[CR] แบกเป้เที่ยวเมียนมาร์ 7 วัน 5 เมือง ด้วยงบไม่ถึงหมื่น ตอนที่ 2 ผจญภัยในอาณาจักรแห่งทะเลเจดีย์

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงเมืองพุกาม
เวลา 4.00 น. รถที่นั่งมาจอดให้เราลงสถานีขนส่งเขตณองอู (Nyaung-U Bus station) เดินลงรถมาฟ้ามืดสนิท มีแสงไฟจากอาคารรอบๆ อากาศเย็นสบาย ไม่นานก็มีกองทัพแท็กซี่มามะรุมมะตุ้มเรา พูดอะรูมิไร้ (นึกในใจ ทำไงถึงจะฝ่ากองทัพพม่ารามันออกไปได้ 55+) เราพยายามเดินหนีพร้อมกับเปิด GPS กะว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อ่านในรีวิวมาเขาบอกมีรถม้าด้วย มองไปรอบๆ เห็นแต่แท็กซี่ที่ยืนล้อมเราอยู่ มีหลายคนมาเสนอราคาให้กับเราพร้อมเปิดแผนที่แนะนำต่างๆ นานา ราคาเสนอเริ่มที่ 35,000 จ๊าด/คัน พาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและพาไปส่งที่โรงแรม (แพงมากๆ) ดูใน GPS ถ้าเดินเข้าเขต Nyaung-U มันแค่ 6 ก.ม. ที่พุกามมี 3 เขต คือเขต Nyaung-U (ที่มีเจดีย์ชเวชิกองตั้งอยู่) เขต Old Bagan (ป่าเจดีย์) และเขต New Bagan (เขตเมืองใหม่)


เนื่องจากผมจองที่พักอยู่ในเขต Nyaung-U ถ้าจะเดินไปก็กลัวว่าจะไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น จึงตัดสินใจยอมจ่ายค่าแท็กซี่ให้เขาพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เขต Old Bagan แล้วกลับมาส่งที่โรงแรม ต่อรองราคาได้ 20,000 จ๊าด (เหมา) ในที่สุดก็มีแท็กซี่ยอมพาเราไป ระหว่างทางมืดมากมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีไฟสักดวง เราคิดถูกแล้วที่ไม่เดิน ก่อนเข้าเมืองนั้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องจ่าย 25,000 จ๊าด/คน (แพงมาก) แต่แท็กซี่ไม่พาเราจอดจ่ายตรงนี้ เขาบอกเดี๋ยวค่อยไปจ่ายที่ Shwesandaw Paya ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ระหว่างทางแท็กซี่ถามว่าจะกินอะไรรองท้องก่อนไหม แต่ก็ไม่ได้กินหรอกครับเพราะด้วยความตื่นเต้นที่อยากจะขึ้นไปรอชมพระอาทิตย์ก่อนใครที่เจดีชเวซันดอร์

อ่านตอนที่ 1 ย้อนหลังได้ที่ https://pantip.com/topic/36507616/comment2

เราเดินทางมาก็ยังมืดๆ อยู่เลย มองขึ้นไปบนเจดีย์เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวมารอแล้ว 4 คน การขึ้นเจดีย์ทุกเจดีย์และวัดทุกแห่งจะต้องถอดรองเท้าและถุงเท้า ถ้าไม่อยากให้หายควรเอาถูกพลาสติกไปด้วยแล้วเก็บใส่ในกระเป๋า พอปีนขึ้นไปบนเจดีย์กะว่าจะไปจุดสูงสุดแต่เข้าห้ามขึ้นเพราะกำลังบูรณะ เผลมาจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อปีที่แล้วซึ่งเกิดที่เมืองพุกามแห่งนี้
51/000/or6eylwb1bp17qZoljC-o.jpg[/img]
นั่งชิวกันอยู่นานท้องฟ้าก็เริ่มเผยแสง เจดีย์น้อยใหญ่ก็เริ่มเผยโฉมออกมาขึ้นมา OMG! ครั้งแรกที่ได้เห็นของจริง (ปกติเห็นแต่ในรูป) มันสวยมากกกกกกกกกก เกินคำบรรยาย

