ที่ลอยลำอยู่นอกฝั่ง (เนื่องจากยิ่งเรือใหญ่ยิ่งกินน้ำลึกจึงไม่สามารถเข้ามาเทียบติดหาดได้) ในขณะเดียวกันกองทัพอากาศเยอรมันเริ่มการโจมตีท่าเรือชั่วคราวและตัวเมืองเกิดไฟไม้ขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่ทราบดับได้เนื่องจากขาดแคลนน้ำ ทหารอังกฤษถูกราดยิงและทิ้งระเบิดขณะที่รอความช่วยเหลือบนหาด เนื่องจากการปะทะกันของเครื่องบินรบเกิดขึ้นห่างจากบริเวณชายหาดทำให้ทหารอังกฤษเกิดความสูญเสียจำนวนมาก เมื่อสิ้นสุดวันมีทหารแค่ 17,804 คนได้รับการช่วยเหลือ



วันที่ 28 พฤษาคม 1940 – 4 มิถุนายน 1940 ทหารเบลเยี่ยมถูกบีบให้ยอมแพ้ทิ้งช่องวางขนาดใหญ่ในแนวรับด้านทิศวันตะวันออก วันที่ 30 พฤษาคม 1940  แนวรับรอบเมืองหดตัวเล็กลงเหลือแค่ 11 กิโลเมนตรจากชาดหาด จนถึงวันที่ 4 มิถุนายน 1940 วันสุดท้ายของการช่วยเหลือ ตลอดหลายวันเต็มมีทหารถูกช่วยเหลือไปได้ประมาณ 334,000 นาย และทหารอังกฤษและฝรั่งเศส 40000 นายถูกจับเนื่องจากต้องมีคนเสียสละเผื่อทวงเวลาเยอรมันและอพยพไปให้ได้มากที่สุด


เรือเล็ก

อย่างที่กล่าวข้างต้นแทบจะเรียกได้ว่าเรือทุกชนิดที่เรียกมาใช้ในการอพยพไม่ว่าจะเป็นเรือต่างชาติที่รอดากการรุกรานของเยอรมัน , เรือนำเที่ยว , เรือยอชน์ส่วนตัว , เรือข้ามฝาก เรือขนาดเล็กมาถึงในวันที่ 28 พฤษาคม 1940 เนื่องจากชายหาดที่ตื่นทหารต้องเดินลุยน้ำขึ้นไป 100 เมตรเผื่อไปขึ้นเรือ ด้วยเหตุผลบ้างประการบางครั้งเมื่อถึงเรือใหญ่ก็สละเรือเล็กทิ้ง ทหารบนฝางต้องรอให้เรือเล็กลอยกลับมาและต้องรอให้กระแสน้ำขึ้นถึงจะทำกลับมาใช้ได้ หลายครั้งทหารถูกเตือนด้วยเสียงปืนขณะที่พยายามจะขึ้นเรือทั้งๆที่ยังไม่ใช่ตาของพวกเขา มีการสร้างท่าเรือชั่วคราวขึ้นโดยการนำรถมาจอดเรียงแล้วนำไม้มาปูบนหลังคาทำเป็นท่าเรือชั่วคราวในการขนทหาร มีเรือเล็กเข้าร่วมการขนย้ายมากกว่า 700 ลำ




แน่นนครับหลังจากการอพยพสิ้นสุดแต่อังกฤษถูกบีบให้ทิ้ง อาวุธและยุทธโธบปกรณ์จำนวนมากไว้ที่หาดเรียกจะได้ว่าเกือบครึ่งของทุกอย่างที่มีประจำการในกองทัพ

รูปภาพพวกนี้ถูกถ่ายจากหลังเหตุการณ์ที่ดังเคริ์ค ทหารที่ถูกจับ อาวุธที่ถูกทิ้งไว้รวมถึงภาพความเสียหาย






ในคลิปตัวอย่างที่ปล่อยมาแรกๆ จะมีเสียงของเครื่องบิน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เป็นเสียงของเครื่องบิน JU-87 Stuka ใครศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์อยู่บ้างคงพอนึกออกโดยเสียที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ตัวเครื่องจะมีไซเรนติดไว้เวลากดหัวดำลงเพื่อทิ้งระเบิดใบพัดจะกินลม ทำให้เกิดเสียง แน่นอนข่มขวัญศัตรูได้เป็นอย่างดี จากตัวอย่างทหารรู้ตัวก่อนจะเห็นเครื่องบินอีกแน่นอนถ้าเป้นเราๆตกอยุ่ในสภาพสิ้นหวังคงน่ากลัวสุดๆแน่นอน  

