สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ห่างกันไม่ถึง 100 ไมล์ แต่ต่างกันชัดเจนระหว่างซิลิคอน วัลเลย์ กับ เซ็นทรัล วัลเลย์ คิดเป็น กม. ทางบก ก็ประมาณ 160 กม. แต่รายได้ประชากรต่อหัวต่างกันถึง 35,115 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนไหลกันไปอยู่ในที่ๆมีรายได้ต่อหัวมากกว่ายิ่งขึ้น เมื่อคาดการณ์ว่าอาชีพการงานที่นั่นสามารถถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์สูงถึง 61.5% ภายใน 10 ถึง 20 ปี สิ่งที่ยั่งืนที่สุดก็คงไม่พ้นเกษตรกรรม เพราะ เป็นแหล่งของหนึ่งในปัจจัย 4 ของมนุษย์ ยังไงมนุษย์มันก็ต้องกินอาหาร แต่ที่มาของผลผลิตเกษตรกรรมที่ดีนั่นคือแหล่งน้ำ เห็นว่าอ่างเก็บน้ำมี 22 แห่งพื้นที่รวมกันประมาณ 11 ล้านเอเคอร์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเพียงพอหรือไม่ หากแหล่งน้ำที่ทางการสหรัฐทำไว้ไม่เพียงพอ เกษตรกรที่นั่นคงได้หาแหล่งน้ำทางเลือกเช่นการนำน้ำบาดาลมาใช้
เคยเขียนเรื่องแหล่งน้ำทางเลือกอยู่ เอามาแจมกระทู้ก็แล้วกันครับ
ในกรณีที่เราอยากจะมีระบบน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร อุปโภค บริโภคเองดูครับ ถ้าใช้สำหรับนา 20 ไร่ หรือใช้ในครัวเรือนคิดว่าเพียงพอแน่นอนสำหรับ 1 บ่อ ลองคิดแบบคร่าวๆกันดูนะ
จากประสบการณ์จริงที่เคยไปเดินระบบน้ำทั้งระบบไว้ เจาะบาดาลลึก 40 เมตร (หรือเจาะเพิ่มลึกลงไปอีกไม่มากก็น่าจะเจอตาน้ำ) จนผ่านชั้นหินที่ไปสู่ชั้นที่มีน้ำบาดาล คนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมารับงานนอกในวันหยุดเจาะให้เอง ค่าเจาะ 17,000 บาท ราคานี้ใช้ท่อ PVC 5" ขนาดความหนาเบอร์ 8.5 (ส่วนใหญ่ผู้รับงานจะใช้ท่อ 4") ซึ่งความลึกขนาดนี้จะเป็นความลึกโดยประมาณเฉลี่ยต่อในหลายๆพื้นที่ บางที่อาจจะต้องเจาะลึกกว่านั้นขึ้นไป แต่บางพื้นที่แค่ไม่เกิน 10 เมตรก็เจอ บางที่เจาะไปเกือบ 100 เมตรก็มี(อันนี้ค่าเจาะแพงแต่น้ำได้เต็มที่และสะอาดจริง) ในที่นี้คิดที่ประมาณลึก 40 เมตรก็แล้วกัน ให้ราคาปัดไว้เผื่อที่ 25,000 บาท แต่จริงๆแล้วไม่น่าจะถึง แค่หมื่นกว่าบาทก็น่าจะพอ (เผื่อไว้ในกรณีที่บริเวณที่จะเจาะไม่มีน้ำที่จะไปหล่อเย็นหัวเจาะเพราะจะทำให้เจาะยากและหัวเจาะไหม้หรือแตกหักได้ จึงจำเป็นต้องเผื่อค่าเช่ารถน้ำที่เขาเอามาหล่อเย็นหัวเจาะ หรือถ้าเรามีน้ำพอที่จะเปิดเลี้ยงหัวเจาะไว้ ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกลงไปอีก)
ใช้ Submersible Pump (ปั๊มแช่สำหรับน้ำบาดาล) อย่างดีของ Franklin ปั๊มบาดาล 1 แรงม้า 7 ใบพัด Schaefer TRI-SEAL ขนาดท่อออกได้ทั่ง 1 1/2" และ 1 1/4" ตัวละ 14,000 บาท จุ่มลงไปในก้นบ่อที่เจาะ ดูดไปเรื่อยๆจนกว่าน้ำมันจะใสหรือหายขุ่นบางที่วันเดียวก็ใสแล้ว บางที่ก็นานกว่านั้น เหตุผลที่ใช้ปั๊มแค่ 1 แรงม้าก็คือ หากเราใช้ปั๊มที่แรงกว่านั้น น้ำจากตาน้ำบ่อบาดาลจะไหลกลับเข้ามาป้อนเข้าปี๊มไม่ทันตามอัตราการไหลของน้ำของปั๊ม ไม่ใช่ว่าอยากจะดูดขึ้นมาแรงเท่าไหร่ก็ได้ ไม่งั้นจะได้น้ำบ้างอากาศบ้าง และอาจจะทำให้ปั๊มพังได้ในกรณีที่น้ำมาไม่ทันขาดช่วงนานๆ


ให้สูบเก็บใส่แท๊งค์ไว้ที่ติดตั้งไว้ข้างบ่อบาดาล (ติดตั้งสวิทช์ลูกลอยอัตโนมัติไว้ให้ปั๊มมันติดเมื่อน้ำลดถึงระดับที่ตั้งไว้ และหยุดเมื่อน้ำเพิ่มถึงระดับที่ต้องการ) จะซื้อเป็นแท๊งค์เก็บหรือบ่อพักก็แล้วแต่ขนาด หากเอาแค่ 10,000 ลิตร ก็ไม่เกิน 2-3 หมื่นบาท หรือหากจะก่อเป็นบ่อปูน+กันซึม เอาแบบเป็นแสนลิตรก็ประมาณ 5 หมื่นบาท(ก่ออิฐบล็อคและก็ฉาบปูนผสมน้ำยากันซึม ห้ามใช้อิฐมวลเบาเด็ดขาด) น้ำจากบ่อบาดาลจะเติมลงบ่อพักนี้เรื่อยๆจนกว่าจะถึงระดับที่เราตั้งสวิทช์ลูกลอยไว้ปั๊มมันจะตัด
