
.....
สืบเนื่องจากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/36501820
และนี้เป็นคำตอบจาก พระอภิธรรมปิฎก อธิบายโดย ท่าน ระนาดเอก และดำเนินเรื่องโดย ผม (สองนิ้ว รำมะนาดโท)
เนื้อเรื่องบางตอน ตัดต่อมาแต่ไม่ได้เติมแต่ง
ในพระอภิธรรมแสดงไว้ว่า อกุศลจิตมี 3 พวก โลภะมี 8, โมหะ โทสะ อย่างละ 2 พวกอุ๋มอิ๋มมันยอมรับมั้ยล่ะ
กุศลจิตมี 8 - ที่ประกอบด้วยปัญญาก็มี ไม่ประกอบก็มี ขนาดจิตพระอรหันต์เป็นกิริยาจิต ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี เพราะกิจนั้นไม่ได้ได้ปรารภปัญญา; มหากุศลที่พร้อมด้วยโสมนัสก็มี อุเบกขาก็มี แต่ไม่มีโทมนัสแน่ๆ อย่าว่าแต่มหากุศลจิต แม้โลภะที่เป็นอกุศลก็ไม่เคยมีโทมนัสเกิดพร้อมด้วย - ก็การแจกแจงอันละเอียดอย่างนี้ พวกอุ๋มอิ๋มมันยอมรับมั้ยล่ะ
ถ้าพวกอุ๋มอิ๋ม เช่นอย่าง จขกท. นี่ ยอมรับ แล้วมันจะเกี่ยงงอน "มหัคคตจิต" ที่เป็นจิตทำหน้าที่เป็น "ฌาน" ?
ถ้ายอมรับว่ามีจิตที่เป็น มหัคคตะ แต่ไม่ยอมรับสภาพธรรมของจิตประเภทนี้ มันก็ได้แต่ต้องมั่วแล้ว
ก็ดูพวกอุ๋มอิ๋มมันมั่วไปหมด อรูปฌาน ซึ่งฌานจิตจะเป็น "อรูปาวจรจิต" อย่างเดียวเท่านั้น พวกก็บอกว่า ก็คือฌาน 4 นั่นแหละ แล้วไพล่ไปอ้างว่า มีองค์ฌานเท่ากันเหมือนกัน ?
โถ่ ไอ้พวกมั่ว จะเป็นฌานระดับเดียวกันไปได้ยังไง ก็ฌานจิตมันจิตคนละดวงเลย ถ้ากุศลจิตกับรูปฌานจิตเป็นจิตคนละประเภท คนละสภาวะ.. รูปฌาน 1-4 (หรือ 5) ก็คนละประเภทกับอรูปฌาน 1-4 เหมือนกัน
ถ้าอ้างว่าองค์ฌานเท่ากัน เลยจัดให้อรูปฌานก็คือ ฌานที่ 4 แล้วอ้างว่ามีอารมณ์ต่างกัน
อย่างนั้น จิตขณะเป็นวิปัสสนาญาณ, มรรค ผล ก็เป็นรูปฌานด้วยน่ะสิ เพราะมีองค์ฌานเท่ากับปฐมฌาน
แต่มันเป็นฌานคนละเรื่อง ที่เป็นรูปฌานท่านเรียก อารัมณูปนิชฌาน ที่เป็นวิปัสสนา มรรค ผล เรียก ลักขณูปนิชฌาน
แล้วถ้ายึดเอาองค์ฌาน มาบอกว่าเป็นฌานเดียวกันนั่นแหละ อย่างนั้นในฌาน 4 ก็ต้องบรรลุมรรคผลไม่ได้ เพราะองค์ฌานในฌาน 4 มันน้อยกว่าขณะมรรคผล !?
ถ้าจะบอกว่าอยู่ในฌานก็รู้อารมณ์ทางอายตนะต่างๆ แล้วเจริญวิปัสสนาบรรลุมรรคผลได้ ก็แปลว่าต้องออกจากฌาน เพื่อให้ได้ญาณปัญญาที่มีองค์ฌานกลับไปเป็น 5 เหมือนในปฐมฌาน ?!
