นิยายแต่งไว้อ่านเอง เข้ามาติชมกันได้นะครับ

ตั้งแต่ที่ฉันเติบโตขึ้นมา  ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพ่อแม่ของฉันเป็นใคร มาจากไหน  แม้แต่ที่มาของฉันเองฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันเป็นใคร  แต่สิ่งที่ฉันรู้เพียงอย่างเดียวก็คือว่า  ฉันเกิดมาในโลกที่มีสิ่งมหัจรรย์มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสัตว์  ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่สร้างความตื่นเต้นให้ฉันได้ทั้งสิ้น.....ใช่แล้วล่ะ  ฉันเกิดมาในโลกของเวทย์มนต์ไง  !!!

              คริส  เด็กชายวัย14ที่พเนจรดินทางคนเดียวอย่างไม่มีจุดหมายไปเรื่อย ๆ โดยสิ่งเดียวที่เค้าทำเพื่อเป็นการประทังชีวิตของเค้านั้นก็คือการดีดพิณเพื่อแลกกับเศษเงินที่มีคนใจดีนำมาแลกกับเสียงดนตรีของเค้า  คริสได้เดินทางไปเมืองแล้วเมืองเล่าเพื่อที่จะใช้ชีวิตไปวัน ๆ  เค้าไม่สามารถใช้พลังของเค้าหากินได้เลย เพราะพลังของเค้านั้นช่างแสนหน้าขัน  มันเป็นพลังที่มีประโยชน์กับพวกแม่บ้านที่ต้องการตากผ้า  หรือนักเดินทางที่ต้องการฤกษ์ดี ๆในการออกเดินทาง  ถ้าใครคิดว่าพลังของเค้าคือการสร้างลมหรืออะไรแบบนั้น  ขอบอกเลยว่าต้องเสียใจด้วย  เพราะพลังของคริสนั้นเป็นพลังที่สามารถทำให้อากาศสดใส  ท้องฟ้าปลอดโปรงเท่านั้นเอง  ซึ่งมันค่อนข้างหาประโยชน์ได้ยากอยู่  และพลังนี้ก็ขัดกับบุคคลิกของเค้าที่เป็นคนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ออกไปทางเศร้า ๆด้วยซ้ำ  แต่สิ่งที่โชคดีก็คือ  คริสไม่ได้ทนทุกข์ทรมานกับสภาพอากาศที่เลวร้ายต่างๆ  บางครั้งเค้าก็นึกขอบคุณพลังนี้ที่ทำให้เค้าได้มีชีวิตมาถึงทุกวันนี้

  "เฮ้อ....  หิวจังเลยวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนะเนี่ย" คริสบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังตั้งสสายพิณในเมืองเล็กทางใต้ของอณาจักรแห่งนึง  ใบหน้าที่เละไปด้วยฝุ่นและเสื้อผ้าที่มอมแมมนั้นทำให้ใครหลายๆคนมองเค้าด้วยความดูถุก  บางคนถึงขนานอุ้มลูกเล็ก ๆ แล้วเดินหนีทีเดียว  แต่คริสก็หาได้สนใจไม่ยังตั้งหน้าตั้งตาปรับสายพิณต่อไป  เค้าบอกกับตัวเองว่าเค้าชินกับสายตาแบบนี้ซะแล้ว  ถึงตัวเค้าจะไม่ใช่หนุ่มรูปงามที่หลายคนปราถณา  แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าถ้าปราศจากความมอมแมมและสรกปกของเสื้อผ้าเค้าแล้ว  เค้าก็จัดได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาน่ารักเลยทีเดียว  ดวงตากลมโตสีดำสนิทดุจรัตติกาล จูมกที่โด่งได้รูป คิ้วที่เรียงตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติ  ริมผีปากที่อวบอิ่มเป็นสีแดงฉานจนสาว ๆคนต้องอิจฉา  พวกแก้มสีชมพูเปรียบเสหมือนกุหลาบแรกแย้ม และด้วยโครงหน้าเรียวได้รูปนั้น  ทำให้เค้าน่าตาออกไปจากน่ารักมากกว่าหล่อ  ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดีเพราะเครื่องแต่งกลายแสนนมอมแมมของเค้าทำให้กลบรัศมีในตัวจนหมดสิ้น  

