ผมขออนุญาติถ่ายทอดเรื่องจากชีวิตจริงของผู้หญิงคนหนึ่งครับ ขอตั้งนามสมมุติว่า"บี"ครับ
บีคือหญิงหม้าย ที่หย่ากับสามีทั้งที่ยังรักกันมาก แต่ด้วยเหตุผลจากทิฐิที่มีทำให้ทั้งสองคนต้องแยกกันด้วยความเจ็บปวดและเกิดปมในใจ
14 ปีผ่านไป ทั้งสองได้มีโอกาสคุยกันอีกครั้งได้ขอโทษกัน ฝ่ายอดีตสามีถึงร้องไห้โฮจากคำขอโทษของบี ซึ่งปกติอดีตสามีไม่เคยร้องไห้เลย
ปมที่อยู่ในใจสามีคือภรรยาทิ้งเพราะเลือกไปอยู่กับพี่สาวในวันที่บ้านมีปัญหาการเงิน
บีมีปมเพราะคิดว่าสามีไม่รักและมีคนใหม่
ผ่านไป14ปีสามีไม่กล้ามีใคร เพราะมีแล้วจะโดนทิ้ง บีเองไม่กล้ามีใครเพราะมีแล้วกลัวการหย่าร้าง คบใครสักพักเป็นต้องเลิก
เมื่อมาคิดดูแล้วพบว่ามันคือการทำงานของจิตใต้สำนึกที่จำเรื่องปวดร้าวในอดีตมาทำร้ายชีวิตเรา จนผ่านเวลาไประยะใหญ่
มารู้สึกตัวอีกครั้ง เราก็กลายเป็นคนที่มีปมในอดีตไปแล้ว
ดังนั้นอย่าปล่อยให้อดีตที่เราปรุงแต่งให้ใจเราเจ็บปวดมาฝังรากในใจเราได้
คุณเชื่อไหม สิ่งที่เราปรุงแต่งมันจนทำให้เราเจ็บปวด มันไม่ใช่ความจริง เราคิดไปเองตามทัศนคติเรา มองไปตามความน้อยเนื้อต่ำใจ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้นกำลังพาเราลงเหว ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ใจ
หากเราพยายามมองกลับด้านให้ได้
หาโอกาสในวิกฤตให้เจอ แล้วอะไรๆ จะดีขึ้น
ปกติของคนเราจะเข้าข้างตัวเองว่า เราดี เราไม่ผิด เค้าสิผิด ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมๆๆๆๆเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคำว่า "ทำไม"
นั่นหมายถึงเรากำลังโทษคนอื่น
ซึ่งการมองมุมกลับได้
เราต้องเอาความเป็นตัวเราออกก่อน
มองความผิดของตัวเองให้ได้เป็นข้อๆ
แล้วในที่สุด คำว่าทำไมจะค่อยๆ น้อยลง ทุกข์ก็จะค่อยๆ น้อยลง
ถ้าเราผ่านความทุกข์นี้ไม่ได้ มันจะเอาเรื่องคล้ายๆ เดิมมาให้เราทุกข์อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
ลองสังเกตดู
มันเหมือนเดิม เพียงแค่มันจะเปลี่ยนคนเปลี่ยนเวลาเท่านั้น
มันรอดูว่าเราจะผ่านไหม
ถ้าไม่ผ่านครั้งหน้ามันจะมาอีก
แค่เพิ่มความทุกข์ ให้เราให้หนักขึ้น
แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ คนถ้าไม่ทุกข์จนถึงที่สุดจะไม่มีใครยอมเข้าใจ
หากเรายอมให้โอกาสตัวเองได้กลับมาเข้มแข็งให้โอกาสตัวเองได้เจอสิ่งใหม่ๆ กับเรื่องราวดีๆ
เพียงแค่เรายอมเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องราวที่เจอ แล้วเมื่อเราเข้มแข็งพอ ไม่เพียงตัวเองที่รอด แถมเราจะช่วยคนอื่นๆได้ด้วย
