เมื่อไรก็ตามที่ประเทศพยายามตอบโต้ด้วยสงครามไซเบอร์นั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมาก และจากการใช้หลักทฤษฎีเกมนั้นถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการรับมือเรื่องดังกล่าว
“เกมกล่าวหา” มีการพัฒนาขึ้นโดย Robert Axelrod ซึ่งเป็นนักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมิชิแกน เป็นคนที่รู้จักกันในการคิดรูปแบบทฤษฎีเกมที่มีชื่อว่า “ความลำบากใจของนักโทษ” Axelrod เป็นอาจารย์ Walgreen สอนหลักคิดเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ที่ U-M Gerald R. Ford School of Public Policy
จากการวิจัยใหม่ที่ได้มีการตีพิมพ์ลงใน Proceedings of the National Academy Of Sciences นั้น มีการประเมินว่า เมื่อไรที่เหยื่อได้ถูกคุกคามทางไซเบอร์ เหยื่อจะมีการตอบสนองอย่างไรบ้าง ทางด้านนักวิจัยหลายคนซึ่งรวมไปถึงจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกับมหาวิทยานิวเม็กซิโกและ IBM นั้น ก็ได้หยิบยกกรณีศึกษาในอดีตว่า เกมกล่าวหาสามารถประยุกต์ใช้กับไซเบอร์ได้หรือในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศเช่น อเมริกา รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เอสโตเนีย อิสราเอล อิหร่านและซีเรียได้อย่างไร
ข้อมูลเผยให้เห็นว่า อเมริกาเผชิญกับการคุกคามทางไซเบอร์มากขึ้นซึ่งรวมไปถึงการคุกคามต่อคณะกรรมการใหญ่พรรคและถูกประเทศจีนโจรกรรมฐานข้อมูลประวัติเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 21.5 ล้านคน
“ความขัดแย้งมีเพิ่มมากขึ้นและมีการใช้อินเตอร์เน็ตไปในทางที่ผิดมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้ โดยทางรัฐบาลกับบริษัทแต่ละแห่งก็ได้มีการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ในการควบคุมรับมือ” กล่าวโดย Stephanie Forrest ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกและสอนอยู่ใน Santa Fe Institute
“ไม่เหมือนกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ซึ่งมีความท้าทายในการรับมือกับกลุ่มที่มีการโจมตีทางไซเบอร์และมีความซับซ้อนในการตัดสินใจทางด้านยุทธศาสตร์ เมื่อจะกล่าวหาใครนั้น พวกเราก็ได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆและทำการระบุกุญแจสำคัญที่จะต้องมาประเมินการตอบสนองรูปแบบต่างๆ”
ในกรณีตัวอย่างต่างๆก็อาจจะมีเหตุผลที่ทำไมหลายประเทศสามารถอดทนต่อการโจมตีทางไซเบอร์ได้ แม้ว่าจะเผชิญกับข้อวิจารณ์ในสาธารณะมากก็ตาม
“คุณอาจจะคิดว่า คุณจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาทางสาธารณะและตอบโต้ด้วยการทำสงครามไซเบอร์” Axelrod กล่าว “แต่ไม่ต้องทำแบบนั้นเสมอไป เหตุผลก็คือผู้โจมตีอาจจะไม่ใช่ภัยต่อความมั่นคง แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาเหล่านี้จะถูกกล่าวหาหรือไม่ และหากว่าทำแบบนั้น คุณก็อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องถูกกล่าวหา ประชาชนจะคาดหวังให้คุณลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้”
เกมกล่าวหามีข้อเสนอให้มีการตั้งคำถามต่างๆโดยผู้วางเกมสามารถที่จะถามพวกเขาได้ว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรกับการโจมตีทางไซเบอร์ โดยให้เหยื่อเป็นผู้ถามก่อนว่า ผมจะรู้ได้ยังไงว่าผู้โจมตีเป็นภัยต่อความมั่นคง? ภัยต่อความมั่นคงก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน หมายความว่าประเทศนั้นมีความอ่อนไหวในการรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ หมายความว่าผู้โจมตีอยู่ในจุดยุทธศาสตร์การเมืองที่ยากต่อการถูกจับได้และการกล่าวหาบุคคลที่มีโปรไฟล์สูงทางไซเบอร์ถือเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก
หากเหยื่อรู้ว่าผู้โจมตีเป็นภัยต่อความมั่นคง การตั้งคำถามต่อไปก็จะเป็น : ต้นทุนในการไม่ได้ทำอะไรสูงกว่าต้นทุนในการกล่าวหาหรือ? หลายประเทศจะต้องเจอกับข้อกล่าวหาหากผู้โจมตีเป็นภัยต่อความมั่นคง
เหยื่อก็สามารถที่จะทำการประเมินการต่อต้านการโจมตีได้ โดยมีการเปลี่ยนข้างตามรูปแบบทฤษฎีเกม คำถามต่างๆเกี่ยวกับผู้โจมตีก็ควรที่จะถามว่า : ฉันเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อการกล่าวหาหรือ? หากฉันเป็นแบบนั้นจริง แล้วฉันตั้งใจที่จะให้เหยื่อรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ? หากคำตอบคือไม่ การโจมตีก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
แม้ว่าคำถามต่างๆเหล่านี้จะถามอย่างตรงไปตรงมา แต่นักวิจัยหลายคนก็กล่าวว่า คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป
ในโลกไซเบอร์นั้น การกล่าวหาจากการโจมตีหรือก้าวก่ายมีความซับซ้อนในเงื่อนไขปัจจัยทางเทคนิคมากและยังขาดรายละเอียดที่จะต้องให้คำนิยามเบื้องต้น อย่างเช่นการโจมตีประกอบด้วยสาเหตุอะไรบ้างหรือการโจมตีส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัย
แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นการเดิมพันที่สูงมาก
“แน่นอนมีความเป็นไปได้ว่า การโจมตีทางไซเบอร์ส่งผลต่อวงกว้างที่รวมไปถึงพวกเราด้วย” Axelrod กล่าว “ยังจะต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจให้มากขึ้นเกี่ยวกับแรงบันดาลใจกับการดำเนินการที่ทำให้พวกเราคิดได้ว่า จะขัดขวางพวกเขาอย่างไร พวกเราหวังว่างานของพวกเราจะช่วยให้ผู้วางนโยบายเข้าใจถึงช่องโหว่ความรู้ความเข้าใจและโฟกัสกับการประเมินการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหม่”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com
ทฤษฎีเกมช่วยปรับปรุงยุทธศาสตร์สงครามไซเบอร์ได้
เมื่อไรก็ตามที่ประเทศพยายามตอบโต้ด้วยสงครามไซเบอร์นั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมาก และจากการใช้หลักทฤษฎีเกมนั้นถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการรับมือเรื่องดังกล่าว
“เกมกล่าวหา” มีการพัฒนาขึ้นโดย Robert Axelrod ซึ่งเป็นนักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมิชิแกน เป็นคนที่รู้จักกันในการคิดรูปแบบทฤษฎีเกมที่มีชื่อว่า “ความลำบากใจของนักโทษ” Axelrod เป็นอาจารย์ Walgreen สอนหลักคิดเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ที่ U-M Gerald R. Ford School of Public Policy
จากการวิจัยใหม่ที่ได้มีการตีพิมพ์ลงใน Proceedings of the National Academy Of Sciences นั้น มีการประเมินว่า เมื่อไรที่เหยื่อได้ถูกคุกคามทางไซเบอร์ เหยื่อจะมีการตอบสนองอย่างไรบ้าง ทางด้านนักวิจัยหลายคนซึ่งรวมไปถึงจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกับมหาวิทยานิวเม็กซิโกและ IBM นั้น ก็ได้หยิบยกกรณีศึกษาในอดีตว่า เกมกล่าวหาสามารถประยุกต์ใช้กับไซเบอร์ได้หรือในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศเช่น อเมริกา รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เอสโตเนีย อิสราเอล อิหร่านและซีเรียได้อย่างไร
ข้อมูลเผยให้เห็นว่า อเมริกาเผชิญกับการคุกคามทางไซเบอร์มากขึ้นซึ่งรวมไปถึงการคุกคามต่อคณะกรรมการใหญ่พรรคและถูกประเทศจีนโจรกรรมฐานข้อมูลประวัติเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 21.5 ล้านคน
“ความขัดแย้งมีเพิ่มมากขึ้นและมีการใช้อินเตอร์เน็ตไปในทางที่ผิดมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้ โดยทางรัฐบาลกับบริษัทแต่ละแห่งก็ได้มีการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ในการควบคุมรับมือ” กล่าวโดย Stephanie Forrest ซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกและสอนอยู่ใน Santa Fe Institute