ตกลงอุตส่าห์บำเพ็ญจิตจนได้ฌาน 4 แล้วก็บรรลุวิปัสสนาญาณไม่ได้ อย่าว่าแต่จะมรรคผล ถ้าจะเอามรรคเอาผลก็ต้องออกจากฌาน ถ้าไม่ออกจากฌาน 4 องค์ฌานก็มีแค่ 2 มันก็ไม่พอจะบรรลุสภาพ ที่สามารถเล็งเห็นสภาวะไตรลักษณ์ของรูปนาม เพราะสภาพตรงนั้นเป็นฌานที่จะมีองค์ฌาน 5 - ลักขณูปนิชฌาน
พระศาสดาแสดงมหัคคตจิต ไว้ 3 ประเภท 9 ระดับ ทั้งหมดจึงมี 27 ใช่ไหมเล่า
วิบากจิตใดๆ มันต้องเกิดจาก "จิตเหตุ" ที่ตรงระดับกัน อย่างเช่น "รูปาวจรกุศลจิต" จะทำให้เกิด "อรูปาวจรวิบากจิต" ที่นำเกิดในอรูปภพนั้นไม่ได้ !
ถ้ายอมรับว่า รูปฌานที่ 1 ก็ปฐมฌานนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดใน รูปพรหมชั้นปฐมฌานภูมิ คือได้แค่ฌาน 1 จะเกิดในพรหมโลกชั้นทุติฌานภูมิไม่ได้ ถ้ายอมรับอย่างนี้ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ผู้ที่ได้เพียงรูปฌานจะเกิดเป็นอรูปพรหมไม่ได้ !
แล้วอย่างนี้จะมาพูดเอาง่ายๆ ว่า อรูปฌานก็คือฌาน 4 นั่นแหละ ?!
นั่นแหละ ไอ้พวกมั่วเลอะเทอะ โมเมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั้น มีสภาวธรรม มีตัวเลขคลุมไว้หมด พวกที่พูดมั่วๆ ก็เพราะไม่เคยศึกษา ก็เท่านั้นเอง !
ทีนี้ถ้ายอมรับว่า มหัคคตจิต คือจิตที่ดำเนินฌาน ไม่ใช่จิตใดๆ ใน(มหา)กุศลจิต 8 ก็ต้องยอมรับก่อนว่า มหัคคตจิต มีธรรมชาติอย่างไร มี "ธรรม" อย่างไรเป็นอารมณ์ของจิต ก็จะรู้เข้าใจเลยว่า ไม่มีทางที่อยู่ในฌาน เป็นฌาน แล้วจะไปรู้อารมณ์ทางอายตนะ 5 ตา หู จมูก .. กาย ไปได้
ก็เพราะมหัคคตจิตมีอารมณ์เป็น "บัญญัติ" เท่านั้น ไม่อาจมีอารมณ์เป็น "รูปปรมัตถ์" ใดๆ ทั้งสิ้น.. ไม่ว่าจะเป็น แสง เสียง กลิ่น .. เย็นร้อนอ่อนแข็ง
รูปปรมัตถ์ เป็นอารมณ์ของจิตได้ทั้งทางทวาร 5 และทางใจคือมโนทวาร
แต่ "บัญญัติ" ไม่ใช่อารมณ์ที่ปรากฏได้ทางทวาร 5 - บัญญัติอารมณ์เกิดได้ทางใจเท่านั้นเอง
บัญญัติ เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า กาลวิมุตติ เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริง เป็นแต่จิตมันปรุงแต่งขัดเกลาจนเกิดเป็นอารมณ์ที่ต่างไปจากอารมณ์ต้นแบบ ที่เคยเป็นอารมณ์บริกรรมสมาธิ ก่อนจะเป็นฌาน เช่นกสิณไฟ เพ่งเปลวเทียน อารมณ์เดิมนั้นมีไส้เทียน เปลวไฟที่แกนไส้เทียนเป็นสีน้ำเงิน อุณหภูมิสูงกว่าเปลวไฟเหลืองพลิ้ว แต่เมื่อเกิดเป็นไฟในฌานจิต อารมณ์นั้นก็อาจเหลือแต่เปลวไฟ ไม่มีไส้เทียน เพราะภาพเทียนผ่านการบริกรรมจนรายละเอียดปลีกย่อยต่างหายไปสิ้นแล้ว