"คงจะได้แล้วนะ"  คริสพูดในใจ พร้อมกับไล่โน๊ตเพลงง่าย ๆ  จากนั้นไม่นานเค้าได้หลับตาลงแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าของเมือง  ที่ตอนนี้บรรกาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนดูไม่หน้าไว้ใจ  "ท้องฟ้าเพื่อนเพียงนึงเดียวของข้าเอ่ย.... โปรดจงส่งยิ้มที่แสนอบอุ่นของเจ้าด้วยแสงแดดที่อ่อนโยนให้ข้าด้งยเถิด" เค้าพูดในใจและเพียงไม่กี่วินาทีนั้น  ท้องฟ้ากลับสว่างสดใสโดยพลัด  เหมือนกับรอยยิ้มของคริสที่มีให้ท้องฟ้าในตอนนี้  

"ในยามเย็น บนนภาสูงเหนือม่านเมฆา
เจ้าโบยบินไปเพียงลำพัง โดยไร้เพื่อนร่วมทาง
เจ้าเหยี่ยวผู้แสนเดียวดาย คงโศกศัลย์เหลือใจ

ในลมโชยพัดแผ่วเบากระทั่งปราศจากเสียง
ปีกเจ้าร่อนถลาฟ้าไกล โดยไม่อาจหยุดพัก
ได้แต่คอยมุ่งหน้าเรื่อยไป มาตรแม้นแสนเหนื่อยอ่อน

ดวงใจดวงนี้จะมีคำใดบรรยายได้หนอ
ดวงใจที่เหมือนเหยี่ยวฟ้าบินร่อนเร่รอน
ดวงใจดวงนี้จะมีคำใดบรรยายได้หนอ
ดวงใจที่มีความเศร้าเฝ้าวนหมุนบนนภา

บนทางเดินที่แสนรกร้างไร้เงาของผู้คน
โปรดก้าวเดินไปพร้อมข้าเถิด ให้สองเราร่วมทาง
เจ้าผู้ที่แสนเดียวดาย เช่นดังข้าร่ำไป

กลางทิวทุ่งที่ทอดยาวไกล มีเรไรกรีดเสียง
เราสองเร่รอนไปด้วยกัน บนเส้นทางเลือนราง
โดยไม่มีถ้อยคำใด ที่ใครจะเอื้อนเอ่ย

ดวงใจดวงนี้จะมีคำใดบรรยายได้หนอ
ดวงใจที่เที่ยวท่องเร่รอนตามทางคนเดียว
ดวงใจดวงนี้จะมีคำใดบรรยายได้หนอ
ดวงใจที่มีเพียงความเดียวดายเหงาอยู่ลำพัง"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เค้าได้ขับขานบทเพลงพร้อมบรรจงดีดพิณอย่างสุดความสามารถ  และมันได้ผล!!  ชาวเมืองหลายคนให้ความสนใจในบทเพลงของเค้าบางคนถึงขนานเอามือไปทาบที่หน้าอกพร้อมทั้งในตายังช่ำไปด้วยน้ำตาด้วยความเศร้าของบทเพลง  เงินจำนวนนึงได้โปรยปรายมายังหมวกเก่า ๆ ของเค้า มันทำให้คริสมีกำลังใจในการบรรเลงเพลงต่อไป  . . . . .

