เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อผมเจอเงินหนึ่งร้อยบาทครับ ทันทีที่ผมเห็นแบงค์ร้อยตกอยู่ ผมมองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจดูว่ามีใครมองอยู่รึเปล่า ก็พฤติกรรมทั่วไปน่ะแหละครับ เวลาจะทำความชั่วก็ต้องดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีใครเห็น พอแน่ใจแล้วผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมจะเป็นเจ้าของมันต่อเอง ผมหยิบแบงค์ร้อยขึ้นมาแล้วก็ทำทีเป็นทำงานต่อไป (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ที่ทำงานของผมครับ)
แน่นอนครับ เงินนั้นต้องมีเจ้าของ แล้วเจ้าของเค้าก็ยังไม่ได้ไปไหน เมื่อถึงเวลาจ่ายตังค์เค้าก็เดินมาที่ตู้จ่ายเงิน แล้วเค้าก็พึ่งรู้ตัวว่าแบงค์ร้อยใบนั้นไม่ได้อยู่กับเค้าแล้ว ที่บรรยายได้ละเอียดขนาดนี้ก็เพราะว่าผมก็ยืนอยู่ตรงตู้จ่ายเงินน่ะแหละครับ ในตอนนี้สมองผมทำงานค่อนข้างหนักครับ ถ้าผมบอกว่าผมเก็บได้ตอนนี้พี่เค้าก็จะได้ตังค์คืน ส่วนผมก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเงินไปอยู่ในกระเป๋าผมได้ยังไง แต่เดาไม่ยากหรอกครับ ผมไม่ได้เลือกทางนั้น ผมทำทีว่าไม่รู้เรื่อง รับฟังเหมือนพึ่งรับรู้เรื่องราวครั้งแรก
แล้วเจ้าของเงินก็ขับรถออกไปครับ ทิ้งเงินไว้กับผมพร้อมกับความรู้สึกผิดพ่วงด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีใครมองเห็นตอนที่ผมก้มเก็บเงินรึเปล่า
สักพักเลยแหละครับที่ความรู้สึกผิดรุมเร้าผมอย่างหนักจนไม่เป็นอันทำงาน แต่ด้วยพื้นฐานความเป็นมนุษย์ สมองก็พยายามหาข้ออ้างให้กับการกระทำของตัวเอง แล้วผมก็คิดอย่างนึงได้ครับ
ย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมถูกขโมยมอเตอร์ไซค์ เป็นความสะเพร่าของผมเองที่เสียบกุญแจคาไว้ แล้วพอพี่ขโมยมาเห็นเข้าก็ขับออกไปได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่ต้องถามถึงเรื่องตามคืนหรอกครับ งานพี่ตำรวจเค้าเยอะมากในแต่ละวัน การรับแจ้งความแล้วลงบันทึกประจำวันก็รบกวนพี่ตำรวจเค้ามากเหลือแสนแล้ว
ด้วยความที่เป็นคนคิดมาก ผมจมอยู่กับความเสียใจที่สูญเสียมอเตอร์ไซค์ไปอยู่นานมาก คิดถึงเรื่องนี้ครั้งใดก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้ บางครั้งก็โทษนู่นโทษนี่ เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็แค่แป๊ปเดียวเท่านั้นแหละครับ เวลาที่บอกจะช่วยเยียวยาก็ขี้เกียจต่อหน้าที่เหลือเกิน
ความรู้สึกที่ผมได้ตอนนี้คือประเด็นของเรื่องนี้ครับ เป็นความรู้สึกที่ว่า "ผมก็ไม่ได้เป็นคนดีเท่าไรหรอก" เมื่อมีโอกาสให้ฉวยผมก็สามารถทำได้โดยไม่ใช้ความคิดชั่ง ตวง วัด ให้ดี คิดว่าพี่หัวขโมยคนนั้นก็คงเหมือนกัน ไม่ว่ามูลค่ามันจะต่างกันแค่ไหนก็ตาม พอได้ไอเดียนี้แล้วผมก็คิดว่าผมไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะไปโกรธพี่หัวขโมยเค้าเลยครับ เพราะถ้าไปถามพี่เจ้าของเงิน เค้าก็คงเรียกผมว่าไอ้หัวขโมยได้อย่างไม่ต้องคิดเลย