ค่าเดินท่อรวมอุปกรณ์ ไม่เกิน 500 บาท / 12 เมตร (คิดคล่าวๆโดยเฉลี่ยจากการใช้ทั้งท่อ PE ท่อ PVC อย่างใดอย่างหนึ่ง) หากต้องการเดินท่อในตำแหน่งที่ห่างจากบ่อไป 100 เมตร จะต้องใช้ เงินตรงนี้ประมาณ 500*100/12 = 4,167 บาท เคสนี้คิดไว้แบบเดินท่อรวมไป 500 เมตรก็ประมาณ 20,000 บาทก็แล้วกันอาแบบต้นไม้ได้น้ำทั่วถึงไปเลย แต่ถ้าใช้เป็นสายยางเกษตร ราคาจะถูกลงกว่านี้มาก
ต้นกำลังส่งน้ำออกจากบ่อพักน้ำไปยังพื้นที่เป้าหมายเอาเป็นปั๊มหอยโข่งขนาด 3 " ก็แล้วกัน (แล้วค่อยแยกไลน์ลดขนาดท่อลงไปตามความเหมาะสม) ราคาไม่เกิน 15,000 บาท (หากให้มันเปิดปิดตามเวลาที่ต้องการก็ติดตั้ง Timer เอา ตีราคาให้ไม่เกิน 1,000 บาท) ในกรณีที่ส่งน้ำไปไกลหรือขึ้นที่สูงเราจำเป็นที่จะต้องติดตั้งหม้อลม (air chamber หรือชาวบ้านบางคนเรียกแอร์แวะ) ในแนวตั้งตรงตำแหน่งหลังปั๊ม เพราะลมหรืออากาศที่มากับน้ำจะลอยขึ้นไปสู่ส่วนบนเจ้าหม้อลมอันนี้แล้วมันก็จะไปต่อไม่ได้ก็จะผลักเอาน้ำให้มีแรงดันพุ่งออกไปให้ไกลขึ้นหลายเท่าตัวของประสิทธิภาพปั๊ม ให้ค่างบทำหม้อลม + เช็ควาล์วกันลมย้อนกลับกระแทกปั๊มไว้ที่ 1,000 บาท
รวมๆแล้วทั้งระบบ เจาะบ่อบาดาล+ปั๊มบาดาล+บ่อพักน้ำ+ปั๊มส่งน้ำจากบ่อพักไปยังต้นไม้+เดินท่อหรือสายยางก็ประมาณ 1 แสน (ไปจ่ายหนักตรงบ่อพักน้ำ) หรือน้อยกว่านั้น ใช้กับการเกษตรได้หลายไร่ หรือใช้อุปโภค-บริโภคได้หลายครัวเรือน
และในกรณีที่เราต้องการน้ำตรงนี้มาใช้อุปโภคบริโภค หากคุณภาพน้ำมันดีอยู่แล้วก็นำมาใช้ได้เลย เพราะน้ำบาดาลเป็นน้ำใต้ชั้นหินที่สะอาดอยู่แล้ว และหากน้ำมันเหลือง เราก็อาจจะซื้อถังพลาสติกมาทำเป็นบ่อปรับสภาพน้ำหรือบ่อกรองน้ำคือเติมผงแมงกานีสเข้าไป (สั่งซื้อตามเน็ตได้) หากน้ำมีรสเค็มหรือเปรี้ยว เราก็เติมเรซิ่นกรองน้ำลงไปในบ่อกรอง และเติมผงคาร์บอนลงไปเพื่อไม่ให้น้ำมีกลิ่นเป็นต้น เพื่อนๆลองไปประยุกต์ใช้ดูครับ
คิดว่าบ่อเดียวมันเพียงพอสำหรับนา 20 ไร่ หรือถ้าจะเอาแบบประหยัดสุดๆจริงๆก็แค่เจาะบ่อหมื่นกว่าบาท แล้วต่อสายยางลงไปที่ๆนาเราต่อได้เลย ก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราต้องอยู่กับมันตลอด คอยเปิดปิดปั๊มเอง และคอยลากสายยางไปตามจุดต่างๆเองเท่านั้น
- การขุดเจาะบ่อบาดาลเพียงแค่เสริมเข้าไปไม่ให้พื้นที่เกษตรแห้งสนิทในยามที่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ ฟ้าฝน การจัดการน้ำของกรมชลฯขาดแคลนเท่านั้น ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพเช่นไฟฟ้าที่เราใช้อยุ่ทุกวันนี้มาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ (CNG) และถ่านหินเป็นหลัก แต่เรามีโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อเดินเครื่องจ่ายโหลดเสริมในช่วง Peak load (ช่วงหัวค่ำของทุกๆวันและในช่วงหน้าร้อน) บ่อบาดาลนี้ก็เช่นเดียวกันกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำครับ แต่หากเรานำมาใช้เพื่อการอุปโภค บริโภค เฉยๆ 1 บ่อ/50-100 ครัวเรือนนี้ก็ได้อยู่ครับผม ทำบ่อพักน้ำให้ดีๆปั๊มน้ำมันจะเติมน้ำเข้าบ่อตลอดครับ
- เรื่องบริหารจัดการน้ำที่ดีคือการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ซึ่งประเทศเรานั้นเดิมทีมีต้นทุนทางทรัพยากรน้ำสูงกว่าหลายๆประเทศ หากเรามีการบริหารจัดการน้ำที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหาภัยแล้งก็จะไม่เกิด ประชาชนโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมก็จะไม่เดือดร้อน
