[CR] (Review) Dunkirk (2017) : หนังที่ดีที่สุดของโนแลน & หนังสงครามที่แหวกแนว พร้อมกดดันแทบหัวใจระเบิด

Dunkirk : ดันเคิร์ก

" ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เราจะต่อสู้ในทุกๆที่ ...เราจะไม่มีวันยอมแพ้ "
     หลังจากที่ Dunkirk ได้รับกระแสชื่นชมจากต่างประเทศมากมาย ไหนจะจากเพจรีวิวต่างๆ พอดูจบ ผมก็บอกได้เลยว่า 'เป็นหนังที่ดีที่สุดของโนแลน' และคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่มีโอกาสเข้าชิงออสการ์สาขาหลักมากี่สุดของโนแลน เพราะ แนวนี้เป็นแนวที่ถูกจริตกับออสการ์หรือเทศกาลหนังต่างๆ มาก

     Dunkirk (2017) ได้รับการกำกับโดย Christopher Nolan สร้างมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 (Operation Dynamo) เมื่อทหารฝ่ายสัมพันธมิตรอันนำโดยอังกฤษ-ฝรั่งเศส ได้เพลี่ยงพล้ำต่อเยอรมัน โดนต้อนจนจมมุมที่หาดดันเคิร์ก จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา เกิดการอพยพทหารครั้งใหญ่จากหาดผ่านช่องแคบโดเวอร์ เพื่อขนถ่ายกำลังไปตั้งหลักกันใหม่ที่อังกฤษผ่านเรือพิฆาต เรือกองทัพ เรือเดินสมุทรพาณิชย์ เรือประมง และเรือกู้ชีพ จากอังกฤษ
Dunkirk คือ หนังที่ดีที่สุดของโนแลน มาพร้อมกับมุมมองใหม่ๆ แบบโนแลน
     เริ่มแรกกันที่แนวหนัง ถือว่าใจกล้า แหวกขนบธรรมเนียมหนังสงครามมาก (555) สำหรับหนังสงครามปกติ จะเน้นที่บทของพระเอก และเจาะจงไปที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่งคนเดียว ยิ่งหากเป็นแนวฮอลลีวูดจ๋า พระเอกก็จะเท่และเก่งกว่าเพื่อนร่วมทีม อย่างเช่น Saving Private Ryan หรือ Hacksaw Ridge (ผมชอบสองเรื่องนี้มากเหมือนกัน)

     แต่...สิ่งเหล่านี้จะไม่เห็นใน Dunkirk เลย ตรงกันข้าม Dunkirk กลับเน้นโฟกัสไปที่ภาพรวมของสงครามทั้งเรื่อง ดังนั้นตัวละครเอกที่แท้จริงของหนัง คือ " เหตุการณ์ " ตัวละครที่อยู่ในเรื่อง เป็นแค่ตัวช่วยดำเนินเรื่องให้หนังไหลลื่นรวมถึงมาเพื่อช่วยบอกเล่าเหตุการณ์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นมันจึงทำให้เราได้เห็นภาพหนังสงครามในมุมมองใหม่ๆ และไม่ซ้ำใครเลย และเนื่องจากเป็นหนังโนแลนทั้งที ก็มีการใส่เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเรื่อง "เวลา" เข้าไป
เรื่องของ "เวลา" อีกหนึ่งไฮไลต์หนัง
    สำหรับภาพรวมเรื่องคือ ตามที่หนังกล่าวมาตั้งแต่ตอนแรกว่า จะแบ่งพาร์ทออกเป็น 3 ส่วน คือ The Mole - 1 week , The Sea - 1 Day , Air - 1 Hour การแบ่งสัดส่วนหนัง อันได้แก่ เหตุการณ์บนบก บนฟ้า และในน้ำ ผ่าน "เวลา" ที่ไม่เท่ากัน เป็นอีกไม้ตายที่โนแลนทำให้ Dunkirk โดดเด่นไปจากเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะ ยังไม่เคยมีใครนำมุมมองนี้มาใช้ในหนังสงคราม ซึ่งช่วยให้ชั้นเชิงการเล่าเรื่องถูกยกระดับไปอีกขั้น เราจะเห็นภาพหนังสงครามในหลายมิติยิ่งขึ้นจากปกติเห็นภาพในแนวเดียว... ในจุดนี้คือสิ่งที่โนแลนล้ำกว่าคนอื่น และสร้างแนวคิดได้อย่างยอดเยี่ยม
     เอกลักษณ์อีกอย่างของ Dunkirk ที่ผมสังเกตเห็น ก็คือ เป็นหนังสงครามที่ไม่เห็นศัตรู ดูทั้งเรื่องเราจะไม่เห็นทหารเยอรมันสักคน มีแต่ช็อตอยู่ๆ กระสุนมาจากไหนก็ไม่รู้ แล่นโฉบไปมา ซึ่งคิดว่าเป็นไปตามจุดประสงค์โนแลนที่ไม่ต้องการสร้างผู้ร้ายให้กับเรื่อง แต่ต้องการโฟกัสเรื่องไปที่อารมณ์ความกดดันจากสงคราม และเน้นถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่ามันเป็นอย่างไร ดังนั้นทั้งเรื่องเราจะไม่เห็นเลือด / ซากศพ

