สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
เดาว่า จขกท ยังอายุไม่มากนัก
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอกครับ
เพราะหลายๆคนกว่าจะตั้งตัวได้ ก็ผ่านช่วง 35 - 40 ไปแล้วก็มี
แต่ไม่ผิด
ก็ไม่ได้แปลว่าถูกเสมอไป
จริงอยู่การเพิ่มเงินเดือนที่เร็วที่สุด คือการเปลี่ยนงาน
แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด มันคือ
"แล้วเราทำอะไรเป็นบ้าง"
การเปลี่ยนงานด้วยคำว่า เบื่อ หรือ เงินเดือนไม่เยอะ อะไรก็แล้วแต่
กับการเปลี่ยนงานด้วยเหตุผลทาง Career Path
มันไม่เหมือนกันครับ
คุณจะมองว่าที่ผ่านมาคือความผิดพลาดหรือเปล่า
ผมคงไม่สามารถตอบได้
แต่ที่จะแนะนำ คือหลังจากตอนนี้มากกว่า
อันดับแรก คือตั้งเป้าหมายให้ชัด
และเป้าหมายนั้น ต้องไม่ใช่เรื่องเงินครับ
อาจจะฟังดูตลก เพราะเข้ามาปรึกษาเรื่องเงิน
แต่กลับบอกว่าไม่ต้องโฟกัสที่เงินซะอย่างนั้น
แต่เชื่อผมเถอะ วันใดก็ตามที่คุณทำอะไรด้วยการเอาเงินเป็นตัวตั้ง
คุณจะทำมันได้ไม่นานหรอกครับ
ชีวิตที่ดี กับ ความรวย เกี่ยวเนื่องกันแค่บางมิติ
อาจจะมากมิติหน่อยถ้าคุณอยู่ในประเทศบูชาเงินแบบประเทศไทย
แต่รับรองว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก
แต่วันนี้คุณแค่เดือดร้อนและบอกว่าฉันไม่มีความสุข
เพราะปัจจัยพื้นฐานคุณยังไม่ครบ และมันต้องใช้เงินซื้อก็เท่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีในตอนนี้
คือความรู้ และความอดทนครับ
ยิ่งคุณอายุมากขึ้นเท่าไร
การเปลี่ยนงานบ่อยๆยิ่งจะไม่ใช่เรื่องสนุกมากขึ้นเท่านั้น
เคยถามตัวเองกลับไปไหมว่า
"3ปีที่ผ่านมา คุณเก่งขึ้นจากวันที่คุณเรียนจบอย่างไรบ้าง"
ถ้าตอบไม่ได้เลย นั่นคือการเสียเวลา 3 ปีไปอย่างสมบูรณ์แบบครับ
แต่ถ้าพอมีบ้าง
และคุณพอที่โอเคกับสิ่งเหล่านั้นบ้าง
ศึกษามันให้มากขึ้นครับ
และพัฒนามันให้เก่งขึ้นจนคุณหารายได้จากมันได้
ยิ่งอายุมาก คุณยิ่งต้องลงลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เพราะวันที่คุณอายุ 35 40 คุณจะเริ่มรู้ว่าเราจะเอาแรงงานแลกเงินอย่างเดียวไม่ได้
และถ้ามันได้ มันก็ไม่พอกับภาระที่คุณต้องรับผิดชอบหรอก
บ้าน รถ พ่อแม่ที่เริ่มจะป่วย
ถ้ามีครอบครัว มีลูก จะทำอย่างไร
ถ้าโสด เริ่มป่วยเอง หรืออยากจะไปเที่ยวแบบคนใน Facebook บ้าง
จะทำอย่างไร
ความจริงก็คือความจริงครับ
แรงงานมันอาจจะทำให้เราพอมีงานให้อยู่รอด
แต่มันไม่พอที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี
รวมถึงเงินเก็บแบบที่คุณเฝ้าถามถึง
ถ้าคุณขาดความรู้ความสามารถที่ดีจริงๆ
แต่ทั้งนั้นทั้งนี้
ก็อย่าดูถูกตัวเองครับ
คุณไม่ใช่คนไม่เก่ง และคุณไม่ใช่คนโง่
คุณแค่กำลังหลงทางเท่านั้น
และทางออกของวังวนที่คุณกำลังหลงอยู่
มันจะหาไม่เจอเลยถ้าคุณไม่วางแผนครับ
แค่ลองนั่งลง ตั้งสติ
หากระดาษมาสักแผ่น เขียนความต้องการของตัวเองลงไปในนั้น
ลองวิเคราะห์ วางแผนชีวิตดูครับ
อะไรเป็นไปได้ ให้ List มันออกมา
และถ้ามันเป็นไปไม่ได้ มันขาดอะไร