- นี่คือภาพแสดงดัชนีความมั่นคงด้านน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำ ที่จริงแล้วประเทศเรานับว่าโชคดีที่มีน้ำจืดอุปโภคบริโภคมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่พอดูดัชนีแล้วจะเห็นว่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์รวมถึงสิงคโปร์ ทั้งๆ ที่ประเทศเขาขาดแคลนน้ำจืด แต่ทำไมดัชนีความมั่นคงน้ำถึงสูง นั่นก็เพราะเขามีการจัดการที่ดี ในขณะที่เราเองกลับอยู่เกาะกลุ่มกับอินเดีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าประเทศเหล่านี้มีปัญหาขาดแคลนน้ำมากกว่าเรา (บังคลาเทศอาจมีน้ำท่วมบ่อยๆ แต่ไม่ได้หมายถึงมีน้ำใช้เพียงพอในการอุปโภคบริโภค)
เคยเขียนเรื่องแหล่งน้ำทางเลือกอยู่ เอามาแจมกระทู้ก็แล้วกันครับ
ในกรณีที่เราอยากจะมีระบบน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร อุปโภค บริโภคเองดูครับ ถ้าใช้สำหรับนา 20 ไร่ หรือใช้ในครัวเรือนคิดว่าเพียงพอแน่นอนสำหรับ 1 บ่อ ลองคิดแบบคร่าวๆกันดูนะ
จากประสบการณ์จริงที่เคยไปเดินระบบน้ำทั้งระบบไว้ เจาะบาดาลลึก 40 เมตร (หรือเจาะเพิ่มลึกลงไปอีกไม่มากก็น่าจะเจอตาน้ำ) จนผ่านชั้นหินที่ไปสู่ชั้นที่มีน้ำบาดาล คนจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมารับงานนอกในวันหยุดเจาะให้เอง ค่าเจาะ 17,000 บาท ราคานี้ใช้ท่อ PVC 5" ขนาดความหนาเบอร์ 8.5 (ส่วนใหญ่ผู้รับงานจะใช้ท่อ 4") ซึ่งความลึกขนาดนี้จะเป็นความลึกโดยประมาณเฉลี่ยต่อในหลายๆพื้นที่ บางที่อาจจะต้องเจาะลึกกว่านั้นขึ้นไป แต่บางพื้นที่แค่ไม่เกิน 10 เมตรก็เจอ บางที่เจาะไปเกือบ 100 เมตรก็มี(อันนี้ค่าเจาะแพงแต่น้ำได้เต็มที่และสะอาดจริง) ในที่นี้คิดที่ประมาณลึก 40 เมตรก็แล้วกัน ให้ราคาปัดไว้เผื่อที่ 25,000 บาท แต่จริงๆแล้วไม่น่าจะถึง แค่หมื่นกว่าบาทก็น่าจะพอ (เผื่อไว้ในกรณีที่บริเวณที่จะเจาะไม่มีน้ำที่จะไปหล่อเย็นหัวเจาะเพราะจะทำให้เจาะยากและหัวเจาะไหม้หรือแตกหักได้ จึงจำเป็นต้องเผื่อค่าเช่ารถน้ำที่เขาเอามาหล่อเย็นหัวเจาะ หรือถ้าเรามีน้ำพอที่จะเปิดเลี้ยงหัวเจาะไว้ ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกลงไปอีก)
นี่คือภาพตัวอย่างรถที่เจาะ จะติดตั้งเครื่องเจาะไว้ที่กะบะหลัง เป็นแท่นเครื่องเจาะขนาดใหญ่

หลังจากเจาะเสร็จแล้ว ตามภาพกำลังไล่ลมไล่ฝุ่นออกจากบ่ออยู่ บ่อนี้ลึก 40 เมตร


หลังจากเจาะเสร็จแล้ว ตามภาพกำลังไล่ลมไล่ฝุ่นออกจากบ่ออยู่ บ่อนี้ลึก 40 เมตร

ใช้ Submersible Pump (ปั๊มแช่สำหรับน้ำบาดาล) อย่างดีของ Franklin ปั๊มบาดาล 1 แรงม้า 7 ใบพัด Schaefer TRI-SEAL ขนาดท่อออกได้ทั่ง 1 1/2" และ 1 1/4" ตัวละ 14,000 บาท จุ่มลงไปในก้นบ่อที่เจาะ ดูดไปเรื่อยๆจนกว่าน้ำมันจะใสหรือหายขุ่นบางที่วันเดียวก็ใสแล้ว บางที่ก็นานกว่านั้น เหตุผลที่ใช้ปั๊มแค่ 1 แรงม้าก็คือ หากเราใช้ปั๊มที่แรงกว่านั้น น้ำจากตาน้ำบ่อบาดาลจะไหลกลับเข้ามาป้อนเข้าปี๊มไม่ทันตามอัตราการไหลของน้ำของปั๊ม ไม่ใช่ว่าอยากจะดูดขึ้นมาแรงเท่าไหร่ก็ได้ ไม่งั้นจะได้น้ำบ้างอากาศบ้าง และอาจจะทำให้ปั๊มพังได้ในกรณีที่น้ำมาไม่ทันขาดช่วงนานๆ
ในภาพชุดปั๊มน้ำบาดาลแบบแช่ ที่จำเป็นต้องใช้แบบนี้เพราะตาน้ำมันอยู่ลึก หากเพียงแค่ 10-20 เมตร เราใช้แค่ปั๊มหอยโข่งธรรมดาเอาก็ได้ ถูกกว่ากัน 2-3 เท่าตัว


ภาพนี้หลังจากเราหย่อนปั๊มลงไปในบ่อแล้วปั๊มน้ำมันทิ้งไว้ซัก 1 วัน 1 คืน น้ำมันก็จะใสแบบนี้ (บางที่อาจจะใช้เวลานานกว่านั้นแล้วแต่คุณภาพน้ำของแต่ละที่




ให้สูบเก็บใส่แท๊งค์ไว้ที่ติดตั้งไว้ข้างบ่อบาดาล (ติดตั้งสวิทช์ลูกลอยอัตโนมัติไว้ให้ปั๊มมันติดเมื่อน้ำลดถึงระดับที่ตั้งไว้ และหยุดเมื่อน้ำเพิ่มถึงระดับที่ต้องการ) จะซื้อเป็นแท๊งค์เก็บหรือบ่อพักก็แล้วแต่ขนาด หากเอาแค่ 10,000 ลิตร ก็ไม่เกิน 2-3 หมื่นบาท หรือหากจะก่อเป็นบ่อปูน+กันซึม เอาแบบเป็นแสนลิตรก็ประมาณ 5 หมื่นบาท(ก่ออิฐบล็อคและก็ฉาบปูนผสมน้ำยากันซึม ห้ามใช้อิฐมวลเบาเด็ดขาด) น้ำจากบ่อบาดาลจะเติมลงบ่อพักนี้เรื่อยๆจนกว่าจะถึงระดับที่เราตั้งสวิทช์ลูกลอยไว้ปั๊มมันจะตัด