เหลือแต่นิมิตเปลวไฟ .. เหมือนอสุภะซากศพเป็นอารมณ์บริกรรม แรกเริ่มบริกรรมก็ยังมีภาพส่วนประกอบข้างเคียงซากศพนั้นติดมาบ้าง เช่นผ้าห่อศพ ศพทอดบนกอหญ้า ริมทาง นิมิตบริกรรมก็มีหญ้า มีดินโคลน ฯลฯ แต่เมื่อเป็นอารมณ์ในฌานจิต ภาพนั้นก็กลายไป ทั้งผ้าห่อศพ ใบไม้ใบหญ้า ดินข้างทาง ฯลฯ ก็หายไป เหลือเพียงนิมิตซากศพ
นั่นก็คือภาพนั้น ที่เป็นอารมณ์ในฌาน มันไม่เคยมีอยู่จริง ถ้าเป็นเปลวเทียน มันมีไส้เทียน แต่ในอารมณ์ฌานมันไม่มี มีแต่ไฟ, ถ้าเป็นซากศพ มันก็มีเครื่องห่อ มีสภาพรอบข้าง แต่ในอารมณ์ฌานมันไม่มีสิ่งรอบข้าง เพราะภาพนิมิตผ่านการบริกรรม ขัดแล้วเกลาอีก เมื่อจิตมุ่งในอารมณ์นั้น ไฟก็ดี อสุภะก็ดี การยก ประคอง ส่งต่อนิมิตในการภาวนาเรื่อยไป เจตนาที่ไม่เคยใส่ใจไส้เทียนเพราะไส้เทียนมันไม่ใช่เตโช ไม่สนใจดินโคลนใบหญ้าเพราะมันไม่ใช่อสุภะ ในที่สุดส่วนประกอบนั้นมันก็หายไปเอง เมื่อบรรลุฌาน(หรือก่อนจะบรรลุ จะเป็นปฏิภาคนิมิตในอุปจารสมาธิอะไรก็ว่าไป) อารมณ์นั้นมันก็ไม่ใช่อารมณ์ต้นแบบดั้งเดิม เพราะจิตมันปรุงแต่งขัดเกลาไปตามเจตนาที่จะสนใจหรือไม่สนใจไปไกลแล้ว สรุปว่าอารมณ์นั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นตั้งอยู่ในชีวิตจริงในเวลาอดีต ที่จำไว้บริกรรมเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน และถ้าลืมตาขึ้นมาขณะปัจจุบันมันก็ไม่ตรงไม่เหมือนกับอารมณ์ที่ปรากฏตรงหน้าที่ตากำลังเห็นนั่นด้วย อดีตไม่มีปัจจุบันไม่ใช่ อนาคตไม่ต้องพูดถึง นี่เองที่เรียกว่าอารมณ์เป็นกาลวิมุตติ - ในพระอภิธรรมท่านจึงแสดงเรื่องอารมณ์ของจิตไว้ว่ามีความต่างกันโดยสภาวะอย่างไร บัญญัติเป็นอารมณ์ประเภทกาลวิมุตติ ไม่ใช่อารมณ์ที่รู้เห็นได้ด้วยอายตนะ 5 ได้เลย เพราะมันไม่มีลักษณะของความเป็นปรมัตถธรรมที่เป็น รูปปรมัตถ์ ที่จะรู้เห็นได้ทางทวาร 5 ตา หู .. กาย
ในเมื่อมหัคคตจิต หรือ รูปฌานจิต/อรูปฌานจิต มีบัญญัติเป็นอารมณ์เท่านั้น ดังนั้น ขณะเป็นฌานหรืออยู่ในฌาน จิตจะไปรู้อารมณ์ที่ทวาร 5 ไม่ได้เลย - นี้คือสภาวธรรมของมหัคคตจิต หรือ ธรรมชาติของฌาน
ถ้าจะรู้เสียงรู้แสงรู้ร้อนรู้หนาว ก็ต้องหลุดจากฌานเสียก่อน จิตจึงเป็นจิตประเภทที่ไปรู้อารมณ์ทางทวาร/อายตนะ 5 ได้ แล้วสามารถเสพอารมณ์ในวิถีจิตแบบ กามวิถี