Shwesandaw Paya นับว่าเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในเมืองพุกามและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุด

และในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

คิดเหมือนกันไหมครับว่าในภาพมีอะไรหายไป

ใช่แล้ว บอลลูนหายไป ผมพึ่งทราบมาว่าจะนี้เป็น low Season ถ้าอยากเห็นบอลลูนต้องมาช่วง Hight season นะครับ บอลลูนจะเผยโฉมในช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงมีนาคม

เคยมีนักประวัติศาสตร์อังกฤษกล่าวไว้ว่า “see Angkor Wat and die, see Bagan and Live” น่าจะแปลได้ว่า เกิดมาในชีวิตนี้สิ่งที่ต้องมาเห็นให้ได้ในชาตินี้คือมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่พุกาม และจะต้องไปชมพระอาทิตย์ตกที่นครวัดให้ได้ก่อนตาย (แปลซะยาวเลยไม่แน่ใจว่าถูกไหม แต่ผมแปลจากความรู้สึกที่ได้มาเห็นครบทั้งสองที่แล้ว) มันสุดยอดจริงๆ


สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มที่ครับคุณเพื่อน 55+

แบกเป้ทีไรก็ได้เป็นทั้งนักท่องเที่ยวและคนถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยว hahaha

หลังจากอิ่มหนำสำราญกับบรรยากาศเมืองเก่าพุกามในยามเช้าแล้วก็เดินลงเจดีย์เพื่อกลับที่พัก แน่นอนว่าก่อนลงจะต้องผ่านด่านนี้ไปก่อน นั่นคือด่านแม่ค้า 55+

ก่อนจะออกจากบริเวณเจดีย์องค์นี้ก็มาเจอด่านเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมือง ซึ่งเราสามารถจ่ายที่นี่ได้เลย 25,000 จ๊าด (ค่าเข้าเมือง=ค่าชมแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดในพุกาม) เก็บไว้ดีๆนะครับ เพราะถ้าไปเที่ยวตามวัดหรือเจดีย์ต่างๆ จะมีคนคอยตรวจบัตรนี้ ถ้าทำหายอาจจะต้องได้ซื้อใหม่ในราคาเดิม จากที่ผมเคยดูในรายการหนังพาไปมีนักท่องเที่ยวหลายคนพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ แต่ในที่สุดเขาก็จะหาคุณจนเจอ (อาจจะตามหาจากเอกสารที่กรอกลงไปตามที่พัก)


จากนั้นแท็กซี่ก็พาเรามาส่งที่ Shwe Na Di Guest House ที่จองไว้ผ่าน agoda.com มาแล้ว ราคาห้องละ 680/คืน รวมอาหารเช้า เนื่องจากเรามาถึงที่พักก่อนเวลาเช็คอินคือ 12.00 น. จึงฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมและเช่าจักรยานคันละ 1,500 จ๊าด/วัน ซึ่งมีให้เช้าที่โรงแรมเลย ตอนแรกจะเช่ารถจักรยายนต์(ไฟฟ้า) แต่คันละ 5,000 จ๊าด/วัน งั้นเอาจักรยานก็ได้งะ ด้วยความหิวข้าวเลยปั่นไปหาอะไรกินสักหน่อย
ปั่นมาทางเจดีย์ชเวชิกอง เจอร้านอาหารริมทาง น่าจะเป็นร้านอาหารเช้าเพราะคนมากินเยอะมาก อีกอย่างเห็นไม้ตะเกียบเลยจอดเพราะคิดว่าคงจะมีเมนูคู่ใจของเราคือ บะหมีเย็นตาโฟ (ผมตั้งชื่อเอง เพราะไม่รู้ที่พม่าเรียกอะไร น่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวพม่า)
ใช่แล้ว มันคือบะหมีเย็นนตาโฟ ราคาชามละ 400 จ๊าด รสชาติอร่อยมาก มีผักดองให้กินคู่กัน ด้วยบรรยากาศของร้านที่นั่งกินบนพื้นทรายใต้ร่มไม้ (นึกว่าริมทะเลซะอีก ที่ไหนได้ริมทางดีๆนี่เอง) อรรถรสเลย