บอกตัวเองไว้ว่า "ความสุขของเราเป็นสิ่งมีค่า" แล้วการเห็นคุณค่าในตัวเอง จะทำให้เรารู้สึกว่า"ในโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ยื่นความทุกข์ให้เรา ถ้าเราไม่อนุญาต"
กลับกัน เพียงแค่เราอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข...ทุกข์จะค่อยๆ หายไป
อย่ากลัววันพรุ่งนี้ อย่ายึดมั่นกับเมื่อวานที่ไม่มีวันหวน
เพราะเราเป็นผู้กำหนดให้
"นาทีนี้ตอนนี้เราจะมีความสุข"ก็พอ
เวลาเจอปัญหาถ้าเรามองด้วยทัศนคติเดิมเราจะใช้วิธีแก้ไขปัญหาแบบเดิม ผลก็จะเป็นแบบเดิม
ถ้าเรากล้าที่จะเปลี่ยนทัศนคติมองแบบใหม่ (คนที่เราคิดว่าทำร้ายเราอาจจะเจ็บปวดอยู่ก็ได้ เขาก็ทำไปด้วยเหตุผลสนองตอบในแบบของเขา)
ถ้าเรากล้าพอที่จะอภัยเขา
กล้าพอที่จะกลับมุมมองของตัวเอง
นั่นคือ การแก้ปัญหาแบบใหม่
เราถึงจะได้รับผลแบบใหม่ๆ
สำคัญที่สุดคือหมั่นฝึกจิตให้เท่าทันอารมณ์ของความโกรธ ความทุกข์ ความเสียใจ
ตรวจสอบให้บ่อย
เราจะเจอทางออก
ความผิดหวังไม่ได้รั้งเราอยู่กับเตียง
เราเองต่างหาก ที่ลงไปนอนที่เตียง
แล้วเอาความผิดหวังมาห่มตัว
บีหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่มีปัญหาคล้ายๆ กันครับ
Cr.นมเย็น base on true story
ปมในใจ เขียนจากเรื่องจริง
บีคือหญิงหม้าย ที่หย่ากับสามีทั้งที่ยังรักกันมาก แต่ด้วยเหตุผลจากทิฐิที่มีทำให้ทั้งสองคนต้องแยกกันด้วยความเจ็บปวดและเกิดปมในใจ
14 ปีผ่านไป ทั้งสองได้มีโอกาสคุยกันอีกครั้งได้ขอโทษกัน ฝ่ายอดีตสามีถึงร้องไห้โฮจากคำขอโทษของบี ซึ่งปกติอดีตสามีไม่เคยร้องไห้เลย
ปมที่อยู่ในใจสามีคือภรรยาทิ้งเพราะเลือกไปอยู่กับพี่สาวในวันที่บ้านมีปัญหาการเงิน
บีมีปมเพราะคิดว่าสามีไม่รักและมีคนใหม่
ผ่านไป14ปีสามีไม่กล้ามีใคร เพราะมีแล้วจะโดนทิ้ง บีเองไม่กล้ามีใครเพราะมีแล้วกลัวการหย่าร้าง คบใครสักพักเป็นต้องเลิก
เมื่อมาคิดดูแล้วพบว่ามันคือการทำงานของจิตใต้สำนึกที่จำเรื่องปวดร้าวในอดีตมาทำร้ายชีวิตเรา จนผ่านเวลาไประยะใหญ่
มารู้สึกตัวอีกครั้ง เราก็กลายเป็นคนที่มีปมในอดีตไปแล้ว
ดังนั้นอย่าปล่อยให้อดีตที่เราปรุงแต่งให้ใจเราเจ็บปวดมาฝังรากในใจเราได้
คุณเชื่อไหม สิ่งที่เราปรุงแต่งมันจนทำให้เราเจ็บปวด มันไม่ใช่ความจริง เราคิดไปเองตามทัศนคติเรา มองไปตามความน้อยเนื้อต่ำใจ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้นกำลังพาเราลงเหว ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ใจ