พวกที่ไม่เคยศึกษาพระอภิธรรม ไม่รู้จักว่าจิตอะไร มีคุณลักษณะอย่างไร ไม่รู้จักอารมณ์ ว่าอารมณ์มีกี่ประเภท คุณลักษณะอย่างนี้ๆ จะรู้ได้ด้วยจิตใดบ้าง และมีจิตใดบ้างที่ไม่อาจรู้กระทบกับอารมณ์อย่างนั้นๆ พวกที่ไม่เคยศึกษาพระอภิธรรมก็ไม่รู้เรื่องว่า กระบวนการทำงานของจิตที่เรียกว่าวิถีจิต มีประเภทใดบ้าง ในวิถีจิตแบบนั้นๆ มีจิตใดมาทำงานได้บ้าง และจิตใดทำงานในกระบวนนั้นไม่ได้ เพราะอะไร - พวกนี้ก็จะไม่รู้เรื่องรู้หาวอะไรเลย ได้แต่คิดเอาคาดเอา แล้วก็ไปอ่านพระสูตร แล้วก็ตีความส่งเดชเข้าข้างความต้องการของตัวเองไป แล้วก็เที่ยวบอกเที่ยวกระจายความมั่วเลอะเทอะของตัวเองออกไปสู่ผู้อื่น ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว สมัยพระเจ้าอโศก พ.ศ.สองร้อยกว่า ท่านก็นิมนต์พระโมคคัลลีปุตฯให้ชำระพวกบ้านั่นออกไปตั้งสองร้อยกว่าพวก
อย่างเรื่อง "ช้างลงน้ำ" ที่ต้นเรื่องเกิดจากพระโมคคัลลาน์เมื่อสำเร็จอรหัตตผลแล้วนั้น ก็คือท่านเข้าใจผิด ว่าตอนที่ท่านได้ยินเสียงช้างร้องนั้นท่านยังอยู่ในอาเนญชสมาธิ(ตรงนั้นหมายถึง ผลฌาน) ท่านก็เลยพูดบอกภิกษุอื่นว่าท่านเข้าผลฌานแล้วได้ยินเสียงช้างร้อง พวกภิกษุที่เข้าใจสภาวธรรมดีแล้ว ว่าอยู่ในฌานย่อมไม่ได้ยินเสียง ก็เลยพูดกันว่าท่านโมคคัลลาน์อวดอุตตริ ตัวไม่ได้ฌานก็บอกว่าได้ฌาน ครั้นเรื่องไปถึงพระศาสดา ก็ตรัสว่า โมคคัลลาน์ได้(อาเนญช)สมาธิจริงๆ คือท่านโมคคัลลาน์เข้าผลฌานได้จริง แต่สมาธินั้นยังไม่บริสุทธิ์ หมายถึงเป็นฌาน แต่ยังไม่เป็นสมาบัติ(ตั้งมั่นในฌานอยู่ได้นาน) โมคคัลลาน์กล่าวจริง ไม่อาบัติ - สาระสำคัญคืออรรถกถาอธิบายชัดเจนว่า พระโมคคัลลาน์ได้ยินเสียงช้างเมื่อท่านออกจากฌานแล้ว
เรื่องก็ชัดเจน ถ้าใครไม่ยอมรับสภาวธรรมในพระอภิธรรม ก็เข้าชานอุ๋มอิ๋มตามสบาย แต่อย่ามาอ้าง "ไตร"ปิฎกเลย
สมัยก่อนยังดี ใครไม่เอาด้วยกับพระไตรปิฎกเถรวาท เขาก็แยกออกไปเลย ไปตั้งนิกายใหม่ ไม่เรียกว่าตัวเป็นเถรวาท ก็สอนกันเองสืบทอดกันเอง บอกว่า จิตไม่ได้มี 89 หรือ 121 อะไรทั้งนั้น จิตมี 1 ถามว่าจิตจะมีแค่ 1 ได้ยังไง อกุศลก็อย่าง กุศลก็อย่าง แล้วจะไปมีวิถีจิตการทำงานของจิตได้ยังไงถ้าจิตมีแค่หนึ่ง พวกก็ว่าไม่รู้ละ ยังไงไม่รู้ละ จิตมีหนึ่งก็แล้วกัน แล้วพวกก็ดันมีพระไตรปิฎกกับเขาด้วย ให้มันได้ยังงี้ ..
แต่ถึงยังไง พวกนั้นเขาก็ไม่อ้างพระไตรปิฎกเถรวาท
แต่สมัยนี้ ไอ้พวกชานอุ๋มอิ๋ม อุ๋มอิ๋มแล้วยังมาอ้างพระ"ไตร"ปิฎกเถรวาท เฉ๊ยย !
แก้ไขข้อความเมื่อ เมื่อวานนี้ เวลา 10:28 น.
ตอบกลับ
1 1
ระนาดเอก
เมื่อวานนี้ เวลา 00:21 น.
