เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 มิถุนายน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ ยื่นเรื่องร้องเรียนและเสนอเรื่องกล่าวโทษต่อดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับธนาคารกรุงเทพและผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงนายอุตตม สาวนายน และนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ในคดีฟอกเงินการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินคดีฟอกเงิน อีกทั้ง หากยังไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้สิ้นกระแสความ และเลือกดำเนินคดีเพียงบางคนเท่านั้นจะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 41 ซึ่งให้บุคคลดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ หากเจ้าหน้าที่ละเว้นการกระทำของข้าราชการ โดยมีพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยกรศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้รับเรื่อง
นายวันชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากคดีของธนาคารกรุงไทยได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ว่ามีการกระทำความผิดในลักษณะของการปล่อยสินเชื่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ปล่อยมาเพื่อการชำระหนี้คืนธนาคารกรุงเทพ โดยปรากฎในเอกสารตามคำพิพากษาว่าเงิน 3,000 กว่าล้านบาท ที่ดีเอสไอกำลังสืบสวนสอบสวนกรณีฟอกเงินอยู่ มีที่มาที่ไปว่าธนาคารกรุงเทพได้ลดหนี้จาก 14,000 กว่าล้านบาท รับชำระหนี้ภายในเดือนธันวาคม 2546 เพียง 4,500 ล้านบาท เป็นเหตุให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาท ที่ได้รับการอนุมัติจากธนาคารกรุงไทยด้วยวงเงิน 8,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้คืน มีส่วน 3,000 กว่าล้านบาท นำมาสู่การฟอกเงิน
นายวันชัย กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2559 ได้เคยเดินทางมาร้องเรียนยังดีเอสไอแล้ว และดีเอสไอก็ได้ทำหนังสือตอบกลับไปว่า ธนาคารกรุงเทพไม่ได้ถูกดำเนินคดีในคดีแรก และไม่มีลักษณะเป็นการฟอกเงิน ส่วนนายอุตตม และนายชัยณรงค์ไม่ถูกฟ้องในคดีแรก จึงส่งเรื่องไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งตนเห็นว่าเรื่องฟอกเงินไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ แม้นายอุตตมและนายชัยณรงค์จะไม่ถูกฟ้องในคดีแรกที่ศาลฎีกาตัดสิน แต่หากเขาทั้งสองคนไม่ลงชื่ออนุมัติสินเชื่อวงเงิน 8,000 ล้านบาทก็จะไม่มีโอกาสให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาท ถูกนำไปฟอกเงิน
“ผมมองว่าเรื่องของการเงินทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย ระบบการเงินของประเทศกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของชาติ เมื่อปรากฎเป็นข่าวว่าคดีฟอกเงินที่ดีเอสไอทำอยู่ มีความรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน และมีข่าวว่าจะไปเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น บางคนก็เป็นข่าว เช่น นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค ลูกชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เอกสารที่เป็นทางการเงินไปทางคนอื่นอีกหลาย ก็ยังไม่เป็นข่าว เช่น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ซึ่งผมก็ไม่มีหน้าที่หรือสิทธิที่จะไปตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่อยากให้ดีเอสไอทบทวนและสอบสวนขยายผลอีกครั้ง” นายวันชัย กล่าว
ทนายอิสระ กล่าวด้วยว่า อยากให้มีการทบทวน เพราะที่มาของเงิน 3,000 กว่าล้านบาท ถ้าไม่มีคนที่ทำให้ 3,000 กว่าล้านบาทนี้มาฟอกเงินได้ ก็จะไม่มีคดีฟอกเงิน ส่วนจะผิดหรือไม่ผิดคดีฟอกเงินหรือไม่ พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนให้สิ้นกระแสความ ต้องทำตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความให้ครบถ้วน หากไม่เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ทำสำนวน ไม่สรุปความเห็นสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง ตนก็ยังมีความคลางแคลงใจว่ายังไม่สิ้นกระแสความ หากยังไม่ปรากฎว่าบุคคลดังกล่าวถูกพิจารณาในส่วนของคดีฟอกเงิน ก็อาจจะนำเสนอต่อศาลคดีอาญาทุจริตต่อไป