ตัวอย่างเสียงจริงๆ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ขอเสริมเรื่องการรบแห่งฝรั่งเศส ที่นำมาสู่เหตุการณ์ Dunkirk ครับ

การรบแห่งฝรั่งเศส (Battle of France) ในปี 1940 เรียกได้ว่าเป็น ชัยชนะครั้งใหญ่ของเยอรมัน ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ฮิตเลอร์นั้นเดิมคาดว่า การรบอาจจะยืดเยื้อเป็นปีๆ และมีทหารเยอรมันตายเป็นล้านคน แต่เอาเข้าจริง การรบใช้เวลาแค่ 46 วัน และมีทหารเยอรมันตายราว 27,000 คน บาดเจ็บ 100,000 คนเท่านั้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรบประสบความสำเร็จนั้นมาจากทั้งแผนการรบที่ยอดเยี่ยมบวกกับโชคช่วย เพราะในตอนแรกนั้น Generaloberst Franz Halder หัวหน้าคณะเสนาธิการทหารบกของเยอรมัน  (the chief of staff of the Oberkommando des Heeres) เสนอแผนที่ใกล้เคียงกับ Schlieffen Plan ที่เยอรมันใช้ในสงครามโลกครั้งแรก โดยจะบุกอ้อมแนวชายแดนเยอรมันฝรั่งเศส ผ่านเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม แต่ฮิตเลอร์นั้นไม่ชอบแผนของ Halder ที่จำกัดเป้าหมายไว้แค่ผลักดันให้กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสถอยข้ามแม่น้ำ Somme ไปเท่านั้น ซึ่งนายพล Halder ต้องการเล่นเกมยาว โดยให้เยอรมันมีเวลาพักฟื้นไปประมาณ 2 ปี แล้วค่อยบุกต่อ แต่ฮิตเลอร์นั้นต้องการหมัดน็อค จึงมองเวลาแผนของนายพล Halder นั้นไม่เด็ดขาดพอ

แต่ฮิตเลอร์นั้นโชคดีที่มีคนเสนอแผนการที่ดีกว่าให้ ซึ่งก็คือ General Gerd von Rundstedt และหัวหน้าคณะเสนาธิการของเขา Generalleutnant Erich von Manstein (คนหลังนี้ได้รับการยกย่องในภายหลังว่า เป็นนักยุทธศาสตร์ทางทหารที่เก่งที่สุดของกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง) โดยทั้งสองได้เสนอให้ ทำการบุกด้วยยานเกราะผ่านป่า Ardennes (ซึ่งทหารหลายคนเชื่อว่า กองทัพยานเกราะไม่สามารถบุกผ่านได้) เข้าไปที่ Sedan จากนั้นให้กองกำลังยานเกราะเป็นทิศทางไปทางทิศตะวันตก มุ่งสู่ช่องแคบอังกฤษเพื่อตัดขาดกองทัพพันธมิตรทางด้านเหนือ ออกจากส่วนที่เหลือของฝรั่งเศส

แผนที่ Rundstedt และ Manstein เสนอเป็นอะไรที่สุดยอดมาก เพราะอังกฤษและฝรั่งเศสคาดการณ์ว่า เยอรมันจะใช้แผนเดียวกับตอนสงครามโลกครั้งแรก และเตรียมกองทัพรอไว้ตรงชายแดนฝรั่งเศส-เบลเยียม โดยเมื่อกองทัพเยอรมันเริ่มบุกเข้าเบลเยียม ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสจะยกกองทัพเข้าเบลเยียมทันที แต่พอเยอรมันเปลี่ยนไปใช้แผนของ Rundstedt และ Manstein (กองทัพส่วนหนึ่งจะไปบุกเบลเยียมเพื่อหลอกอังกฤษและฝรั่งเศส ในขณะที่การบุกหลักจะอยู่ที่ป่า Ardennes) กลายเป็นว่าเข้าทางเยอรมันอย่างแรง เพราะทำให้กองทัพเยอรมันตัดขาดและปิดล้อมกองทัพพันธมิตรได้ง่ายกว่าเดิม

ปล. หนึ่งในความบ้าบิ่นอย่างหนึ่งของเยอรมันคือ การใช้ยานเกราะเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในการบุกผ่านป่า Ardennes ซึ่งถ้าหากแผนล้มเหลวละก็ เยอรมันจะไม่มีอะไรเหลือเช่นกัน

ความคิดเห็นที่ 42
ยกมาแจมด้วยค่ะ....จากคคห. ที่ 54 กระทู้แม่บ้านปัจฉิมวัยในฝรั่งเศส


-------------ขอคั่นเวลามาเล่าเรื่องหมาดๆวันนี้ดีกว่า...

