โรสได้ไปชม Darkest Hour ชั่วโมงพลิกโลก ที่สกาล่าตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงเลย เหตุผลที่อยากจะไปดูเรื่องนี้มากก็เพราะเป็นเรื่องราวของรัฐบุรุษโลกและเป็นนายกรัฐมนตรีชื่อดังของสหราชอาณาจักร นั่นก็คือ นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล และผู้ที่สวมบทบาทอันยิ่งใหญ่นี้ นั่นก็คือ นักแสดงชาวอังกฤษมากฝีมือ แกรี่ โอลด์แมน
โรสรู้จัก แกรี่ โอลด์แมน เรื่องแรก ก็คือ แดร็กคูล่า ของ บราม สโต๊กเกอร์ ปี 1992 และเขาก็มีชื่อเสียงจากการรับบท “เจมส์ กอร์ดอน” ในภาพยนตร์ แบทแมน ในภาคแบทแมน บีกินส์ แบทแมน อัศวินรัตติกาล และ แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด อีกทั้งการรับบทเป็น “ซีเรียส แบล็ค” ในภาพยนตร์ แฮรี่ พอตเตอร์
เนื้อหาใน Darkest Hour นี้บอกเล่าเรื่องราวของท่านนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล ที่ขึ้นรับตำแหน่งในขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ต้องเผชิญกับการคุกคามของนาซีเยอรมนี ท่านตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเป็นผู้นำประเทศในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำอย่างไรให้เป็นที่ไว้วางใจของกษัตริย์ผู้ช่างสงสัย และปราบพยศพรรคการเมืองที่ไม่เห็นพ้องต้องกัน ท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการไดนาโมอพยพนายทหารอังกฤษกว่าสามแสนคนที่ดันเคิร์ก (ท่านใดที่ได้ชมภาพยนตร์ Dunkirk ของคริสโตเฟอร์ โนแลน อีกทั้งเคยอ่านหนังสือ Dunkirk ของ วอลเตอร์ ลอร์ด คงเข้าถึงสภาวการณ์นั้นได้ไม่ยาก)
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่แนวตลาด แต่ทว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถูกใจเวทีล่ารางวัลและเป็นขวัญใจแฟนๆที่ชอบภาพยนตร์น้ำดีอิงประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ในช่วงเวลา 125 นาที ที่มีตัวเอกของเรื่อง แกรี่ โอลด์แมน ผู้รับบทเป็น นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล รับบทหลักโดยตลอดและสวมบทบาทได้อย่างน่าทึ่ง จนทำให้เราหวนคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีกลับมามีชีวิตอีกครั้ง การเมคอัพที่สมจริงของ คาซึฮิโระ ซึจิ ดูไปพิจารณาไป ว้าว แปลงโฉมแกรี่ได้แนบเนียนและมาไกลขนาดนี้เชียว กลายเป็นชายแก่ร่างท้วม โจ ไรท์ ผู้กำกับถ่ายทอดงานได้ประณีตทั้งการคัดเลือกนักแสดง ความลื่นไหลของพล็อตเรื่องที่นั่งลุ้นและดูเพลินมาโดยตลอด อีกทั้งแสงสีเฉดแสงเงาที่สง่างามและลงตัวประหนึ่งภาพวาด ยิ่งทำให้เข้าถึงบรรยากาศในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
ภายใต้เมคอัพอันหนาเตอะจนกลายเป็นชายแก่อ้วน มีแต่ประกายแววตา น้ำเสียง กิริยาอาการ และฝีมือการแสดงของแกรี่ที่เจิดจรัส และทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสมจริงเหลือเกิน การแสดงเป็นบุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์ของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็สอบผ่านด้วยฝีมืออันคมกริบ ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่า อึ้งและทึ่ง สมแล้วที่เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติทั้งๆที่เข้าชิงเป็นครั้งแรกบนเวทีลูกโลกทองคำ นั่นก็คือ Best Actor-Motion Picture Drama มาลุ้นกันต่อว่าเขาจะสามารถชิงรางวัลออสการ์ได้อีกหรือไม่