จะทำอย่างไรให้ได้มันมา
สุดท้าย
ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่
ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆครับ
อย่าทำให้ตัวเราเอง
กลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของตัวเราเสียเอง
เพราะถ้ามีกำลังใจที่ดีมากพอ
ที่เหลือมันก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ
ขอให้โชคดีครับ
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอกครับ
เพราะหลายๆคนกว่าจะตั้งตัวได้ ก็ผ่านช่วง 35 - 40 ไปแล้วก็มี
แต่ไม่ผิด
ก็ไม่ได้แปลว่าถูกเสมอไป
จริงอยู่การเพิ่มเงินเดือนที่เร็วที่สุด คือการเปลี่ยนงาน
แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด มันคือ
"แล้วเราทำอะไรเป็นบ้าง"
การเปลี่ยนงานด้วยคำว่า เบื่อ หรือ เงินเดือนไม่เยอะ อะไรก็แล้วแต่
กับการเปลี่ยนงานด้วยเหตุผลทาง Career Path
มันไม่เหมือนกันครับ
คุณจะมองว่าที่ผ่านมาคือความผิดพลาดหรือเปล่า
ผมคงไม่สามารถตอบได้
แต่ที่จะแนะนำ คือหลังจากตอนนี้มากกว่า
อันดับแรก คือตั้งเป้าหมายให้ชัด
และเป้าหมายนั้น ต้องไม่ใช่เรื่องเงินครับ
อาจจะฟังดูตลก เพราะเข้ามาปรึกษาเรื่องเงิน
แต่กลับบอกว่าไม่ต้องโฟกัสที่เงินซะอย่างนั้น
แต่เชื่อผมเถอะ วันใดก็ตามที่คุณทำอะไรด้วยการเอาเงินเป็นตัวตั้ง
คุณจะทำมันได้ไม่นานหรอกครับ
ชีวิตที่ดี กับ ความรวย เกี่ยวเนื่องกันแค่บางมิติ
อาจจะมากมิติหน่อยถ้าคุณอยู่ในประเทศบูชาเงินแบบประเทศไทย
แต่รับรองว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก
แต่วันนี้คุณแค่เดือดร้อนและบอกว่าฉันไม่มีความสุข
เพราะปัจจัยพื้นฐานคุณยังไม่ครบ และมันต้องใช้เงินซื้อก็เท่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีในตอนนี้
คือความรู้ และความอดทนครับ
ยิ่งคุณอายุมากขึ้นเท่าไร
การเปลี่ยนงานบ่อยๆยิ่งจะไม่ใช่เรื่องสนุกมากขึ้นเท่านั้น
เคยถามตัวเองกลับไปไหมว่า
"3ปีที่ผ่านมา คุณเก่งขึ้นจากวันที่คุณเรียนจบอย่างไรบ้าง"
ถ้าตอบไม่ได้เลย นั่นคือการเสียเวลา 3 ปีไปอย่างสมบูรณ์แบบครับ
แต่ถ้าพอมีบ้าง
และคุณพอที่โอเคกับสิ่งเหล่านั้นบ้าง
ศึกษามันให้มากขึ้นครับ
และพัฒนามันให้เก่งขึ้นจนคุณหารายได้จากมันได้
ยิ่งอายุมาก คุณยิ่งต้องลงลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เพราะวันที่คุณอายุ 35 40 คุณจะเริ่มรู้ว่าเราจะเอาแรงงานแลกเงินอย่างเดียวไม่ได้
และถ้ามันได้ มันก็ไม่พอกับภาระที่คุณต้องรับผิดชอบหรอก
บ้าน รถ พ่อแม่ที่เริ่มจะป่วย
ถ้ามีครอบครัว มีลูก จะทำอย่างไร
ถ้าโสด เริ่มป่วยเอง หรืออยากจะไปเที่ยวแบบคนใน Facebook บ้าง
จะทำอย่างไร
ความจริงก็คือความจริงครับ
แรงงานมันอาจจะทำให้เราพอมีงานให้อยู่รอด
แต่มันไม่พอที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี
รวมถึงเงินเก็บแบบที่คุณเฝ้าถามถึง
ถ้าคุณขาดความรู้ความสามารถที่ดีจริงๆ
แต่ทั้งนั้นทั้งนี้
ก็อย่าดูถูกตัวเองครับ
คุณไม่ใช่คนไม่เก่ง และคุณไม่ใช่คนโง่