สองนิ้วชี้ ถูกใจ
๑ เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌาน ในพระอภิธรรมปิฎก
สืบเนื่องจากกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/36501820
และนี้เป็นคำตอบจาก พระอภิธรรมปิฎก อธิบายโดย ท่าน ระนาดเอก และดำเนินเรื่องโดย ผม (สองนิ้ว รำมะนาดโท)
เนื้อเรื่องบางตอน ตัดต่อมาแต่ไม่ได้เติมแต่ง
ในพระอภิธรรมแสดงไว้ว่า อกุศลจิตมี 3 พวก โลภะมี 8, โมหะ โทสะ อย่างละ 2 พวกอุ๋มอิ๋มมันยอมรับมั้ยล่ะ
กุศลจิตมี 8 - ที่ประกอบด้วยปัญญาก็มี ไม่ประกอบก็มี ขนาดจิตพระอรหันต์เป็นกิริยาจิต ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี เพราะกิจนั้นไม่ได้ได้ปรารภปัญญา; มหากุศลที่พร้อมด้วยโสมนัสก็มี อุเบกขาก็มี แต่ไม่มีโทมนัสแน่ๆ อย่าว่าแต่มหากุศลจิต แม้โลภะที่เป็นอกุศลก็ไม่เคยมีโทมนัสเกิดพร้อมด้วย - ก็การแจกแจงอันละเอียดอย่างนี้ พวกอุ๋มอิ๋มมันยอมรับมั้ยล่ะ
ถ้าพวกอุ๋มอิ๋ม เช่นอย่าง จขกท. นี่ ยอมรับ แล้วมันจะเกี่ยงงอน "มหัคคตจิต" ที่เป็นจิตทำหน้าที่เป็น "ฌาน" ?
ถ้ายอมรับว่ามีจิตที่เป็น มหัคคตะ แต่ไม่ยอมรับสภาพธรรมของจิตประเภทนี้ มันก็ได้แต่ต้องมั่วแล้ว
ก็ดูพวกอุ๋มอิ๋มมันมั่วไปหมด อรูปฌาน ซึ่งฌานจิตจะเป็น "อรูปาวจรจิต" อย่างเดียวเท่านั้น พวกก็บอกว่า ก็คือฌาน 4 นั่นแหละ แล้วไพล่ไปอ้างว่า มีองค์ฌานเท่ากันเหมือนกัน ?
โถ่ ไอ้พวกมั่ว จะเป็นฌานระดับเดียวกันไปได้ยังไง ก็ฌานจิตมันจิตคนละดวงเลย ถ้ากุศลจิตกับรูปฌานจิตเป็นจิตคนละประเภท คนละสภาวะ.. รูปฌาน 1-4 (หรือ 5) ก็คนละประเภทกับอรูปฌาน 1-4 เหมือนกัน
ถ้าอ้างว่าองค์ฌานเท่ากัน เลยจัดให้อรูปฌานก็คือ ฌานที่ 4 แล้วอ้างว่ามีอารมณ์ต่างกัน
อย่างนั้น จิตขณะเป็นวิปัสสนาญาณ, มรรค ผล ก็เป็นรูปฌานด้วยน่ะสิ เพราะมีองค์ฌานเท่ากับปฐมฌาน
แต่มันเป็นฌานคนละเรื่อง ที่เป็นรูปฌานท่านเรียก อารัมณูปนิชฌาน ที่เป็นวิปัสสนา มรรค ผล เรียก ลักขณูปนิชฌาน
แล้วถ้ายึดเอาองค์ฌาน มาบอกว่าเป็นฌานเดียวกันนั่นแหละ อย่างนั้นในฌาน 4 ก็ต้องบรรลุมรรคผลไม่ได้ เพราะองค์ฌานในฌาน 4 มันน้อยกว่าขณะมรรคผล !?
ถ้าจะบอกว่าอยู่ในฌานก็รู้อารมณ์ทางอายตนะต่างๆ แล้วเจริญวิปัสสนาบรรลุมรรคผลได้ ก็แปลว่าต้องออกจากฌาน เพื่อให้ได้ญาณปัญญาที่มีองค์ฌานกลับไปเป็น 5 เหมือนในปฐมฌาน ?!