อิ่มแล้วก็มาเอารถจักรยาน ปรากฏว่าเอากุญแจเปิดที่ล็อกไม่เป็น พยายามเปิดกัยอยู่พักใหญ่จนมีผู้ใจดีจากโต๊ะที่นั่งกินข้าวมาช่วย Thank you so much จากนั้นก็ปั่นๆ สองขาปั่นๆ ไปชมเจดีย์ชเวชิกอง บรรยากาศริมถนนเต็มไปด้วยต้นไม้ รถไม่เยอะ
ระหว่างทางก็เห็นร้านจิบกาแฟ เคยเห็นแต่เขารีวิวมาว่าอาหารเช้าควรลองกาแฟหรือชากับปาท่องโก๋ทอด ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยกินกาแฟ ไหนๆมาถึงแล้วเลยสั่งกาแฟ 2 ถ้วย กับปาท่องโก๋ยักษ์ 1 ชิ้น กินด้วยกันกับเพื่อ อร่อยมาก กาแฟไม่ขมแต่ออกรสชาติมันหน่อยๆ จ่ายไป 1,000 จ๊าด/2คน

อิ่มแล้วก็ปั่นๆ สองขาปั่น มาที่วัดชเวชิกอง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากในตัวเมืองพุกามเขตญองอูมากนัก สามารถสังเกตเห็นได้จากริมถนนเลย บริเวณหน้าวัดจะมีคนขายดอกไม้แล้วกวักมือให้เราเอาจักรยานไปจอด ผมกลัวเสียค่าจอด (เพราะเคยดูในรายการหนังพาไปจะมีคนเฝ้าจักรยานให้และเสียค่าจอดครั้งละ 3 บาท) เราเลยขอจอดห่างๆ สมมติว่าเราไปชมเจดีย์ 100 องค์ เราก็ต้องจ่ายที่ละ 3 บาท อันนี้ก็ไม่ไหวเนาะ 55+ การเข้าชมเจดีย์ชเวชิกอง (Shwe See Khone Pagoda) จะต้องถอดรองเท้าและถุงเท้ามาตั้งแต่ทางเข้าวัด แล้วอย่าลืมใส่ถุงพลาสติกยัดใส่กระเป๋าเรามาด้วยนะครับ ความร้อนไม่ต้องพูดถึง พื้นร้อนมาก ถ้าลูกคุณหนูหน่อยเท้าอาจจะพอง แต่เสียดายเราเป็นลูกชาวนา เท้ามันเลยด้านไปหมดแล้ว 55+

เจดีย์ชเวชิกองเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเมียนมาร์ และป็นต้นแบบศิลปกรรมของเจดีย์ในอาณาจักรพุกามในยุคนั้น เจดีย์องนี้สร้างด้วยทองคำ โดยโบราณราชเพณีในยุคก่อนเชื่อว่ากษัตริย์องค์ใดได้ขึ้นครองราชย์ ต้องนำทองเท่ากับน้ำหนักตัวของพระองค์มาบูรณะเจดีย์
เชื่อกันว่าถ้าอยากมองเห็นยอดของเจดีย์ชเวชิกองต้องมองผ่านบ่อน้ำเล็กๆ นี้ ซึ่งอยู่บริเวณองค์เจดีย์ (ผมลองไปส่องดูแล้ว เห็นจริงๆ Amazing มาก)
จากเจดีย์ชเวชิกอง เราปั่นจักรยานมาทางเขตเมืองเก่าประมาณ 3 กม. ไม่รู้จะเริ่มต้นเที่ยวเจดีย์ไหนก่อน เลยใช้แนวคิดที่ว่า ปั่นไปเรื่อยๆ เห็นเจดีย์ที่ไหนก็แวะ อันไหนสวยก็แวะ เจดีย์องค์ไหนเห็นสูงๆ อยู่ไกลๆ ก็ปั่นไปหา และนี่คือวัดแรกที่เราเข้าไป  วัดแรกนี้ก็ตามป้ายเลยครับคุณผู้อ่าน
อากาศร้อนมาก ถนนก็เป็นดินทรายแดง ปั่นจักรยานเข้าไปก็ยากหน่อยๆ