ได้ฤกษ์ไปดูหนังที่สุดฮ๊อตฮิตที่ใครๆก็กล่าวถึงในยามนี้ (หมายถึงในโลกโซเชี่ยล) Dunkirk
แต่ในส่วนที่ดิฉันดู เขียนว่า Dunkerque อ่านว่า ดังแครก(เคอะ) ตามชื่อที่ควรเป็นจริงเพราะพื้นที่นี้เป็นของฝรั่งเศส...

ดิฉันได้นัดกับเพื่อนๆร่วมก๊วนแบบโปรแกรมยาว คือ ไปตีกอล์ฟด้วยกันแต่เช้า แปดโมง...
จากนั้น...ไปหาของอร่อยๆทานกัน ในร้าน Léon ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของหอยแมลงภู่ ที่มีสารพัดเมนูให้เลือก พวกเราเลือกหอยต้นแบบ หรือสูตรดั้งเดิม นั่นคือ marinière คือ นึ่งกับเนย ไวน์ขาว หอม และ
persil
อร่อยมาก เพราะหอยแมลงภู่สดและหวาน ของหวานเลือกเป็นสัปรดสด ชื่นใจดี





ออกจากร้านก็ได้เวลาดูหนังพอดี...ในฐานะอายุเกิน 60 ได้ลดราคาไปหน่อย...




หนังเรื่องนี้มีเรื่องให้ระทึกใจทั้งเรื่อง...ถ่ายทำค่อนข้างดี แม้อาจจะลดขนาดของสงครามจริงๆ
ไปหน่อย หนักไปทางดราม่า และการต่อสู้ของแต่ละคน
แต่เมื่อหนังจบ...ทุกคนที่เดินออกมามีสีหน้าไม่ดี รวมทั้งเพื่อนๆของดิฉัน...
มันเป็นเสมือนภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาเมือนจงใจ...ลากฝรั่งเศสออกมากลางสี่แยกแล้วตบหน้าพร้อมเหยียบซ้ำ...!!!!

ทั้งเรื่อง...อวยความกล้าหาญของกองทัพเรือ กองทัพอากาศ(RAF) และประชาชาวอังกฤษที่รักชาติ สามัคคี อย่างสุดใจขาดดิ้น...ทุกคนเป็นฮีโร่บทบาทเด่นทั้งนั้น

แต่...เจ้าของพื้นที่ คือ ทหารฝรั่งเศสได้กลายมาเป็นไอ้ขี้ขลาด ถึงขนาดต้องเอาเสื้อผ้าจากศพของทหารอังกฤษมาใส่เพื่อที่จะพรางตัวขอเนียนไปขึ้นเรือเพื่อที่จะหนีไปด้วย
พอถูกจับได้ก็ถูกด่าว่า ถูกหยามเหยียด จนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นคน...
ตอนจบ..นายพลเรือ***ที่มาคอยกำกับการส่งทหารขึ้นเรือกลับไปแล้วจนหมด ที่มีทั้งหมดกว่าสามแสนคนนั้น...เขาไม่ได้กลับไปด้วย ยังยืนเท่อยู่ที่ท่า...เมื่อถูกถาม เขาตอบว่า
"ผมจะคงอยู่ที่นี่ต่อไป(ในฝรั่งเศสเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตกหล่น)"

*** นายพลคนนี้คือ Admiral William Tennant หรือได้รับสมญาจากทหารว่า Dunkirk Joe
เป็นผู้ที่ได้รับการมอบหมายให้มาทำหน้าที่นำทหารขึ้นเรือกลับให้หมด

ส่วนที่ได้กล่าวถึงทหารฝรั่งเศสก็เพียงแต่ไม่กี่สิบวินาที ที่มีฉากว่าทหารฝรั่งเศสได้ตั้งป้อมที่เป็นกระสอบตั้งเรียงซ้อน คอยยิงกับเยอรมัน และได้ป้องกันให้ทหารอังกฤษผ่านไปยังหาดดังเคิร์กได้...
มีวีรกรรมเพียงแค่นั้น...
นอกนั้นไม่ได้กล่าวถึงเลย...

ดิฉันกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก...หนังสนุกมาก...หากว่าเราไม่เคยรู้เรื่องหรืออ่านประวัติศาสตร์ส่วนนี้มาก่อน แต่สำหรับดิฉัน...รู้สึกเช่นเดียวกับคนฝรั่งเศส...คือ...นี่มันหยามกันผ่านจอเงินเลยนะเว้ยเฮ้ย...!!!