*****สองชั่วโมงต่อมา*****


"ได้เงินขนานนี้คงพอให้เรามีเงินเปิดโรงแรมซักคนพร้อมซื้ออาหารดี ๆทั้งวันแน่เลย  ชาวเมืองที่นี้ใจดีจัง"  เค้ายิ้มร่าด้วยความดีใจที่สามารถหาเงินได้มากมายขนานที่พอจะให้เค้าได้นอนในที่ดี ๆ และมีอาหารดี ๆ กินได้ซักคืน   คริสรีบตรงดิ่งไปที่โรงแรมประจำเมืองทันที  แต่ในระหว่างทางนั้นเค้ากลับฉุดคิดขึ้นมาว่า "เอ....  เราแต่งตัวมอมแมมแบบนี้ทางโรงแรมคงไม่ให้เราเข้าพักแน่เลย  คงต้องแวะไปดูร้านขายเสื้อถูก ๆซักหน่อยแล้วมั้ง"  หลังจากที่คิดได้แล้วคริสก็เดินหาร้านขายเสื้อผ้าในเมืองไปเรื่อย  แต่ว่าแต่ล่ะร้านที่คริสย่างกลายเข้าไปกลับโดนไล่ออกมาซะทุกร้าน  เพราะว่ากลัวว่าเค้าจะไปโขมยของบ้างล่ะ  กลัวจำทำเสื้อผ้าของร้ายสรกปกบ้างล่ะ  ทั้งๆ ที่คริสบอกพวกเค้าว่าเค้ามีเงินพอที่จะซื้อเสื้อในร้านได้  เหล่าเจ้าของร้านก็ไม่ฟัง เอาแต่จะไล่หนุ่มพเนจรอย่างเดียว  จนคริสเดินไปหยุดที่หน้าร้านขายขนมปังซึ้งมีคุณยายแก่ ๆ คนนึงกำลังอบครัวซองอยู่  กลิ่นของๆของแป้งที่เพิ่งอบใหม่ลอยเข้ามาแตะจมูกของคริสอย่างจัง  มันทำให้เค้าหิวมากกว่าเดิมอีก
"หอมจังเลย  จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กลิ่มหอมแบบนี้มันเมื่อไหร่"  คริสแอบยื่นหน้าเข้าไปทางหน้าต่างร้านโดนมีคุณยายยืนอบขนมปังอยู่หลังเตา
เค้ายืนคิดอยู่นานว่าจะเข้าไปในร้านดีไหม  เพราะเค้ากลัวว่าคุณยายเจ้าของร้านจะไล่เค้าออกมาอีก  จนเค้าจัดสินใจว่าจะไปขอเศษอาหารตามภัตคารกินเหมือนที่เคยทำเป็นประจำดีกว่า  เพราะเกรงว่าจะโดนไล่ออกมาอีก
"เจ้าหนูคนนั้นน่ะ  เข้ามาสิจ๊ะ เด๋วยายจะอบขนมอร่อย ๆ ให้กิน"  เสียงคุณยายร้านขนมปังพูดดังขึ้น  แต่คริสไม่ได้ยินมันผ่านหูเพราะเสียงได้เค้าได้ยินมันเป็นเสียงในหัวของเค้าเอง "เข้ามาเถอะจ่ะ  ยายไม่คิดเงินหรอก  ยายรู้ว่าหนูคงลำบากมามาก เข้ามากินให้อิ่มท้องก่อนสิ" เสียงนั้นยังคงกล่าวเชิญชวนคริสให้เจ้าไปในร้าน  จนในที่สุดเค้าก็เปิดประตูร้านขนมปังเข้าไปด้วยความเกรงใจคุณยายที่แสนใจดีคนนั้น  
"เอ่อ...  ผมขอรบกวนด้วยนะครับ แล้วผมจะจ่ายเงินให้"
"ไม่ต้องหรอกจ้าพ่อหนุ่มน้อย  ยายรู้ว่าพ่อหนุ่มลำบาก  ร้านขายเสื้อที่นี้ก็จริง ๆ เลยต้อนรับแต่คนแต่งตัวดี ๆ ใช่ไม่ได้ ๆ สมัยยายสาว ๆ ร้านค้าต่าง ๆ ไม่เป็นแบบนี้หรอกรู้ไหม  พูดแล้วคงต้องไปสั่งสอนซักหน่อย"คุณยายทำท่าจะเดินออกไปจากร้านแต่คริสก็ห้ามไว้ก่อนโดยเกรงว่ากลัวคุณยายจะเป็นลมไประหว่างทางและเค้าเองก็ไม่อยากมีเรื่องในเมืองนี้ด้วย