ภาพตัวอย่าสวิทช์ลูกลอย ตัวนี้ราคา 4 ร้อยกว่าบาทถ้าจำไม่ผิด แต่ของอิตาลี่สีดำล้วนตัวละ 6 ร้อยกว่าบาทหาภาพไม่เจอ


ค่าเดินท่อรวมอุปกรณ์ ไม่เกิน 500 บาท / 12 เมตร (คิดคล่าวๆโดยเฉลี่ยจากการใช้ทั้งท่อ PE ท่อ PVC อย่างใดอย่างหนึ่ง) หากต้องการเดินท่อในตำแหน่งที่ห่างจากบ่อไป 100 เมตร จะต้องใช้ เงินตรงนี้ประมาณ 500*100/12 = 4,167 บาท เคสนี้คิดไว้แบบเดินท่อรวมไป 500 เมตรก็ประมาณ 20,000 บาทก็แล้วกันอาแบบต้นไม้ได้น้ำทั่วถึงไปเลย แต่ถ้าใช้เป็นสายยางเกษตร ราคาจะถูกลงกว่านี้มาก
ต้นกำลังส่งน้ำออกจากบ่อพักน้ำไปยังพื้นที่เป้าหมายเอาเป็นปั๊มหอยโข่งขนาด 3 " ก็แล้วกัน (แล้วค่อยแยกไลน์ลดขนาดท่อลงไปตามความเหมาะสม) ราคาไม่เกิน 15,000 บาท (หากให้มันเปิดปิดตามเวลาที่ต้องการก็ติดตั้ง Timer เอา ตีราคาให้ไม่เกิน 1,000 บาท) ในกรณีที่ส่งน้ำไปไกลหรือขึ้นที่สูงเราจำเป็นที่จะต้องติดตั้งหม้อลม (air chamber หรือชาวบ้านบางคนเรียกแอร์แวะ) ในแนวตั้งตรงตำแหน่งหลังปั๊ม เพราะลมหรืออากาศที่มากับน้ำจะลอยขึ้นไปสู่ส่วนบนเจ้าหม้อลมอันนี้แล้วมันก็จะไปต่อไม่ได้ก็จะผลักเอาน้ำให้มีแรงดันพุ่งออกไปให้ไกลขึ้นหลายเท่าตัวของประสิทธิภาพปั๊ม ให้ค่างบทำหม้อลม + เช็ควาล์วกันลมย้อนกลับกระแทกปั๊มไว้ที่ 1,000 บาท
การทำงานคล่าวๆของหม้อลม หรือแอร์แว หรือ Air Chamber


รวมๆแล้วทั้งระบบ เจาะบ่อบาดาล+ปั๊มบาดาล+บ่อพักน้ำ+ปั๊มส่งน้ำจากบ่อพักไปยังต้นไม้+เดินท่อหรือสายยางก็ประมาณ 1 แสน (ไปจ่ายหนักตรงบ่อพักน้ำ) หรือน้อยกว่านั้น ใช้กับการเกษตรได้หลายไร่ หรือใช้อุปโภค-บริโภคได้หลายครัวเรือน
และในกรณีที่เราต้องการน้ำตรงนี้มาใช้อุปโภคบริโภค หากคุณภาพน้ำมันดีอยู่แล้วก็นำมาใช้ได้เลย เพราะน้ำบาดาลเป็นน้ำใต้ชั้นหินที่สะอาดอยู่แล้ว และหากน้ำมันเหลือง เราก็อาจจะซื้อถังพลาสติกมาทำเป็นบ่อปรับสภาพน้ำหรือบ่อกรองน้ำคือเติมผงแมงกานีสเข้าไป (สั่งซื้อตามเน็ตได้) หากน้ำมีรสเค็มหรือเปรี้ยว เราก็เติมเรซิ่นกรองน้ำลงไปในบ่อกรอง และเติมผงคาร์บอนลงไปเพื่อไม่ให้น้ำมีกลิ่นเป็นต้น เพื่อนๆลองไปประยุกต์ใช้ดูครับ
คิดว่าบ่อเดียวมันเพียงพอสำหรับนา 20 ไร่ หรือถ้าจะเอาแบบประหยัดสุดๆจริงๆก็แค่เจาะบ่อหมื่นกว่าบาท แล้วต่อสายยางลงไปที่ๆนาเราต่อได้เลย ก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราต้องอยู่กับมันตลอด คอยเปิดปิดปั๊มเอง และคอยลากสายยางไปตามจุดต่างๆเองเท่านั้น
...............................................................................................................................................
- การขุดเจาะบ่อบาดาลเพียงแค่เสริมเข้าไปไม่ให้พื้นที่เกษตรแห้งสนิทในยามที่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ ฟ้าฝน การจัดการน้ำของกรมชลฯขาดแคลนเท่านั้น ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพเช่นไฟฟ้าที่เราใช้อยุ่ทุกวันนี้มาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ (CNG) และถ่านหินเป็นหลัก แต่เรามีโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อเดินเครื่องจ่ายโหลดเสริมในช่วง Peak load (ช่วงหัวค่ำของทุกๆวันและในช่วงหน้าร้อน) บ่อบาดาลนี้ก็เช่นเดียวกันกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำครับ แต่หากเรานำมาใช้เพื่อการอุปโภค บริโภค เฉยๆ 1 บ่อ/50-100 ครัวเรือนนี้ก็ได้อยู่ครับผม ทำบ่อพักน้ำให้ดีๆปั๊มน้ำมันจะเติมน้ำเข้าบ่อตลอดครับ