     ส่วนการดำเนินเรื่องของหนัง ทั้งเรื่องพูดกันไม่เยอะ เน้นความน่าติดตามจากสถานการณ์กดดัน วิธีการเล่าเรื่องผ่านมุมมองทั้งสามค่อนข้างมีความซับซ้อน เนื่องจากมีการตัดสลับไป แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก (ถ้าเทียบแล้ว น่าจะถือว่าเข้าใจง่ายกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มาของโนแลน, ไม่นับ TDK) นอกจากบทหนังที่ทำออกมาดี อารมณ์หนังก็กดดันอย่างหนัก บิ้วจากภาพ การแสดง ซาวน์เอฟเฟค ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ทั้งหมดทั้งมวลหลอมรวมกัน ช่วยสร้างบรรยากาศอึดอัดหนักหน่วง หายใจไม่ทั่วท้อง เพื่อให้อินกับสงครามจริงๆ

    ในจุดนี้ก็เป็นอีกลายเซ็นต์นึงของโนแลน แกจะชอบสร้างความกดดัน ความตื่นเต้นให้กับคนดูเสมอ (ตอนผมดูนี่หัวใจแทบเต้นทะลุออกมาจากอก 555)

นักแสดง การถ่ายทำและโปรดักชันหนัง
    เรื่องการแสดง นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีทุกคน แม้ว่าหนังจะไม่ได้โฟกัสเรื่องไปที่นักแสดงมากนัก นักแสดงหลัก ได้แก่ Fionn Whitehead - Tommy : พลทหาร ตัวละครเอกเหตุการณ์บนบก (นักแสดงมือใหม่ที่แสดงได้เยี่ยมมาก), Tom Hardy - Farrier : ทหารอากาศ ตัวละครเอกเหตุการณ์บนท้องฟ้า (นักแสดงคู่บุญโนแลน), Mark Rylance - Mr. Dawson : เจ้าของเรือเล็กที่มาช่วยทหาร (ลุงแกเคยได้ออสการ์นักแสดงสมทบชายจาก Bridge of Spies (2015) ด้วย) ส่วนนักแสดงสมทบ ผมชอบ Kenneth Branagh - Commander Bolton แสดงได้ดีมาก ยิ่งช็อตน้ำตาคลอ ผมนี่แทบจะน้ำตาไหลตามเลย
     เรื่องโปรดักชันหนัง ตามสไตล์การทำงานแบบโนแลนเลย เน้นทำทุกอย่างให้สมจริงมากที่สุด และโฟกัสให้ปิดงานทุกอย่างในกล้องให้ได้มากสุด เราจึงเห็น CG ใน Dunkirk เป็นน้อยกว่าหนังสงครามเรื่องอื่น และดูสมจริง ซีนที่ชื่นชอบ ผมชอบช็อต ช่วงเหตุการณ์บนฟ้าที่เครื่องบิน Dogfight กัน ปกติหนังส่วนใหญ่ก็จะทำในมุมเห็นเครื่องบินยิงกันไปมาแบบบุคคลภายนอก แต่ใน Dunkirk แสดงภาพในมุมมองบุคคลที่ 1 (แบบมุมมองนักบินเลย) รวมถึงช็อตสู้กันทั้งหลายที่ไม่ได้เอามันส์ แต่เล่นที่ความสมจริง ไล่บี้กันจริงๆ แบบกว่าจะยิงกันได้เลือดตาแทบกระเด็น (ช็อตแบบนี้ ผมว่าฟีลเหมือนฉากรบทางเรือของ Master and Commander (2003) ที่เน้นความสมจริงมากๆ)