ตกลงอุตส่าห์บำเพ็ญจิตจนได้ฌาน 4 แล้วก็บรรลุวิปัสสนาญาณไม่ได้ อย่าว่าแต่จะมรรคผล ถ้าจะเอามรรคเอาผลก็ต้องออกจากฌาน ถ้าไม่ออกจากฌาน 4 องค์ฌานก็มีแค่ 2 มันก็ไม่พอจะบรรลุสภาพ ที่สามารถเล็งเห็นสภาวะไตรลักษณ์ของรูปนาม เพราะสภาพตรงนั้นเป็นฌานที่จะมีองค์ฌาน 5 - ลักขณูปนิชฌาน
พระศาสดาแสดงมหัคคตจิต ไว้ 3 ประเภท 9 ระดับ ทั้งหมดจึงมี 27 ใช่ไหมเล่า
วิบากจิตใดๆ มันต้องเกิดจาก "จิตเหตุ" ที่ตรงระดับกัน อย่างเช่น "รูปาวจรกุศลจิต" จะทำให้เกิด "อรูปาวจรวิบากจิต" ที่นำเกิดในอรูปภพนั้นไม่ได้ !
ถ้ายอมรับว่า รูปฌานที่ 1 ก็ปฐมฌานนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดใน รูปพรหมชั้นปฐมฌานภูมิ คือได้แค่ฌาน 1 จะเกิดในพรหมโลกชั้นทุติฌานภูมิไม่ได้ ถ้ายอมรับอย่างนี้ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ผู้ที่ได้เพียงรูปฌานจะเกิดเป็นอรูปพรหมไม่ได้ !
แล้วอย่างนี้จะมาพูดเอาง่ายๆ ว่า อรูปฌานก็คือฌาน 4 นั่นแหละ ?!
นั่นแหละ ไอ้พวกมั่วเลอะเทอะ โมเมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั้น มีสภาวธรรม มีตัวเลขคลุมไว้หมด พวกที่พูดมั่วๆ ก็เพราะไม่เคยศึกษา ก็เท่านั้นเอง !
ทีนี้ถ้ายอมรับว่า มหัคคตจิต คือจิตที่ดำเนินฌาน ไม่ใช่จิตใดๆ ใน(มหา)กุศลจิต 8 ก็ต้องยอมรับก่อนว่า มหัคคตจิต มีธรรมชาติอย่างไร มี "ธรรม" อย่างไรเป็นอารมณ์ของจิต ก็จะรู้เข้าใจเลยว่า ไม่มีทางที่อยู่ในฌาน เป็นฌาน แล้วจะไปรู้อารมณ์ทางอายตนะ 5 ตา หู จมูก .. กาย ไปได้
ก็เพราะมหัคคตจิตมีอารมณ์เป็น "บัญญัติ" เท่านั้น ไม่อาจมีอารมณ์เป็น "รูปปรมัตถ์" ใดๆ ทั้งสิ้น.. ไม่ว่าจะเป็น แสง เสียง กลิ่น .. เย็นร้อนอ่อนแข็ง
รูปปรมัตถ์ เป็นอารมณ์ของจิตได้ทั้งทางทวาร 5 และทางใจคือมโนทวาร
แต่ "บัญญัติ" ไม่ใช่อารมณ์ที่ปรากฏได้ทางทวาร 5 - บัญญัติอารมณ์เกิดได้ทางใจเท่านั้นเอง
บัญญัติ เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า กาลวิมุตติ เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริง เป็นแต่จิตมันปรุงแต่งขัดเกลาจนเกิดเป็นอารมณ์ที่ต่างไปจากอารมณ์ต้นแบบ ที่เคยเป็นอารมณ์บริกรรมสมาธิ ก่อนจะเป็นฌาน เช่นกสิณไฟ เพ่งเปลวเทียน อารมณ์เดิมนั้นมีไส้เทียน เปลวไฟที่แกนไส้เทียนเป็นสีน้ำเงิน อุณหภูมิสูงกว่าเปลวไฟเหลืองพลิ้ว แต่เมื่อเกิดเป็นไฟในฌานจิต อารมณ์นั้นก็อาจเหลือแต่เปลวไฟ ไม่มีไส้เทียน เพราะภาพเทียนผ่านการบริกรรมจนรายละเอียดปลีกย่อยต่างหายไปสิ้นแล้ว