- เรื่องบริหารจัดการน้ำที่ดีคือการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ซึ่งประเทศเรานั้นเดิมทีมีต้นทุนทางทรัพยากรน้ำสูงกว่าหลายๆประเทศ หากเรามีการบริหารจัดการน้ำที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหาภัยแล้งก็จะไม่เกิด ประชาชนโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมก็จะไม่เดือดร้อน
- นี่คือภาพแสดงดัชนีความมั่นคงด้านน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำ ที่จริงแล้วประเทศเรานับว่าโชคดีที่มีน้ำจืดอุปโภคบริโภคมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่พอดูดัชนีแล้วจะเห็นว่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์รวมถึงสิงคโปร์ ทั้งๆ ที่ประเทศเขาขาดแคลนน้ำจืด แต่ทำไมดัชนีความมั่นคงน้ำถึงสูง นั่นก็เพราะเขามีการจัดการที่ดี ในขณะที่เราเองกลับอยู่เกาะกลุ่มกับอินเดีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าประเทศเหล่านี้มีปัญหาขาดแคลนน้ำมากกว่าเรา (บังคลาเทศอาจมีน้ำท่วมบ่อยๆ แต่ไม่ได้หมายถึงมีน้ำใช้เพียงพอในการอุปโภคบริโภค)

แสดงความคิดเห็น
**ห้องเรียนคนรากหญ้า: ความเหลื่อมล้ำของ Silicon Valley อาณาจักรเทคโนโลยีและ IT ของโลกกับ Central Valley** (ชุนเทียน)
หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับ Silicon Valley วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นอีกค่ะ
Silicon Valley
“ซิลิคอนวัลเลย์” นั้น เป็นเหมือนชื่อเล่นของพื้นที่ทางตอนใต้อ่าวแคลิฟอร์เนียเหนือ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นที่ตั้งของบริษัทไอทีนับร้อยๆ แห่ง เช่น Google Facebook Twitter Microsoft Apple Intel eBAY Oracle Logitech Pixar LinkedIn
ชื่อนี้มาจากนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่ชื่อ ดอน โฮเฟลอร์ ในปี 1971 เขาใช้คำนี้เป็นหัวข้อของบทความของเขาที่ชื่อ "Silicon Valley USA" ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ชื่อ Electronic News ซึ่งเริ่มตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 11 มกราคม 1971
ซิลิคอน นั้นหมายถึงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำที่มีอยู่อย่างหนาแน่นในพื้นที่ดังกล่าว
ส่วนคำว่า วัลเลย์ นั้นหมายถึงซานตาคลาราวัลเลย์ (ชื่อหุบเขา)
จุดกำเนิด ซิลิคอน วัลเลย์
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมีบทบาทสำคัญในการสร้างซิลิคอนวัลเลย์ขึ้นมา สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของ ม.สแตนฟอร์ด อ่านได้ที่ กระทู้ห้องเพลงฯ https://pantip.com/topic/36674464 ค่ะ
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ก่อตั้งเมื่อปี 1885 โดย Leland Stanford อดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึงราวปี 1940 ช่วงเดียวกับสงครามโลกครั้งที่สอง เทคโนโลยีด้านวิทยุ-การทหารเริ่มพัฒนา เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตามมา
บริษัทไฮเทคที่เริ่มเติบโตขึ้นมาในช่วงนั้นคืออินเทล (ที่แยกตัวมาจาก Shockley และ Fairchild) และเอชพี ซึ่งเป็นผลงานของนักศึกษา-อาจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าของสแตนฟอร์ด
บุคคลสำคัญที่สร้างพื้นที่แถบนี้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของโลกคือ Frederick Terman คณบดีของคณะวิศวกรรมศาสตร์ในช่วงนั้น (ภายหลังได้เป็นอธิการบดีของสแตนฟอร์ดด้วย) ที่แบ่งพื้นที่บางส่วนของมหาวิทยาลัยมาตั้งเป็น Stanford Industrial Park โดยมีแนวคิดให้บริษัทไฮเทคเหล่านี้มาเช่าพื้นที่ตั้งบริษัท เพื่อดึงทรัพยากรนักศึกษาจากสแตนฟอร์ดส่งต่อให้ภาคธุรกิจ