"ไม่ต้องหรอกครับคุณยาย  ผมชิน.... แค่ได้เจอคนใจดีแบบคุณยายผมก็นับว่าโชคดีมากแล้วครับ" คริสพูดพร้อมยิ้มให้เธอ  รอยยิ้มนั้นทำให้ยายถึงกับเขิลหน้าแดง  "แหม่ ไอ้หนุ่มคนนี้นี่  ถึงจะยอยายไปก้ไม่มีประโยชน์หรอกนะ โฮ้ โฮะ ๆๆๆ "  คุณยายรีบหันหน้าหลบใบหน้าที่แดงกร่ำพร้อมส่งแซนวิชทูน่าอย่างดีให้คริส  ยังไม่พอ เธอยังเดินไปหลังร้านนำมันบดราดน้ำเกรวี่อย่างดี  สลัดผัก  และสเต็กจานใหญ่ออกมาให้คริสอีกด้วย
"คุณยายให้ผมเยอะเกินไปแล้วนะครับ  ผมทานไม่หมดหรอก"  คริสพูดด้วยความเกรงใจ  ตั้งแต่เกิดมาเค้าไม่เคยได้กินอาหารอย่างดีแบบนี้มาก่อนเลย  อย่ามากที่สุดที่เค้าเคยได้กินก็คงเป็นเศษเนื้อที่ติดตามกระดูก  ถ้าโชคดีหน่อยก็จะได้กินน่องไก่ที่ใกล้หมดอายุแล้วเท่านั้นเอง
"ใครว่าจะให้หนูกินคนเดียวล่ะ  เดี๋ยวยายจะกินเป็นเพื่อนด้วย" คุณยายพูดขึ้นพร้อมทำท่าจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามคริส
"ไม่ได้นะครับ !! " คริสตกใจมากที่เห็นคนยายทำแบบนั้น  เค้ารีบลงไปนั้งบนพื้นทันที
"ผมไม่สามารถร่วมโต๊ะกับคุณยายได้หรอกครับ  ผมทั้งสรกปกมอมแมม ไม่ควรรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกับคุณยายหรอกครับ  ให้ผมทารที่พิ้นนี้ก็ได้ครับ"  คริสพูดอย่างลุกลี้ลุกลน  นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเค้าที่มีคนปฎิบัติกับเค้าด้วยความเท่าเทียม
"พ่อหนุ่มเอ๊ย  ความสรกปกของหนูน่ะยายไม่เห็นเลยลูก  ยายเห็นแต่จิตใจที่ดีงามของหนูนะลูกนะ"  คุณยายพูดด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับส่งยิ้มให้คริส  มันเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลกเท่าที่เค้าเคยเห็นมา
"ยายมีพลังโทรจิต  สามารถอ่านใจคนได้ เพราะอย่างนั้นยายเลยรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนแบบไหน หนูคิดหรอว่ายายจะให้ใครเข้ามากินอาหารในบ้านแบบเดาสุ่ม  จากการที่ยายใช้โทรจิตสื่อสารกับหนู  หนูก็น่าจะรู้แล้วว่ายายมีพลังแบบไหน  แต่ยายต่างจากคนอื่น ๆ ตรงที่สามารถรู้อดีตของอีกฝ่ายได้โดยไม่ได้ใช้มือสัมผัส  หนูเป็นเด็กดีมาตลอด ยายเห็นสิ่งต่าง ๆที่หนูต้องเจอมามากมาย  เพราะฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจไปหรอกลูก"  เธอสื่อจิตกับคริสผ่านโทรจิตของเธอ  มันทำให้คริสซึ่งใจเป็นอย่างมาก  
"ขอบคุณมากครับคุณยาย  ผมไม่เคยได้รับความเมตตาแบบนี้มาก่อนเลย"
"จ้าพ่อหนุ่ม  แล้วเราชื่ออะไรล่ะ หืม ?  ยายชื่อมาเรียนะจ๊ะ"
"คริสครับ  ชื่อคริส"
"เป็นชื่อที่ดีนะ " มาเรียพูดพร้อมพยุงตัวของคริสให้ลุกขึ้นมานั้งบนเก้าอี้