เหลือแต่นิมิตเปลวไฟ .. เหมือนอสุภะซากศพเป็นอารมณ์บริกรรม แรกเริ่มบริกรรมก็ยังมีภาพส่วนประกอบข้างเคียงซากศพนั้นติดมาบ้าง เช่นผ้าห่อศพ ศพทอดบนกอหญ้า ริมทาง นิมิตบริกรรมก็มีหญ้า มีดินโคลน ฯลฯ แต่เมื่อเป็นอารมณ์ในฌานจิต ภาพนั้นก็กลายไป ทั้งผ้าห่อศพ ใบไม้ใบหญ้า ดินข้างทาง ฯลฯ ก็หายไป เหลือเพียงนิมิตซากศพ
นั่นก็คือภาพนั้น ที่เป็นอารมณ์ในฌาน มันไม่เคยมีอยู่จริง ถ้าเป็นเปลวเทียน มันมีไส้เทียน แต่ในอารมณ์ฌานมันไม่มี มีแต่ไฟ, ถ้าเป็นซากศพ มันก็มีเครื่องห่อ มีสภาพรอบข้าง แต่ในอารมณ์ฌานมันไม่มีสิ่งรอบข้าง เพราะภาพนิมิตผ่านการบริกรรม ขัดแล้วเกลาอีก เมื่อจิตมุ่งในอารมณ์นั้น ไฟก็ดี อสุภะก็ดี การยก ประคอง ส่งต่อนิมิตในการภาวนาเรื่อยไป เจตนาที่ไม่เคยใส่ใจไส้เทียนเพราะไส้เทียนมันไม่ใช่เตโช ไม่สนใจดินโคลนใบหญ้าเพราะมันไม่ใช่อสุภะ ในที่สุดส่วนประกอบนั้นมันก็หายไปเอง เมื่อบรรลุฌาน(หรือก่อนจะบรรลุ จะเป็นปฏิภาคนิมิตในอุปจารสมาธิอะไรก็ว่าไป) อารมณ์นั้นมันก็ไม่ใช่อารมณ์ต้นแบบดั้งเดิม เพราะจิตมันปรุงแต่งขัดเกลาไปตามเจตนาที่จะสนใจหรือไม่สนใจไปไกลแล้ว สรุปว่าอารมณ์นั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นตั้งอยู่ในชีวิตจริงในเวลาอดีต ที่จำไว้บริกรรมเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน และถ้าลืมตาขึ้นมาขณะปัจจุบันมันก็ไม่ตรงไม่เหมือนกับอารมณ์ที่ปรากฏตรงหน้าที่ตากำลังเห็นนั่นด้วย อดีตไม่มีปัจจุบันไม่ใช่ อนาคตไม่ต้องพูดถึง นี่เองที่เรียกว่าอารมณ์เป็นกาลวิมุตติ - ในพระอภิธรรมท่านจึงแสดงเรื่องอารมณ์ของจิตไว้ว่ามีความต่างกันโดยสภาวะอย่างไร บัญญัติเป็นอารมณ์ประเภทกาลวิมุตติ ไม่ใช่อารมณ์ที่รู้เห็นได้ด้วยอายตนะ 5 ได้เลย เพราะมันไม่มีลักษณะของความเป็นปรมัตถธรรมที่เป็น รูปปรมัตถ์ ที่จะรู้เห็นได้ทางทวาร 5 ตา หู .. กาย
ในเมื่อมหัคคตจิต หรือ รูปฌานจิต/อรูปฌานจิต มีบัญญัติเป็นอารมณ์เท่านั้น ดังนั้น ขณะเป็นฌานหรืออยู่ในฌาน จิตจะไปรู้อารมณ์ที่ทวาร 5 ไม่ได้เลย - นี้คือสภาวธรรมของมหัคคตจิต หรือ ธรรมชาติของฌาน
ถ้าจะรู้เสียงรู้แสงรู้ร้อนรู้หนาว ก็ต้องหลุดจากฌานเสียก่อน จิตจึงเป็นจิตประเภทที่ไปรู้อารมณ์ทางทวาร/อายตนะ 5 ได้ แล้วสามารถเสพอารมณ์ในวิถีจิตแบบ กามวิถี