บริษัทรุ่นแรกๆ ที่มาใช้พื้นที่โซนนี้คือ HP, GE, Lockheed และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทไฮเทคอื่นๆ ในภายหลัง ปัจจุบันบริษัทที่มีสำนักงานอยู่แถบนี้ได้แก่ HP, Cloudera, Skype, VMware เป็นต้น นอกจากนี้ห้องวิจัยที่มีชื่อเสียงของโลกอย่าง Xerox PARC (ที่สตีฟ จ็อบส์ไปเห็น GUI และเมาส์) ก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน
ซิลิคอน วัลเลย์ จึงเป็นอาณาจักรเทคโนโลยีและ IT ของโลกที่มีอิทธิพลและมีผลประกอบการมหาศาล
Central Valley รู้จัก Silicon Valley ไปแล้ว คราวนี้มารู้จัก Central Valley กันบ้างค่ะ
แปลกแต่จริง Central Valley อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของ Silicon Valley ไม่ถึง 1 ร้อยไมล์ แต่มีความเหลื่อมล้ำกันอย่างไม่น่าเชื่อ
Central Valley คือหนึ่งในพื้นที่ที่ผลิตสินค้าทางการเกษตรมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ปลูกมากกว่า 230 สายพันธุ์ ในปี 2013 มีเกษตรกรผู้ปลูกเมล็ดอัลมอนด์ประมาณ 6 พันคน ซึ่งผลิตได้มากกว่า 1.8 ล้านตัน หรือประมาณ 60% ของผลิตผลอัลมอนด์ทั้งโลก และบนพื้นที่น้อยกว่า 1% ของพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมดในสหรัฐฯ
เซ็นทรัล วัลเลย์ สามารถผลิตได้ประมาณ 8% ของผลผลิตทางเกษตรทั้งประเทศ มีมูลค่าประมาณ 43.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกษตรกรรมที่นี่พึ่งพาระบบชลประทานจากการผันน้ำบนผิวดินและการสูบน้ำบาดาลจากบ่อน้ำ โดยประมาณ 1 ใน 6 ของพื้นที่ชลประทานทั้งหมดในสหรัฐฯอยู่ที่เมืองนี้ โดยประชากรหลัก ๆ ที่นี่ อพยพมาจากพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก (San Francisco Bay Area) เพื่อแสวงหาที่อยู่อาศัยราคาถูก และยังมีผู้ที่อพยพมาจากเอเชีย อเมริกากลาง เม็กซิโก ยูเครน และดินแดนที่สหภาพโซเวียตเคยปกครองในยุคสงครามเย็น นอกจากภาษาอังกฤษและสเปน 'ภาษาม้ง' คือภาษาที่ 3 ที่พูดกันทั่วไปในเซ็นทรัล วัลเลย์
มีบทความหนึ่งได้เขียนเปรียบเทียบเกี่ยวกับ Silicon Valley และ Central Valley ได้น่าสนใจมาก เลยนำบางส่วนมาให้เพื่อนๆ อ่านกันค่ะ สนใจอ่านฉบับเต็มที่ https://prachatai.com/journal/2017/07/72380
บทเรียนความเหลื่อมล้ำระหว่าง Silicon Valley และ Central Valley สาเหตุจาก 'กองทัพ' และ 'รัฐบาลกลาง' Fri, 2017-07-14 08:57 โดย ฐานันดร ชมภูศรี
จากรายงาน Geographies of Opportunity เพื่อดูว่ารัฐไหนเหลื่อมล้ำที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยไม่ใช้ตัวชี้วัดที่มักใช้กันอย่างกลุ่มคนรวยสุด 1% เทียบกับที่เหลืออีก 99% แต่ดูรายได้เฉลี่ย การศึกษา อายุขัย ในแต่ละพื้นที่ ตัวชี้วัดนี้รายงานล่าสุดเมื่อปี 2015 ปรากฏว่าแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่เหลื่อมล้ำที่สุดในประเทศ
ซิลิกอน วัลเลย์ (Silicon Valley) อายุขัยเฉลี่ยของประชากรคือ 83.7 ปี คนทั่วไปที่ไม่ใช่เศรษฐีเฉลี่ยแล้วมีรายได้ 55,215 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เยาวชนอายุ 3 ถึง 24 ปีประมาณ 85.6% มีชื่อในระบบของโรงเรียน และ 60% ของผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไปจบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย
เซ็นทรัล วัลเลย์ (Central Valley) อายุขัยเฉลี่ยของประชากรคือ 78.4 ปี รายได้เฉลี่ยเพียง 20,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เยาวชนมีชื่อในโรงเรียนเพียง 73.5% และมีเพียง 8.3% ของผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไปที่จบปริญญาตรี และ 4 ใน 10 ของประชากรที่นี่ไม่จบมัธยมปลาย