หากเราพยายามมองกลับด้านให้ได้
หาโอกาสในวิกฤตให้เจอ แล้วอะไรๆ จะดีขึ้น
ปกติของคนเราจะเข้าข้างตัวเองว่า เราดี เราไม่ผิด เค้าสิผิด ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมๆๆๆๆเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคำว่า "ทำไม"
นั่นหมายถึงเรากำลังโทษคนอื่น
ซึ่งการมองมุมกลับได้
เราต้องเอาความเป็นตัวเราออกก่อน
มองความผิดของตัวเองให้ได้เป็นข้อๆ
แล้วในที่สุด คำว่าทำไมจะค่อยๆ น้อยลง ทุกข์ก็จะค่อยๆ น้อยลง
ถ้าเราผ่านความทุกข์นี้ไม่ได้ มันจะเอาเรื่องคล้ายๆ เดิมมาให้เราทุกข์อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
ลองสังเกตดู
มันเหมือนเดิม เพียงแค่มันจะเปลี่ยนคนเปลี่ยนเวลาเท่านั้น
มันรอดูว่าเราจะผ่านไหม
ถ้าไม่ผ่านครั้งหน้ามันจะมาอีก
แค่เพิ่มความทุกข์ ให้เราให้หนักขึ้น
แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ คนถ้าไม่ทุกข์จนถึงที่สุดจะไม่มีใครยอมเข้าใจ
หากเรายอมให้โอกาสตัวเองได้กลับมาเข้มแข็งให้โอกาสตัวเองได้เจอสิ่งใหม่ๆ กับเรื่องราวดีๆ
เพียงแค่เรายอมเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องราวที่เจอ แล้วเมื่อเราเข้มแข็งพอ ไม่เพียงตัวเองที่รอด แถมเราจะช่วยคนอื่นๆได้ด้วย
บอกตัวเองไว้ว่า "ความสุขของเราเป็นสิ่งมีค่า" แล้วการเห็นคุณค่าในตัวเอง จะทำให้เรารู้สึกว่า"ในโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ยื่นความทุกข์ให้เรา ถ้าเราไม่อนุญาต"
กลับกัน เพียงแค่เราอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข...ทุกข์จะค่อยๆ หายไป
อย่ากลัววันพรุ่งนี้ อย่ายึดมั่นกับเมื่อวานที่ไม่มีวันหวน
เพราะเราเป็นผู้กำหนดให้
"นาทีนี้ตอนนี้เราจะมีความสุข"ก็พอ
เวลาเจอปัญหาถ้าเรามองด้วยทัศนคติเดิมเราจะใช้วิธีแก้ไขปัญหาแบบเดิม ผลก็จะเป็นแบบเดิม
ถ้าเรากล้าที่จะเปลี่ยนทัศนคติมองแบบใหม่ (คนที่เราคิดว่าทำร้ายเราอาจจะเจ็บปวดอยู่ก็ได้ เขาก็ทำไปด้วยเหตุผลสนองตอบในแบบของเขา)
ถ้าเรากล้าพอที่จะอภัยเขา
กล้าพอที่จะกลับมุมมองของตัวเอง
นั่นคือ การแก้ปัญหาแบบใหม่
เราถึงจะได้รับผลแบบใหม่ๆ
สำคัญที่สุดคือหมั่นฝึกจิตให้เท่าทันอารมณ์ของความโกรธ ความทุกข์ ความเสียใจ
ตรวจสอบให้บ่อย
เราจะเจอทางออก
ความผิดหวังไม่ได้รั้งเราอยู่กับเตียง
เราเองต่างหาก ที่ลงไปนอนที่เตียง
แล้วเอาความผิดหวังมาห่มตัว
บีหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่มีปัญหาคล้ายๆ กันครับ
Cr.นมเย็น base on true story