พวกที่ไม่เคยศึกษาพระอภิธรรม ไม่รู้จักว่าจิตอะไร มีคุณลักษณะอย่างไร ไม่รู้จักอารมณ์ ว่าอารมณ์มีกี่ประเภท คุณลักษณะอย่างนี้ๆ จะรู้ได้ด้วยจิตใดบ้าง และมีจิตใดบ้างที่ไม่อาจรู้กระทบกับอารมณ์อย่างนั้นๆ พวกที่ไม่เคยศึกษาพระอภิธรรมก็ไม่รู้เรื่องว่า กระบวนการทำงานของจิตที่เรียกว่าวิถีจิต มีประเภทใดบ้าง ในวิถีจิตแบบนั้นๆ มีจิตใดมาทำงานได้บ้าง และจิตใดทำงานในกระบวนนั้นไม่ได้ เพราะอะไร - พวกนี้ก็จะไม่รู้เรื่องรู้หาวอะไรเลย ได้แต่คิดเอาคาดเอา แล้วก็ไปอ่านพระสูตร แล้วก็ตีความส่งเดชเข้าข้างความต้องการของตัวเองไป แล้วก็เที่ยวบอกเที่ยวกระจายความมั่วเลอะเทอะของตัวเองออกไปสู่ผู้อื่น ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว สมัยพระเจ้าอโศก พ.ศ.สองร้อยกว่า ท่านก็นิมนต์พระโมคคัลลีปุตฯให้ชำระพวกบ้านั่นออกไปตั้งสองร้อยกว่าพวก
อย่างเรื่อง "ช้างลงน้ำ" ที่ต้นเรื่องเกิดจากพระโมคคัลลาน์เมื่อสำเร็จอรหัตตผลแล้วนั้น ก็คือท่านเข้าใจผิด ว่าตอนที่ท่านได้ยินเสียงช้างร้องนั้นท่านยังอยู่ในอาเนญชสมาธิ(ตรงนั้นหมายถึง ผลฌาน) ท่านก็เลยพูดบอกภิกษุอื่นว่าท่านเข้าผลฌานแล้วได้ยินเสียงช้างร้อง พวกภิกษุที่เข้าใจสภาวธรรมดีแล้ว ว่าอยู่ในฌานย่อมไม่ได้ยินเสียง ก็เลยพูดกันว่าท่านโมคคัลลาน์อวดอุตตริ ตัวไม่ได้ฌานก็บอกว่าได้ฌาน ครั้นเรื่องไปถึงพระศาสดา ก็ตรัสว่า โมคคัลลาน์ได้(อาเนญช)สมาธิจริงๆ คือท่านโมคคัลลาน์เข้าผลฌานได้จริง แต่สมาธินั้นยังไม่บริสุทธิ์ หมายถึงเป็นฌาน แต่ยังไม่เป็นสมาบัติ(ตั้งมั่นในฌานอยู่ได้นาน) โมคคัลลาน์กล่าวจริง ไม่อาบัติ - สาระสำคัญคืออรรถกถาอธิบายชัดเจนว่า พระโมคคัลลาน์ได้ยินเสียงช้างเมื่อท่านออกจากฌานแล้ว
เรื่องก็ชัดเจน ถ้าใครไม่ยอมรับสภาวธรรมในพระอภิธรรม ก็เข้าชานอุ๋มอิ๋มตามสบาย แต่อย่ามาอ้าง "ไตร"ปิฎกเลย
สมัยก่อนยังดี ใครไม่เอาด้วยกับพระไตรปิฎกเถรวาท เขาก็แยกออกไปเลย ไปตั้งนิกายใหม่ ไม่เรียกว่าตัวเป็นเถรวาท ก็สอนกันเองสืบทอดกันเอง บอกว่า จิตไม่ได้มี 89 หรือ 121 อะไรทั้งนั้น จิตมี 1 ถามว่าจิตจะมีแค่ 1 ได้ยังไง อกุศลก็อย่าง กุศลก็อย่าง แล้วจะไปมีวิถีจิตการทำงานของจิตได้ยังไงถ้าจิตมีแค่หนึ่ง พวกก็ว่าไม่รู้ละ ยังไงไม่รู้ละ จิตมีหนึ่งก็แล้วกัน แล้วพวกก็ดันมีพระไตรปิฎกกับเขาด้วย ให้มันได้ยังงี้ ..
แต่ถึงยังไง พวกนั้นเขาก็ไม่อ้างพระไตรปิฎกเถรวาท
แต่สมัยนี้ ไอ้พวกชานอุ๋มอิ๋ม อุ๋มอิ๋มแล้วยังมาอ้างพระ"ไตร"ปิฎกเถรวาท เฉ๊ยย !
แก้ไขข้อความเมื่อ เมื่อวานนี้ เวลา 10:28 น.
ตอบกลับ
1 1
ระนาดเอก
เมื่อวานนี้ เวลา 00:21 น.
สองนิ้วชี้ ถูกใจ