ที่จะเล่ามีแค่นี้แหละครับ จะเอาศีลธรรมอันดีมาเขวี้ยงใส่หน้าผมยังไงก็ตามใจ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
เมื่อผมเก็บเงินได้แล้วไม่คืน
แน่นอนครับ เงินนั้นต้องมีเจ้าของ แล้วเจ้าของเค้าก็ยังไม่ได้ไปไหน เมื่อถึงเวลาจ่ายตังค์เค้าก็เดินมาที่ตู้จ่ายเงิน แล้วเค้าก็พึ่งรู้ตัวว่าแบงค์ร้อยใบนั้นไม่ได้อยู่กับเค้าแล้ว ที่บรรยายได้ละเอียดขนาดนี้ก็เพราะว่าผมก็ยืนอยู่ตรงตู้จ่ายเงินน่ะแหละครับ ในตอนนี้สมองผมทำงานค่อนข้างหนักครับ ถ้าผมบอกว่าผมเก็บได้ตอนนี้พี่เค้าก็จะได้ตังค์คืน ส่วนผมก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเงินไปอยู่ในกระเป๋าผมได้ยังไง แต่เดาไม่ยากหรอกครับ ผมไม่ได้เลือกทางนั้น ผมทำทีว่าไม่รู้เรื่อง รับฟังเหมือนพึ่งรับรู้เรื่องราวครั้งแรก
แล้วเจ้าของเงินก็ขับรถออกไปครับ ทิ้งเงินไว้กับผมพร้อมกับความรู้สึกผิดพ่วงด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีใครมองเห็นตอนที่ผมก้มเก็บเงินรึเปล่า
สักพักเลยแหละครับที่ความรู้สึกผิดรุมเร้าผมอย่างหนักจนไม่เป็นอันทำงาน แต่ด้วยพื้นฐานความเป็นมนุษย์ สมองก็พยายามหาข้ออ้างให้กับการกระทำของตัวเอง แล้วผมก็คิดอย่างนึงได้ครับ
ย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมถูกขโมยมอเตอร์ไซค์ เป็นความสะเพร่าของผมเองที่เสียบกุญแจคาไว้ แล้วพอพี่ขโมยมาเห็นเข้าก็ขับออกไปได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่ต้องถามถึงเรื่องตามคืนหรอกครับ งานพี่ตำรวจเค้าเยอะมากในแต่ละวัน การรับแจ้งความแล้วลงบันทึกประจำวันก็รบกวนพี่ตำรวจเค้ามากเหลือแสนแล้ว
ด้วยความที่เป็นคนคิดมาก ผมจมอยู่กับความเสียใจที่สูญเสียมอเตอร์ไซค์ไปอยู่นานมาก คิดถึงเรื่องนี้ครั้งใดก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้ บางครั้งก็โทษนู่นโทษนี่ เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็แค่แป๊ปเดียวเท่านั้นแหละครับ เวลาที่บอกจะช่วยเยียวยาก็ขี้เกียจต่อหน้าที่เหลือเกิน
ความรู้สึกที่ผมได้ตอนนี้คือประเด็นของเรื่องนี้ครับ เป็นความรู้สึกที่ว่า "ผมก็ไม่ได้เป็นคนดีเท่าไรหรอก" เมื่อมีโอกาสให้ฉวยผมก็สามารถทำได้โดยไม่ใช้ความคิดชั่ง ตวง วัด ให้ดี คิดว่าพี่หัวขโมยคนนั้นก็คงเหมือนกัน ไม่ว่ามูลค่ามันจะต่างกันแค่ไหนก็ตาม พอได้ไอเดียนี้แล้วผมก็คิดว่าผมไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะไปโกรธพี่หัวขโมยเค้าเลยครับ เพราะถ้าไปถามพี่เจ้าของเงิน เค้าก็คงเรียกผมว่าไอ้หัวขโมยได้อย่างไม่ต้องคิดเลย
ที่จะเล่ามีแค่นี้แหละครับ จะเอาศีลธรรมอันดีมาเขวี้ยงใส่หน้าผมยังไงก็ตามใจ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