     ทั้งสองสนทนากันอย่างสนุกสนาน  มันทำให้คริสรู้สึกมีความสุขมาก  นี้เป็นคร้งเรียกในชีวิตของเค้าที่ได้นั้งร่วมโต๊ะแล้วกธคุยกันไปแบบนี้  เรื่องของคริสที่เล่าให้คุณยายมาเรียฟังนั้นมีไม่มาก  แต่เรื่องที่คุณยายเล่าให้คริสฟังนั้นมันมีมากเหลือเกิน  เหมือนมาเรียไม่ได้มีเพื่อนคุยมานานแล้วอย่างไรอย่างนั้น  
"ทำไมคุณยายมาเปิดร้านขนมปังคนเดียวล่ะครับ"  คริสถามด้วยความสงสัย
"จะว่าไปมันก็เรื่องยาวนะพ่อหนุ่ม  ตอนสาว ๆน่ะยายเคยทำงานให้พระราชาของอาณาจักรมอร์มอสมาก่อน  ก็อาณาจักรนี้แหละ  ยายใช่ความสามารถของยายล้วงความลับศตรูแล้วก็เคยตรวดสอบพวกไส้ศึก  แม่ก่อนน่ะ ราชาทรงโปรดยายมากเชียวล่ะ............ แล้วหลังจากที่ยายอิ่มตัวยายก็ทำตามความฝันโดยการมาเปิดร้านทำขนมปังนี้แหละจ่ะ" มาเรียกล่าว     ในระหว่างที่มาเรียนพูดนั้น คริสแอบสังเกตเห็นแววตาของหญิงชราที่ดูจะเศร้าลงเมื่อพูดถึงพระราชา แต่เค้าก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ  
"แล้วยายไม่มีลูกมีหลานหรอครับ" คริสถาม
"มีสิ  แต่ว่าพวกเค้าไปทำงานในเมืองหลวงกันหมด  และก็ไม่ใช่เมืองหลวงของอาณาจักรมอร์มอสด้วย แต่ไปทำงานที่อาณาจักรอื่น นี้ก็หลายปีแล้วที่เค้าไม่ได้ติดต่อกับยาย  แต่ก็ไม่เป็นไรนะ  ยายอยู่ที่นี้ก็สบายดี  เวลามีลูกค้าเด็ก ๆ น่ารัก ๆมาก็ทำให้ยายหายเหงาไปได้เยอะ  อย่างว่าแหละนะพ่อหนุ่ม ยายมันแก่แล้ว  หน้าหลายชายได้เจอครั้งสุดท้ายก็ตอนเค้าอายุ10กว่าขวบ  ไม่รู้ว่าตายจะได้เจอเค้าก่อนตายรีป่าว  เหอะ ๆๆๆ " มาเรียพูดติดตลกเพื่อให้บทสนทนาไม่ดีเครียดจนเกินไป  แต่คริสไม่ต้องมีโทรจิตอ่านใจใครได้ก็รู้  รู้ว่าที่มาเรียพูดให้ดูตลกนั้นก็เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าของเธอเอง
"คุณยายยังไม่แก่เลยครับ  ยังดูสาวแล้วก็สวยมาก ๆเลย แถมยังแข็งแรงอีก แบบนี้ต้องได้เจอหน้าหลานชายแน่ ๆครับ"  คริสพูดให้กำลังใจหญิงชรา
"แหม่  ไอ้เด็กคนนี้  ถึงจะชมว่ายายสวยยายก็ไม่ดีใจหรอกนะ  โฮ้ โฮะ ๆๆๆๆ "  คุณยายมาเรียพูดพร้อมกับทำท่ากลบเกลื่อนความรู้สึกเขิลของตัวเลย
"ไปๆ ไปอาบน้ำอาบท่าซะ  เด๋วยายจะไปดูชุดของลูกชายตอนหนุ่ม ๆให้ใส่ แล้วคนนี้ก็นอนที่นี้ซะล่ะ จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าโรงแรมแพงๆ " หญิงชราพูดพร้อมชี้มือไปทางห้องน้ำเพื่อให้คริสไปอาบน้ำ  
"ไม่ได้หรอกครับ  แค่นี้ผมก็เกรงใจจะ...."    
"เอ๋  เด็กคนนี้นี่มันยังไง  บอกให้ไปอาบน้ำก็ไป จะมาเกรงใจอะไร " มาเรียสะบัดมีโดยใช้พลังของเธอทำให้คริสลอยไปในห้องน้ำพร้อมทั้งใช้พลังเปิดน้ำอุ่นที่อยู่ในอ่าง ใส่สบู่เสร็จสรรพ  และไม่รอช้าที่จะถอดเสื้อผ้าของคริสออกในห้องน้ำแล้วนำตัวไปแช่อ่างน้ำอุ่นอย่างผู้มีชัย
"เฮ้ยยยย คุณย๊ายยยยยยย  ม่ายยยยย  เสื้อผ้าผม จะเอาไปหนายยยยยผมโป๊วววแล้ว"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่