     การถ่ายทำ หนังถ่ายในระบบฟิลม์แบบมุมภาพกว้างกว่าปกติ ทำให้เก็บรายละเอียดได้มากกว่าเดิม เพื่ออรรถรสในการชม ส่วนเรื่อง Sound หนัง การตัดต่อเสียง Mix เสียงระเบิด กระสุน เสียงเครื่องยนต์เครื่องบินทั้งหลาย ทำได้เยี่ยมมาก ดูในโรงหูแทบดับ
We Shall Fight on the Beaches
     ในส่วนสุดท้ายของหนัง หนังก็จบได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการเอ่ยถึงสุนทรพจน์ของ Winston Churchill นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น สุนทรพจน์นี้เป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ตำนานอันน่าจดจำในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวอังกฤษ เป็นการปลุกระดมให้ชาวอังกฤษฮึดสู้เข้มแข็งอีกครั้ง ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร สุนทรพจน์ครั้งนี้เรียกว่า " We Shall Fight on the Beaches "
"... We shall go on to the end. We shall fight in France, we shall fight on the seas and oceans, we shall fight with growing confidence and growing strength in the air, we shall defend our island, whatever the cost may be. We shall fight on the beaches, we shall fight on the landing grounds, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender..."

"...เราจะลุยไปจนจบ เราจะรบในฝรั่งเศส เราจะสู้ในทะเลและมหาสมุทร เราจะสู้ด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นและความแข็งแกร่งทางอากาศที่เพิ่มขึ้น เราจะปกป้องเกาะอังกฤษ ไม่ว่าต้องเสียอะไร เราจะสู้บนชายหาด เราจะรบบนบก เราจะสู้ในทุ่งและบนท้องถนน เราจะสู้บนภูเขา...เราจะไม่มีวันยอมแพ้..."


ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : กดดันสุดขีด แทบหัวใจระเบิด
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Dunkirk - Supermarine - Hans Zimmer (OFFICIAL)

     ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ได้รับการประพันธ์โดย Hans Zimmer คอมโพเซอร์เจ้าเก่าของโนแลน สำหรับเรื่องนี้ Hans Zimmer ทำผลงานออกมาได้เยี่ยม บีบคั้นอารมณ์สุดขีด กดดันคนดูจนแทบหัวใจระเบิด ผมชอบในธีมเพลง พอลองฟังดูก็พบว่า ธีมเพลงทำออกมาเข้ากับธีมภาพยนตร์เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกคล้ายเสียงเรดาห์ หรือเสียงเตือนบางอย่างที่น่ารู้สึกอึดอัด ผสมกับดนตรีระทึก กดดันตื่นเต้น คล้ายบรรยากาศหนีตาย

สรุป
     Dunkirk (2017) ผมให้ 9.5/10 (ยอดเยี่ยม แหวกแนว กดดันสุดขีด สร้างมิติใหม่ให้กับหนังสงคราม) สำหรับผม Dunkirk เป็นหนังที่ดีที่สุดเรื่องแรกของปี 2017 และทำให้ผมได้เห็นแนวทาง - มิติใหม่ๆ ของหนังสงคราม (หนังแนวทดลอง) รวมถึงได้สัมผัสกับความรู้สึกหากได้เข้าไปอยู่ในสงครามจริงๆ ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้น มันจะกดดันขนาดไหน ? และในสงครามก็มีอะไรแฝงไว้มากมาย เรื่องอารมณ์ของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัว และการเสียสละ Dunkirk ก็องค์ประกอบของหนังที่ดีทุกอย่าง

     เรื่องรางวัล โนแลนทำออกมางวดนี้ เป็นแนวที่ออสการ์ถูกจริต คิดว่ายังไง Dunkirk คงต้องเข้าชิงออสการ์สาขาหลักได้แน่ (หลังจากโนแลนกินแห้วมานาน) Dunkirk น่าจะได้เข้าชิงหลายรางวัลและมีโอกาสคว้ากลับไปสักรางวัล อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หรือผู้กำกับยอดเยี่ยม ในจุดนี้เราก็ต้องลุ้นกันไป แต่อย่างน้อยที่คงเข้าชิงแน่นอนพร้อมคว้าตุ๊กตากลับบ้าน ก็คงเป็นดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ไม่ก็ซาวน์เอฟเฟ็ค สำหรับผมคิดว่า Dunkirk เป็นเต็งหนึ่ง ณ ตอนนี้

     ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะเหมาะกับทุกคนเปล่า คอหนังธรรมดาอาจจะไม่คุ้นเคยกับหนังแนวนี้สักเท่าไร แต่สำหรับคอหนังรางวัลหรือหนังแหวกกระแส ชาวติ่งโนแลน ยังไงก็พลาดไม่ได้จริงๆ

9.5/10
----------------------------------
(มี Spoil วิเคราะห์ด้านล่าง )
ชื่อสินค้า:   Dunkirk
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่