“ไม่เหมือนกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ซึ่งมีความท้าทายในการรับมือกับกลุ่มที่มีการโจมตีทางไซเบอร์และมีความซับซ้อนในการตัดสินใจทางด้านยุทธศาสตร์ เมื่อจะกล่าวหาใครนั้น พวกเราก็ได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆและทำการระบุกุญแจสำคัญที่จะต้องมาประเมินการตอบสนองรูปแบบต่างๆ”
ในกรณีตัวอย่างต่างๆก็อาจจะมีเหตุผลที่ทำไมหลายประเทศสามารถอดทนต่อการโจมตีทางไซเบอร์ได้ แม้ว่าจะเผชิญกับข้อวิจารณ์ในสาธารณะมากก็ตาม
“คุณอาจจะคิดว่า คุณจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาทางสาธารณะและตอบโต้ด้วยการทำสงครามไซเบอร์” Axelrod กล่าว “แต่ไม่ต้องทำแบบนั้นเสมอไป เหตุผลก็คือผู้โจมตีอาจจะไม่ใช่ภัยต่อความมั่นคง แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาเหล่านี้จะถูกกล่าวหาหรือไม่ และหากว่าทำแบบนั้น คุณก็อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องถูกกล่าวหา ประชาชนจะคาดหวังให้คุณลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้”
เกมกล่าวหามีข้อเสนอให้มีการตั้งคำถามต่างๆโดยผู้วางเกมสามารถที่จะถามพวกเขาได้ว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรกับการโจมตีทางไซเบอร์ โดยให้เหยื่อเป็นผู้ถามก่อนว่า ผมจะรู้ได้ยังไงว่าผู้โจมตีเป็นภัยต่อความมั่นคง? ภัยต่อความมั่นคงก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน หมายความว่าประเทศนั้นมีความอ่อนไหวในการรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ หมายความว่าผู้โจมตีอยู่ในจุดยุทธศาสตร์การเมืองที่ยากต่อการถูกจับได้และการกล่าวหาบุคคลที่มีโปรไฟล์สูงทางไซเบอร์ถือเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก
หากเหยื่อรู้ว่าผู้โจมตีเป็นภัยต่อความมั่นคง การตั้งคำถามต่อไปก็จะเป็น : ต้นทุนในการไม่ได้ทำอะไรสูงกว่าต้นทุนในการกล่าวหาหรือ? หลายประเทศจะต้องเจอกับข้อกล่าวหาหากผู้โจมตีเป็นภัยต่อความมั่นคง
เหยื่อก็สามารถที่จะทำการประเมินการต่อต้านการโจมตีได้ โดยมีการเปลี่ยนข้างตามรูปแบบทฤษฎีเกม คำถามต่างๆเกี่ยวกับผู้โจมตีก็ควรที่จะถามว่า : ฉันเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อการกล่าวหาหรือ? หากฉันเป็นแบบนั้นจริง แล้วฉันตั้งใจที่จะให้เหยื่อรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ? หากคำตอบคือไม่ การโจมตีก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
แม้ว่าคำถามต่างๆเหล่านี้จะถามอย่างตรงไปตรงมา แต่นักวิจัยหลายคนก็กล่าวว่า คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป
ในโลกไซเบอร์นั้น การกล่าวหาจากการโจมตีหรือก้าวก่ายมีความซับซ้อนในเงื่อนไขปัจจัยทางเทคนิคมากและยังขาดรายละเอียดที่จะต้องให้คำนิยามเบื้องต้น อย่างเช่นการโจมตีประกอบด้วยสาเหตุอะไรบ้างหรือการโจมตีส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัย
แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นการเดิมพันที่สูงมาก
“แน่นอนมีความเป็นไปได้ว่า การโจมตีทางไซเบอร์ส่งผลต่อวงกว้างที่รวมไปถึงพวกเราด้วย” Axelrod กล่าว “ยังจะต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจให้มากขึ้นเกี่ยวกับแรงบันดาลใจกับการดำเนินการที่ทำให้พวกเราคิดได้ว่า จะขัดขวางพวกเขาอย่างไร พวกเราหวังว่างานของพวกเราจะช่วยให้ผู้วางนโยบายเข้าใจถึงช่องโหว่ความรู้ความเข้าใจและโฟกัสกับการประเมินการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหม่”
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com