“ผมมีมุมมองว่านายอุตตมและนายชัยณรงค์ลงชื่อครบ 5 คน ถึงทำให้สินเชื่อวงเงิน 8,000 ล้านบาทอนุมัติได้ ถึงเป็นเหตุให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาทถูกนำมาฟอกเงินได้ ส่วนคดีแรกแม้จะไม่ถูกฟ้อง ก็ไม่มีกฎหมายไหนบอกว่าจะไม่ผิดฐานฟอกเงิน ดังนั้น การสอบสวนจะต้องทำให้สิ้นกระแสความ และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่เป็นหน้าที่ของดีเอสไอที่มีมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตามไม่ได้พูดว่าใครผิด แต่พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนให้สิ้นกระแสความ” ทนายความอิสระ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่เดินทางมาในวันนี้ เพราะทราบใช่หรือไม่ ว่าคดีฟอกเงินของนายพานทองแท้ใกล้จะเสร็จแล้ว นายวันชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะตนตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ส่วนกรณีของนายพานทองแท้ หรือกรณีของบุคคลที่มีชื่อการรับเงินไปหลายคนดีเอสไอทราบว่าเป็นใคร ไม่ใช่เฉพาะกรณีของนายพานทองแท้ หากจะดำเนินการสอบสวนจริงก็ควรปรากฎเป็นข่าวมากกว่านั้น
ถามด้วยว่า เพราะคดีดังกล่าวใกล้จะสรุปสำนวนแล้ว จึงเดินทางมาร้องเพิ่ม เพื่อให้คดียืดระยะเวลาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการอีกหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะสืบเนื่องจากดีเอสไอมีหนังสือตอบกลับไปหาตนอย่างเป็นทางการ และตนแนบหนังสือดังกล่าวมากับเอกสารที่นำมาร้องในวันนี้ด้วย ซึ่งตนมาร้องไว้เมื่อปี 2559
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า หลังจากนี้จะรับเรื่องไว้ แล้วส่งให้กับสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 เพื่อดพิจารณาเพิ่มเติมว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนกรณีที่นายชัยณรงค์ และนายอุตตม ที่ยังไม่มีการพิจารณาสั่งฟ้อง กรณีที่มีการเซ็นอนุมัติสินเชื่อ 8,000 ล้านบาทจะไม่ขอก้าวก่าย หรือเข้าไปแสดงความคิดเห็น เนื่องจากเป็นดุลยพินิจของศาลฎีกาการเมือง
JJNY : “ทนายความอิสระ”ร้องดีเอสไอดำเนินคดีฟอกเงินอดีต 2บิ๊ก”กรุงไทย”ปล่อยกู้”กฤษดามหานคร”
นายวันชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากคดีของธนาคารกรุงไทยได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ว่ามีการกระทำความผิดในลักษณะของการปล่อยสินเชื่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ปล่อยมาเพื่อการชำระหนี้คืนธนาคารกรุงเทพ โดยปรากฎในเอกสารตามคำพิพากษาว่าเงิน 3,000 กว่าล้านบาท ที่ดีเอสไอกำลังสืบสวนสอบสวนกรณีฟอกเงินอยู่ มีที่มาที่ไปว่าธนาคารกรุงเทพได้ลดหนี้จาก 14,000 กว่าล้านบาท รับชำระหนี้ภายในเดือนธันวาคม 2546 เพียง 4,500 ล้านบาท เป็นเหตุให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาท ที่ได้รับการอนุมัติจากธนาคารกรุงไทยด้วยวงเงิน 8,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้คืน มีส่วน 3,000 กว่าล้านบาท นำมาสู่การฟอกเงิน
นายวันชัย กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2559 ได้เคยเดินทางมาร้องเรียนยังดีเอสไอแล้ว และดีเอสไอก็ได้ทำหนังสือตอบกลับไปว่า ธนาคารกรุงเทพไม่ได้ถูกดำเนินคดีในคดีแรก และไม่มีลักษณะเป็นการฟอกเงิน ส่วนนายอุตตม และนายชัยณรงค์ไม่ถูกฟ้องในคดีแรก จึงส่งเรื่องไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งตนเห็นว่าเรื่องฟอกเงินไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ แม้นายอุตตมและนายชัยณรงค์จะไม่ถูกฟ้องในคดีแรกที่ศาลฎีกาตัดสิน แต่หากเขาทั้งสองคนไม่ลงชื่ออนุมัติสินเชื่อวงเงิน 8,000 ล้านบาทก็จะไม่มีโอกาสให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาท ถูกนำไปฟอกเงิน