สงครามเม็กซิโก-สหรัฐฯ (Mexican–American War) เป็นการสู้กันด้วยอาวุธระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโกตั้งแต่ ค.ศ.1846-1848 หลังสหรัฐฯ ยึดครองเท็กซัสเมื่อปี 1845 ซึ่งเม็กซิโกถือว่าเป็นดินแดนของตน จากนั้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 1846 John D. Sloat ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้อ้างสิทธ์ความเป็นเจ้าของแคลิฟอร์เนียว่าเป็นของสหรัฐฯ ปี 1847 เรือ USS Portsmouth ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตัน John S. Montgomery ได้บัญชาให้เรือ 70 ลำ พร้อมทหารกว่า 600 นาย เข้าเทียบท่าที่ Clark's Point บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก และยึดได้สำเร็จโดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการค้นพบแหล่งทองคำมากมายที่แคลิฟอร์เนีย ต่อมาได้เกิดการเจรจาเพื่อยุติสงครามนี้โดยมีการลงนามสนธิสัญญากัวดาลูป ฮิดัลโก (Treaty of Guadalupe Hidalgo) เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 1848 ที่หมู่บ้าน Guadalupe Hidalgo ใกล้ ๆ กับเม็กซิโกซิตี้เมืองหลวงของเม็กซิโกในปัจจุบัน ซึ่งเม็กซิโกเรียกร้องให้สหรัฐฯจ่ายเงิน 18.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแก่เม็กซิโก จากนั้นเท็กซัส แคลิฟอร์เนีย และพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของรัฐนิวเม็กซิโก แอริโซนา เนวาด้า ยูทาห์ และบางส่วนของรัฐไวโอมิง โคโลราโด ก็ตกเป็นของสหรัฐฯ จากข่าวสารการค้นพบแหล่งทองคำ ภายในปี 1848 ผู้คนประมาณ 300,000 ชีวิตได้มาที่แคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองซานฟรานซิสโก ซานโฮเซ่ และซาคราเมนโต ทั้งจากรัฐอื่นๆและชาวต่างชาติ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า ‘California Gold Rush’ (1848 - 1855) แล้วทองคำจำนวนมากได้ถูกขายออกไปทางทิศตะวันออก ทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียมีอิทธิพลมากพอที่จะเลือกขอบเขตดินแดนที่กว้างขวางมาเป็นของตัวเอง เลือก ส.ส.และ ส.ว.ของตัวเองได้ เขียนรัฐธรรมนูญของตนเอง และได้รับการยอมรับให้เป็นรัฐอิสระในเครือสหรัฐฯ เมื่อปี 1850 โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาเรื่องสถานะแห่งดินแดนเหมือนรัฐเกิดใหม่อื่น ๆ
ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเซ็นทรัล วัลเลย์ เมืองที่อยู่ตรงกลาง ๆ ของแคลิฟอร์เนีย อาจเรียกได้ว่าเริ่มต้นขึ้นในปี 1849 หลังจากค้นพบแหล่งทองคำ ผู้คนจึงหลั่งไหลกันเข้ามาในบริเวณที่มีชื่อว่า ‘Sierra Nevada’ ทำให้ประชากรบริเวณนี้เพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารจึงมากขึ้น จึงเกิดเกษตรกรรมอันกว้างใหญ่ โดยระหว่างนั้นและย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เศรษฐกิจหลักของที่นี่คือการทำปศุสัตว์ ทว่าได้ประสบภัยแล้งอย่างรุนแรงในช่วง 1863-1864 ทำให้สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเศรษฐกิจในแคลิฟอร์เนียล้มตายไปเกือบทั้งหมด แถมยังเกิดน้ำท่วมอย่างหนักตามฤดูกาล
ทั้ง ๆ ที่ห่างกันไม่ถึง 100 ไมล์ ทำไมเซ็นทรัล วัลเลย์ ต้องเป็นแหล่งเกษตรกรรม? แม้ว่าบนพื้นที่น้อยกว่า 1% ของพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมดในสหรัฐฯ สามารถผลิตได้ประมาณ 8% ของผลผลิตทางเกษตรทั้งประเทศ ทำไมรายได้และความสามารถในการอยู่กับระบบการศึกษาถึงได้ต่างกันขนาดนี้?