จริงอยู่...ที่ฝรั่งเศสและอังกฤษนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไร นับจาก
William the Conqueror  (1028 -1087) เป็นกษัตริย์อังกฤษที่ประสูติในนอร์มังดี และมาสิ้นประชนม์ในนอร์มังดีเช่นกัน แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะผนึกกำลังกัน อย่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
แต่ในสงครามโลกครั้งที่สอง...ที่รัฐบาลวิชี่ของฝรั่งเศสได้ยอมสวามิภักดิ์...ให้ความร่วมมือกับนาซี
ปล่อยให้กองทัพเยอรมันเข้ามาใช้พื้นที่เข้าโจมตีอังกฤษใน The Battle of Britain ที่ได้สร้างความเสียหายให้กับอังกฤษอย่างมากมาย...รวมทั้งการส่งขีปนาวุธ V1 เข้าไปถล่มในช่วงท้ายของสงครามอีก
จากบาดแผลของ The Battle of Britain นี้ ทำให้คนอังกฤษมองฝรั่งเศสเป็นคนไม่มีน้ำยา...
ไม่ยอมสู้รบเพื่อตัวเองเลย ขี้ขลาด...
แต่...ฝรั่งเศสก็มีเหตุผลของตัวเอง คือ สภาพไม่พร้อมต่อสงครามเพราะจากการสูญเสียเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง...ที่ทหารและประชาชนตายไปเป็นล้านๆคนนั้นในเวลาที่ผ่านไปเพียงยี่สิบปี
ประเทศยังฟื้นตัวไม่ทัน...จิตใจของประชาชนยังบอบช้ำเกินกว่าจะเยียวยา
ความหวังเดียวที่(เคย)มี คือ แนวตรึงกำลังสู้ศึก Maginot Line ที่ออกแบบมาอย่างทันสมัย ว่าจะคุ้มภัยทั้งประเทศได้...
แต่...ง่อยสนิท เพราะเยอรมันได้ใช้วิธีการสู้รบแบบใหม่ด้วยรถถังขนาดเล็กนำร่อง ที่สามารถนำทัพได้เข้าถึงใจกลางกรุงปารีสได้ชนิดที่ไม่มีทันตั้งตัว...
วิธีที่จะถนอมบ้านถนอมเมืองเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและมรดกให้ลูกหลานต่อไป คือ การที่ต้องยอมร่วมมือ..โอนอ่อนให้กับข้าศึก...

ไม่มีเวลาที่จะมาคำนึงถึงว่า...อังกฤษจะได้ผลกระทบอะไรบ้าง...เพราะประเทศชาติจะต้องมาก่อน

หลังจากสงครามได้ผ่านพ้นไป...ฝรั่งเศสได้เข้ามาร่วมในกลุ่มสัมพันธมิตรเพราะนายพล ชารลส์ เดอ
โกลล์ เป็นผู้ที่นำขบวนการใต้ดินและชาวฝรั่งเศสที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลวิชี่ ได้ทำการนำชาติให้พ้นภัย...

แต่...ดูเหมือนว่า...ในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้สร้าง นาย Christopher Nolan ที่เป็นชาวอังกฤษ-อเมริกัน ได้ทำการอวยเอื้อวีรบุรุษของชาติตัว แต่ในขณะเดียวกันก็"กด" ฝรั่งเศส ไปในตัว
ดิฉันคิดว่า...หรืออาจจะคิดไปคนเดียว จึงได้เปิดไปอ่านหนังสือพิมพ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วดู..
ปรากฏว่า...มีการ"โวย" ในเรื่องนี้มาเช่นกัน จากนักหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสที่คิดเห็นแบบเดียวกับดิฉัน
ว่า...ทหารฝรั่งเศสนี่แหละที่ช่วยเหลือ(พวกเมิง) ให้ไปรวมตัวกันอยู่ที่ดังเคิร์กได้อย่างปลอดภัยถึงสามแสนกว่าคน โดยที่ไม่ได้ถูกยิงกระบาลไปเสียก่อน และพวกเราเองก็เสียเลือดเสียเนื้อในการที่ร่วมรบกับพวกนายไปเป็นแสนๆคนเช่นกัน...
ทางฝั่งอังกฤษได้ตอบมาอย่างเผ็ดร้อนในดีกรีเดียวกันว่า...

"ช่วยไม่ได้...ถ้าอยากจะให้ประชาชนเขารู้เรื่องว่า(เมิง)เก่ง...(เมิง) ก็มาสร้างหนังเองดิ"

http://nypost.com/2017/07/22/the-french-are-pissed-about-their-minor-role-in-dunkirk/

http://www.lefigaro.fr/cinema/2017/07/20/03002-20170720ARTFIG00151--dunkerque-o-est-passee-l-histoire.php
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่