**ห้องเรียนคนรากหญ้า: "I Am Malala" มาลาลา ยูซาฟไซ สาวน้อยหัวใจเพชร ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพ** (ชุนเทียน)

สวัสดีค่ะ WM และเพื่อนๆ สมาชิกห้องราชดำเนิน

ยังติดค้างเรื่อง 36 กลยุทธ์ เพิ่งไปได้แค่กลยุทธ์แรกเอง แต่ไม่ลืมค่ะ จะกลับมาเขียนให้ครบ
พอดีมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และยังงานที่คั่งค้างอีกมาก
ระหว่างนี้ก็จะเปิดห้องเรียนนำเสนอเรื่องอื่นบ้าง คั่นรายการเป็นพักๆ ไป

วันนี้อยากจะนำเสนอเรื่องราวของสาวน้อยมหัศจรรย์คนหนึ่ง ที่เป็นข่าวดังก้องโลกเมื่อสัก 3-4 ปีที่แล้ว
หลายคนรู้จักเธอดี "มาลาลา ยูซาฟไซ" บางคนขนานนามเธอว่า สาวน้อยที่กล้าหาญที่สุดในโลก




เส้นทางชีวิตและการต่อสู้ของมาลาลา

มาลาลา ยูซาฟไซ เป็นเด็กหญิงชาวปากีสถาน อาศัยอยู่ในเขตสวัต
เมื่อเธออายุ 11 ปี กลุ่มก่อการร้ายตาลีบันได้แผ่อิทธิพลมาถึงเขตที่อยู่ของเธอ
และประกาศห้ามเด็กผู้หญิงทุกคนไปโรงเรียน

ไม่เพียงเธอฝ่าฝืนคำสั่งโดยไปโรงเรียนเท่านั้น เธอยังรณรงค์อย่างต่อเนื่อง
เพื่อเรียกร้องสิทธิให้เด็กผู้หญิงได้ไปโรงเรียน ทั้งที่เธออายุได้เพียง 11 ขวบ

มาลาลาบันทึกเรื่องของเธอลงเป็น blog ของเว็บไซต์ BBC จนมีผู้สนใจอย่างมาก
ไม่นานหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ได้มาถ่ายทำสารคดีชีวิตของเธอ
ทำให้เธอมีชื่อเสียง และได้รับเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัลเยาวชนเพื่อสันติภาพ

กลุ่มตาลีบันพยายามข่มขู่เธอหลายครั้ง เมื่อไม่สามารถหยุดเธอได้ พวกเขาจึงส่งคนมาสังหารเธอ
ตอนนั้นเธออายุเพียง 15 ปี

วันที่ 9 ต.ค. 2555 วันเกิดเหตุมือสังหารจี้รถโรงเรียนให้หยุด แล้วขึ้นไปกล่าวว่า
"คนไหนคือมาลาลา ถ้าไม่มีใครรับฉันจะฆ่าพวกแกทุกคน" พอทราบตัวมาลาลาจึงได้ยิงเข้าที่ศีรษะของเธอ

เธอถูกยิงเข้าที่ศีรษะ โอกาสรอดน้อยมาก กระสุนทะลุผ่านศีรษะของมาลาลาทำให้สมองซีกซ้ายได้รับบาดเจ็บ
เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที  นอกจากมาลาลาแล้ว เพื่อนนักเรียนสองคนในรถก็ได้รับบาดเจ็บถูกยิงด้วย




มาลาลากับสีชมพู ปาฏิหาริย์ ได้สร้างสัญลักษณ์ระดับโลกของการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ

ผู้คนมากมายห่วงใยเธอ ทั้งครอบครัว เพื่อน ครู คณะแพทย์ นักการเมือง เศรษฐียูเออี และผู้คนทั่วโลก
พวกเขาพยายามรั้งลมหายใจของเธอไว้ และส่งตัวข้ามทวีปไปยังประเทศอังกฤษ

อาการของมาลาลาอยู่ในขั้นวิกฤต เป็นตายเท่ากัน แพทย์พยายามช่วยเหลือผ่าตัดหลายครั้งจนช่วยชีวิตไว้ได้

ปาฏิหาริย์มีจริง เธอรอดชีวิต



สังคมเครือข่ายออนไลน์ จะพบรูปภาพเด็กหญิงทั้งเด็กนานาชาติใช้ผ้าสีชมพูคลุมศีรษะแบบมาลาลากันคึกคัก
มีทั้งที่ใช้รณรงค์เรื่องสิทธิเด็ก สิทธิในการศึกษา ไปจนถึงเป็นชุดแฟนซีที่แต่งกันในวันฮัลโลวีน