กล่าวส่งท้ายกันอีกสักเล็กน้อย นอกจาก วินสตัน เชอร์ชิล จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร วินสตันยังเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ, นักประวัติศาสตร์, นักเขียน, ตลอดจนศิลปิน เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาอักษรศาสตร์ และยังเป็นบุคคลแรกที่ได้เป็น พลเมืองเกียรติยศแห่งสหรัฐอเมริกา สิ่งที่แกรี่ถ่ายทอดตัวตนของท่าน ก็คือ ชายแก่ร่างท้วมที่น่านับถือน้ำใจอันกล้าแกร่ง ภาวะความเป็นผู้นำ ความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว อารมณ์ขัน แม้สภาวะที่อยู่เพียงลำพังจะมีความหวาดหวั่นและร้องไห้ แต่ก็ได้เห็นศักยภาพของชายสูงวัยที่ไม่ปล่อยให้ตนเองตกเป็นทาสของความชรา นั่นก็คือ สติปัญญาและกล้าหาญชาญชัยไม่น้อยหน้าใคร ท่านเป็นรัฐบุรุษที่มีวาทะคมคายเป็นเลิศ และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่มวลชนและอนุชนรุ่นหลัง
“...We shall go on to the end, we shall fight in France, we shall fight on the seas and oceans, we shall fight with growing confidence and growing strength in the air, we shall defend our Island, whatever the cost may be, we shall fight on the beaches, we shall fight on the landing grounds, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender...”
“...เราจักก้าวเดินไปถึงจุดจบ เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพลังที่เติบใหญ่ในท้องนภา เราจักปกป้องเกาะของเราแม้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เราจักสู้บนชายหาด เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้บนท้องทุ่งและท้องถนน เราจักสู้ในหุบเขา เราจักสู้บนเนินเขา เราจักไม่มีวันยอมแพ้...”
— วินสตัน เชอร์ชิล 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940
ณ เวสต์มินสเตอร์
“แพ้ชนะไม่สำคัญไปกว่าการกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า” ขอให้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์ และดีใจกับแฟนๆของแกรี่ รวมทั้งตัวดิฉันเองด้วย ยอดเยี่ยมไปเลยจริงๆค่ะ
By Rose
ถ้าหากชอบ Gary Oldman…ใน Darkest Hour บอกได้เลยว่าเขาลายครามของจริง
โรสได้ไปชม Darkest Hour ชั่วโมงพลิกโลก ที่สกาล่าตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงเลย เหตุผลที่อยากจะไปดูเรื่องนี้มากก็เพราะเป็นเรื่องราวของรัฐบุรุษโลกและเป็นนายกรัฐมนตรีชื่อดังของสหราชอาณาจักร นั่นก็คือ นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล และผู้ที่สวมบทบาทอันยิ่งใหญ่นี้ นั่นก็คือ นักแสดงชาวอังกฤษมากฝีมือ แกรี่ โอลด์แมน
โรสรู้จัก แกรี่ โอลด์แมน เรื่องแรก ก็คือ แดร็กคูล่า ของ บราม สโต๊กเกอร์ ปี 1992 และเขาก็มีชื่อเสียงจากการรับบท “เจมส์ กอร์ดอน” ในภาพยนตร์ แบทแมน ในภาคแบทแมน บีกินส์ แบทแมน อัศวินรัตติกาล และ แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด อีกทั้งการรับบทเป็น “ซีเรียส แบล็ค” ในภาพยนตร์ แฮรี่ พอตเตอร์
เนื้อหาใน Darkest Hour นี้บอกเล่าเรื่องราวของท่านนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล ที่ขึ้นรับตำแหน่งในขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ต้องเผชิญกับการคุกคามของนาซีเยอรมนี ท่านตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเป็นผู้นำประเทศในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำอย่างไรให้เป็นที่ไว้วางใจของกษัตริย์ผู้ช่างสงสัย และปราบพยศพรรคการเมืองที่ไม่เห็นพ้องต้องกัน ท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการไดนาโมอพยพนายทหารอังกฤษกว่าสามแสนคนที่ดันเคิร์ก (ท่านใดที่ได้ชมภาพยนตร์ Dunkirk ของคริสโตเฟอร์ โนแลน อีกทั้งเคยอ่านหนังสือ Dunkirk ของ วอลเตอร์ ลอร์ด คงเข้าถึงสภาวการณ์นั้นได้ไม่ยาก)