คุณแค่กำลังหลงทางเท่านั้น
และทางออกของวังวนที่คุณกำลังหลงอยู่
มันจะหาไม่เจอเลยถ้าคุณไม่วางแผนครับ
แค่ลองนั่งลง ตั้งสติ
หากระดาษมาสักแผ่น เขียนความต้องการของตัวเองลงไปในนั้น
ลองวิเคราะห์ วางแผนชีวิตดูครับ
อะไรเป็นไปได้ ให้ List มันออกมา
และถ้ามันเป็นไปไม่ได้ มันขาดอะไร
จะทำอย่างไรให้ได้มันมา
สุดท้าย
ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่
ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆครับ
อย่าทำให้ตัวเราเอง
กลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของตัวเราเสียเอง
เพราะถ้ามีกำลังใจที่ดีมากพอ
ที่เหลือมันก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ
ขอให้โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
ใครเป็นบ้าง ตั้งแต่ทำงานมา แทบไม่มีเงินเก็บเลย
เราเริ่มทำงานตั้งแต่ปี 56 ทำงานมา 5 ที่ ประสบการณ์ทำงานทั้งหมด 3 ปี
สาเหตุของการไม่มีเงินเก็บก็คือ รายจ่ายกับรายรับไม่สมดุลกัน ขอบอกเงินเดือนและค่าใช้จ่ายเราคร่าวๆ
1. เงินเดือนเราน้อย มีตั้งแต่ 6,500 - 15,000 บาท และถ้าเดือนไหนเรามีเงิน เราจะแบ่งให้พ่อแม่บ้างเล็กน้อย
2. เราเปลี่ยนงานบ่อย เปลี่ยนงานทีนึงก็ว่างงานอยู่ 3-4 เดือน (บางทีว่าง 6 เดือน) ช่วงที่ว่างก็ไม่มีรายรับอะไรนอกจากเงินชดเชยว่างงานไม่กี่บาท และยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการไปสมัครงานที่ใหม่ด้วย
3. ค่าอาหาร ช่วง 3 ปีแรกเราทำงานใกล้บ้าน ค่าใช้จ่ายก็ไม่เยอะมาก (คือเงินเดือนน้อย ค่าใช้จ่ายน้อย) และช่วง 2 ปีหลังเรามาอยู่ กทม. ต้องเช่าหอพักด้วยเดือนละเกือบ 4,000 บาท (เงินเดือนมากกว่าเดิม ค่าใช้จ่ายก็มากกว่าเดิม บางทีมีค่าภาษีสังคมอีก)
4. นอกจากค่าอาหาร และค่าเช่าหอแล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเดินทางไปโน่นไปนี่ ค่าหมอค่ายาเวลาไม่สบาย (ตอนอยู่ กทม. เราซื้อยาบ่อย เพราะไม่สบายบ่อย)
5. ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเรา เช่น ค่าเดินทางกลับบ้าน (มักเดินทางด้วยเครื่องบิน ราคาก็เป็นพันๆ แล้ว แต่ก็แพงกว่ารถทัวร์นิดเดียว ถ้าเทียบกับเวลาเดินทาง), ค่าความสุขเล็กๆน้อยๆในการเที่ยวและช้อปปิ้ง, ค่าไปเรียนโน่นเรียนนี่ เช่น เรียนภาษา คอร์สนึงก็แพงมาก
เรามาคิดๆ ดูแล้ว สาเหตุหลักๆ มันก็คงเป็นเพราะเราเปลี่ยนงานบ่อย และว่างงานครั้งละนานๆ (เราลาออกก่อนได้งานตลอด เพราะถ้าไม่ลาออกก่อนจะลำบากมากเวลาไปสมัครงานที่ใหม่ ลางานไม่สะดวก) ค่าใช้จ่ายก็เลยเยอะ เงินเก็บก็ค่อยๆ หมดไป จากหลักหมื่นก็เหลือหลักพัน ตอนนี้แทบไม่มีเงินเก็บเลย น่าเศร้ามาก (ทั้งๆที่เราก็ไม่ค่อยได้ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเลย ถ้าเทียบกับคนทั่วไป เราไม่ค่อยแต่งตัว บางทีก็พยายามกินแต่มาม่าแทนข้าว แต่มันทำให้สุขภาพย่ำแย่ ก็ไม่คุ้ม) ในขณะที่เพื่อนๆ เรามีเงินเก็บมากพอจะซื้อรถได้แล้ว แต่เรายังไม่มีอะไรเลย โชคดีแค่อย่างเดียวคือไม่มีหนี้สิน