ภายในเจดีย์แต่ละวัดก็จะมีพระพุทธรูปลักษณะนี้ 4 ทิศ และที่ขาดไม่ได้คือจะมีชาวบ้านมานั่งวาดภาพขายอยู่ตามเจดีย์
วัดไหนใกล้ริมถนนหลัก(ลาดยาง) ก็ปั่นเข้าไปชม

วัดนี้ชื่อ Shwe Leik ห่างจากถนนหลัก 140 เมตร ไฮต์ไลต์ของวัดนี้คือสามารถปีนขึ้นไปด้านบนของวัดชมมุมสูงของอาณาจักรพุกามได้
ทางขึ้นแคบๆ มืดด้วย คนตัวใหญ่ขึ้นไม่ได้นะครัช

จะมีช่องเล็กๆ ขึ้นมาโผล่ด้านบน

อีกมุมหนึ่งของการชมอาณาจักรพุกามในมุมสูง แต่ก็ไม่สูงมาก

ระหว่างทางที่ปั่นจักรยาน ก็จะเห็นรถม้าที่นักท่องเที่ยวที่ชอบความสะดวกสบาย มีตังค์ก็จะนั่งรถม้าชมอาณาจักรพุกาม  เหมาทั้งวันประมาณ 30,000-35,000 จ๊าด เขาพาชมเจดีย์สำคัญๆ ครบเลย แต่ถ้ามันกันเยอะๆ ก็ลองใช้บริการดูครับ ได้บรรยากาศสุดๆ

สำหรับวัดนี้ชื่อ วัดทิโลมินโล (Htilominlo Temple)  สามารถมองเห็นได้จากไกลๆเลยครับ เพราะว่ามีความสูงสวยงามและตั้งอยู่ริมถนนเส้นหลักเลย เป็นเจดีย์ที่สร้างโดยพระเจ้านาตองมยา วัดแห่งนี้อายุราว 799 ปี ส่วนมูลเหตุในการสร้างเกี่ยวกับการขึ้นครองบัลลังก์ของพระองค์ (ประวัติความเป็นมาหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็ปต่างๆนะครับ)

ก่อนจะเข้าวัดก็ต้องฝ่าด่านแม่ค้าและถอดรองเท้าถุงเท้าก่อน (ผมแนะนำเลยว่ามาเที่ยวพุกามควรใส่รองเท้าแตะเที่ยว) ก่อนเข้าไปในวัดจะมีคนรอตรวจตั๋วเข้าเมือง ให้ใช้ตั๋วที่เราจ่าย 25,000 โชว์ต่อเจ้าหน้าที่ได้เลย วัดแห่งนี้ ส่วนด้านในก็เหมือนๆกันกับวัดอื่นคือจะมีพระพุทธรูปอยู่ 4 ทิศ จะต่างกันตรงที่พระพุทธรูปจะใหญ่และสวยไปตามขนาดของเจดีย์หรือวัตถุประสงค์ในการสร้างเท่านั้นเอง บริเวณหน้าวัดแห่งนี้มีที่กดน้ำเย็น สามารถใช้ขวดน้ำเปล่าที่เราพกมาด้วยกรอกได้เลย (ควรจะตุนเสบียงไว้เพราะอากาศร้อนจัด)

ออกจากวัดทิโลมินโล ก็ปั่นออกมาเส้นข้างวัดเพื่อมายังวัดนี้ ชื่ออะรูมิไร้
ชื่อสินค้า:   Myanmar2017
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่