เซ็นทรัล วัลเลย์ ปี 1945 สภาคองเกรสได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมไปอีก 3 ทศวรรษ การก่อสร้างครั้งสุดท้ายของโครงการนี้คือเขื่อน New Melones ที่แล้วเสร็จในปี 1979
เซ็นทรัล วัลเลย์ เกิดวิกฤตภัยแล้งอีกครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 1920 หลังจากที่เคยประสบภัยแล้งอย่างรุนแรงในปี 1863-1864 และเคยมีความพยายามที่จะสร้างโครงการบริหารจัดการน้ำขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 1873 แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ต่อมาในปี 1933 รัฐแคลิฟอร์เนียได้ออกกฎหมายสำหรับโครงการนี้ ชื่อว่า ‘Central Valley Project Act’ โดยการขายพันธบัตรเพื่อระดมเงินให้ได้ 170 ล้านดอลลาร์ แต่ต้องประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก The Great Depression เสียก่อน เงินจึงไม่พอ ทำให้ในปี 1935 รัฐบาลกลางจึงต้องเป็นผู้อนุมัติงบประมาณสำหรับโครงการนี้ ซึ่งเริ่มต้นทางปฏิบัติในปี 1937 เมื่อมีการสร้างคลองชื่อว่า Contra Costa Canal
ปัจจุบัน Central Valley Project ถูกดำเนินการโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก อ่างเก็บน้ำมี 22 แห่งพื้นที่รวมกันประมาณ 11 ล้านเอเคอร์ โครงการนี้ผันน้ำด้วยระบบชลประทานให้กับพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 3 ล้านเอเคอร์ และผลิตเป็นน้ำดื่มให้กับประชากรประมาณ 2 ล้านคน โดยมีสัญญาระยะยาวกับผู้รับเหมากว่า 250 ราย
ส่วนที่ซิลิกอน วัลเลย์ ในปัจจุบันคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณนอกจากความเหลื่อมล้ำตามตัวเลขที่ระบุในย่อหน้าแรก
ประชาชนที่เซ็นทรัล วัลเลย์ มีแนวโน้มจะลำบากหนักขึ้นไปอีก โดยที่เฟรสโน (Fresno) เขตที่อยู่ทางใต้ของเซ็นทรัล วัลเลย์ ซึ่งมีประชากรประมาณ 520,000 คน เนื่องจาก Institute for Spatial Economic Analysis คาดการณ์ว่าอาชีพการงานที่นั่นสามารถถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์สูงถึง 61.5% ภายใน 10 ถึง 20 ปี แม้ว่าค่าเฉลี่ยของทั้งสหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่ 47%
'กองทัพ' และ 'รัฐบาลกลาง' มีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างเมือง มีส่วนให้ปัจจุบันเหลื่อมล้ำเช่นนี้
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
https://prachatai.com/journal/2017/07/72380
http://money.cnn.com/2015/05/05/news/economy/california-unequal/index.html
https://www.blognone.com/node/68552
http://markmartinezshow.blogspot.com/2015/05/california-nations-most-unequal-state.html
https://www.dek-d.com/studyabroad/37000/
https://dabrownstein.com/2015/02/06/the-swarming-of-silicon-valley/
http://www.visitcentralvalley.com/
ความจริงแล้ว เกษตรกรรม เป็นแหล่งของหนึ่งในปัจจัย 4 ของมนุษย์ นั่นคือ อาหาร ส่วนเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย ก้าวล้ำไปข้างหน้า ได้มากยิ่งขึ้น
ในเมื่อสามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้กลายเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกได้ ก็ยิ่งควรให้ความสำคัญกับภาคเกษตรกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไม่ยิ่งหย่อนกว่าการพัฒนาด้านอื่นๆ
หวังว่าภาพสะท้อนเปรียบเทียบ บทเรียนความเหลื่อมล้ำของ Silicon Valley และ Central Valley จะเป็นบทเรียนให้ผู้นำทั้งหลายวางยุทธศาสตร์ ไปในแนวทางที่ถูกต้อง อย่าได้สร้างช่องว่างที่มีอยู่ให้มันยิ่งห่างกันมากเข้าไปอีกในอนาคต