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่แนวตลาด แต่ทว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถูกใจเวทีล่ารางวัลและเป็นขวัญใจแฟนๆที่ชอบภาพยนตร์น้ำดีอิงประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ในช่วงเวลา 125 นาที ที่มีตัวเอกของเรื่อง แกรี่ โอลด์แมน ผู้รับบทเป็น นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล รับบทหลักโดยตลอดและสวมบทบาทได้อย่างน่าทึ่ง จนทำให้เราหวนคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีกลับมามีชีวิตอีกครั้ง การเมคอัพที่สมจริงของ คาซึฮิโระ ซึจิ ดูไปพิจารณาไป ว้าว แปลงโฉมแกรี่ได้แนบเนียนและมาไกลขนาดนี้เชียว กลายเป็นชายแก่ร่างท้วม โจ ไรท์ ผู้กำกับถ่ายทอดงานได้ประณีตทั้งการคัดเลือกนักแสดง ความลื่นไหลของพล็อตเรื่องที่นั่งลุ้นและดูเพลินมาโดยตลอด อีกทั้งแสงสีเฉดแสงเงาที่สง่างามและลงตัวประหนึ่งภาพวาด ยิ่งทำให้เข้าถึงบรรยากาศในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
ภายใต้เมคอัพอันหนาเตอะจนกลายเป็นชายแก่อ้วน มีแต่ประกายแววตา น้ำเสียง กิริยาอาการ และฝีมือการแสดงของแกรี่ที่เจิดจรัส และทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสมจริงเหลือเกิน การแสดงเป็นบุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์ของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็สอบผ่านด้วยฝีมืออันคมกริบ ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่า อึ้งและทึ่ง สมแล้วที่เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติทั้งๆที่เข้าชิงเป็นครั้งแรกบนเวทีลูกโลกทองคำ นั่นก็คือ Best Actor-Motion Picture Drama มาลุ้นกันต่อว่าเขาจะสามารถชิงรางวัลออสการ์ได้อีกหรือไม่
กล่าวส่งท้ายกันอีกสักเล็กน้อย นอกจาก วินสตัน เชอร์ชิล จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร วินสตันยังเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ, นักประวัติศาสตร์, นักเขียน, ตลอดจนศิลปิน เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาอักษรศาสตร์ และยังเป็นบุคคลแรกที่ได้เป็น พลเมืองเกียรติยศแห่งสหรัฐอเมริกา สิ่งที่แกรี่ถ่ายทอดตัวตนของท่าน ก็คือ ชายแก่ร่างท้วมที่น่านับถือน้ำใจอันกล้าแกร่ง ภาวะความเป็นผู้นำ ความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว อารมณ์ขัน แม้สภาวะที่อยู่เพียงลำพังจะมีความหวาดหวั่นและร้องไห้ แต่ก็ได้เห็นศักยภาพของชายสูงวัยที่ไม่ปล่อยให้ตนเองตกเป็นทาสของความชรา นั่นก็คือ สติปัญญาและกล้าหาญชาญชัยไม่น้อยหน้าใคร ท่านเป็นรัฐบุรุษที่มีวาทะคมคายเป็นเลิศ และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่มวลชนและอนุชนรุ่นหลัง
“...We shall go on to the end, we shall fight in France, we shall fight on the seas and oceans, we shall fight with growing confidence and growing strength in the air, we shall defend our Island, whatever the cost may be, we shall fight on the beaches, we shall fight on the landing grounds, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender...”
“...เราจักก้าวเดินไปถึงจุดจบ เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพลังที่เติบใหญ่ในท้องนภา เราจักปกป้องเกาะของเราแม้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เราจักสู้บนชายหาด เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้บนท้องทุ่งและท้องถนน เราจักสู้ในหุบเขา เราจักสู้บนเนินเขา เราจักไม่มีวันยอมแพ้...”
— วินสตัน เชอร์ชิล 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940
ณ เวสต์มินสเตอร์
“แพ้ชนะไม่สำคัญไปกว่าการกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า” ขอให้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์ และดีใจกับแฟนๆของแกรี่ รวมทั้งตัวดิฉันเองด้วย ยอดเยี่ยมไปเลยจริงๆค่ะ
By Rose