“ผมมองว่าเรื่องของการเงินทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย ระบบการเงินของประเทศกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของชาติ เมื่อปรากฎเป็นข่าวว่าคดีฟอกเงินที่ดีเอสไอทำอยู่ มีความรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน และมีข่าวว่าจะไปเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น บางคนก็เป็นข่าว เช่น นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค ลูกชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เอกสารที่เป็นทางการเงินไปทางคนอื่นอีกหลาย ก็ยังไม่เป็นข่าว เช่น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ซึ่งผมก็ไม่มีหน้าที่หรือสิทธิที่จะไปตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่อยากให้ดีเอสไอทบทวนและสอบสวนขยายผลอีกครั้ง” นายวันชัย กล่าว
ทนายอิสระ กล่าวด้วยว่า อยากให้มีการทบทวน เพราะที่มาของเงิน 3,000 กว่าล้านบาท ถ้าไม่มีคนที่ทำให้ 3,000 กว่าล้านบาทนี้มาฟอกเงินได้ ก็จะไม่มีคดีฟอกเงิน ส่วนจะผิดหรือไม่ผิดคดีฟอกเงินหรือไม่ พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนให้สิ้นกระแสความ ต้องทำตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความให้ครบถ้วน หากไม่เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ทำสำนวน ไม่สรุปความเห็นสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง ตนก็ยังมีความคลางแคลงใจว่ายังไม่สิ้นกระแสความ หากยังไม่ปรากฎว่าบุคคลดังกล่าวถูกพิจารณาในส่วนของคดีฟอกเงิน ก็อาจจะนำเสนอต่อศาลคดีอาญาทุจริตต่อไป
“ผมมีมุมมองว่านายอุตตมและนายชัยณรงค์ลงชื่อครบ 5 คน ถึงทำให้สินเชื่อวงเงิน 8,000 ล้านบาทอนุมัติได้ ถึงเป็นเหตุให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาทถูกนำมาฟอกเงินได้ ส่วนคดีแรกแม้จะไม่ถูกฟ้อง ก็ไม่มีกฎหมายไหนบอกว่าจะไม่ผิดฐานฟอกเงิน ดังนั้น การสอบสวนจะต้องทำให้สิ้นกระแสความ และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่เป็นหน้าที่ของดีเอสไอที่มีมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตามไม่ได้พูดว่าใครผิด แต่พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนให้สิ้นกระแสความ” ทนายความอิสระ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่เดินทางมาในวันนี้ เพราะทราบใช่หรือไม่ ว่าคดีฟอกเงินของนายพานทองแท้ใกล้จะเสร็จแล้ว นายวันชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะตนตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ส่วนกรณีของนายพานทองแท้ หรือกรณีของบุคคลที่มีชื่อการรับเงินไปหลายคนดีเอสไอทราบว่าเป็นใคร ไม่ใช่เฉพาะกรณีของนายพานทองแท้ หากจะดำเนินการสอบสวนจริงก็ควรปรากฎเป็นข่าวมากกว่านั้น
ถามด้วยว่า เพราะคดีดังกล่าวใกล้จะสรุปสำนวนแล้ว จึงเดินทางมาร้องเพิ่ม เพื่อให้คดียืดระยะเวลาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการอีกหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะสืบเนื่องจากดีเอสไอมีหนังสือตอบกลับไปหาตนอย่างเป็นทางการ และตนแนบหนังสือดังกล่าวมากับเอกสารที่นำมาร้องในวันนี้ด้วย ซึ่งตนมาร้องไว้เมื่อปี 2559
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า หลังจากนี้จะรับเรื่องไว้ แล้วส่งให้กับสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 เพื่อดพิจารณาเพิ่มเติมว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนกรณีที่นายชัยณรงค์ และนายอุตตม ที่ยังไม่มีการพิจารณาสั่งฟ้อง กรณีที่มีการเซ็นอนุมัติสินเชื่อ 8,000 ล้านบาทจะไม่ขอก้าวก่าย หรือเข้าไปแสดงความคิดเห็น เนื่องจากเป็นดุลยพินิจของศาลฎีกาการเมือง