ที่มาของผ้าคลุมสีชมพูนี้มาจากหน้าปกของหนังสืออัตชีวประวัติ
"I Am Malala เด็กหญิงที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิแห่งการศึกษาและถูกตาลิบันยิงศีรษะ"
เริ่มตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเมื่อเดือนตุลาคมปี พ.ศ.2556

เนื้อหาในเล่มมีส่วนหนึ่งที่บอกว่ามาลาลาชอบสีชมพูมาก ในตอนที่เธอเพิ่งฟื้นจากการผ่าตัดเอากระสุนออก
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะไปซื้อผ้าคลุมศีรษะตามชุดท้องถิ่นของชาวพัชตุนให้มาลาลา จึงถามเด็กสาวว่าชอบสีอะไร

มาลาลากล่าวว่า "แน่นอน ฉันตอบว่าสีชมพู"



ผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่อายุน้อยที่สุดในโลก

วันศุกร์ที่ 10 ต.ค.57 มาลาลา ยูซาฟไซ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกับนายไกลาศ สัตยาธี
นักเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้แรงงานเด็กในอินเดีย

ไม่เพียงพวกเขาไม่สามารถสังหารเธอได้ แต่ยังไม่สามารถดับความหวังและความฝันของเธอ
กลับกลายเป็นยิ่งส่งเสริมให้เธอเปล่งประกายอยู่ในใจของคนทั่วโลก

เธอกลายเป็น "ไอคอน" และ "ไอดอล" ของเด็กสาวทั้งชาวตะวันออกและชาวตะวันตกด้วย



ในวันไปกล่าวสุนทรพจน์ที่เวทีสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ตามคำเชิญของนายบัน คีมุน เลขาธิการยูเอ็น
เป็นอีกครั้งที่มาลาลาเลือกชุดสีชมพู สีโปรด



สุนทรพจน์สะท้านโลกที่ “ยูเอ็น”

“เราเรียกร้องให้ทุกรัฐบาลในโลกนี้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย เพื่อที่จะปกป้องเด็กและเยาวชนจากอันตราย
เราเรียกร้องให้ยูเอ็นขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กทุกคนในโลกนี้”

“ความปราถนาของข้าพเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งความหวังและความฝันที่ข้าพเจ้ามียังคงเดิม”

“ถ้าหากผู้หญิงและเด็กลุกขึ้นเพื่อเรียกร้องในสิทธิ์ของพวกเธอ ไม่มีใครที่สามารถจะหยุดพวกเธอได้”

“และถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเรามุ่งหวังแล้ว
ให้พวกเราทำให้ตัวเองแข็งแกร่งด้วยความรู้และปกป้องตัวเองด้วยความเป็นหนึ่งเดียว”

“ข้าพเจ้าไม่เป็นปรปักษ์กับผู้ใด หรือการที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้
ไม่ได้ต้องการกล่าวเป็นปรปักษ์กับกลุ่มตอลิบานหรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นแต่อย่างใด
ข้าพเจ้ามายืนในที่นี้เพียงเพื่อต้องการพูดแทนเด็กทุกคนในโลกในการขอโอกาสทางการศึกษาให้กับทั้งเขาและเธอเหล่านั้น”

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


มาลาลาเผยถึงการเขียนสุนทรพจน์นี้ว่า

"ฉันไม่ได้เขียนสุนทรพจน์นี้ให้กับคนที่เข้ามาร่วมงานกับสหประชาชาติฟังเท่านั้น
ฉันเขียนขึ้นเพื่อทุกคนทั่วโลกที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้...
ลึกๆ ในใจ ฉันหวังว่าคำพูดของฉันจะช่วยปลุกความกล้าหาญในใจเด็กทุกคนและลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเอง"



มาลาลา หัวใจเธอมันน่ากราบ

ถึงแม้เธอจะมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้รับรางวัลมากมาย แต่ที่บ้านเกิดเธอ ปากีสถาน เธอกลับมีทั้งคนชื่นชมและต่อต้าน
นั่นเพราะ ธรรมเนียมของสังคมเธอจะยกย่องให้ผู้ชายเป็นผู้นำ ผู้หญิงต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
การที่เธอลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเช่นนี้ ย่อมทำให้หลายคนไม่พอใจ

ปัจจุบัน มาลาลา ยูซาฟไซ เปิดโรงเรียนสำหรับเด็กหญิง (Malala Yousafzai All-Girls School)
เพื่อผู้ลี้ภัยชาวซีเรียในประเทศเลบานอนใกล้กับชายแดนของประเทศซีเรีย

มาลาลากล่าวเนื่องในวันเกิดอายุครบรอบ 18 ปีของเธอว่า...

"วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ และในฐานะตัวแทนของเด็กทั่วโลก
ฉันขอวิงวอนไปยังบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ให้ลงทุนในงบประมาณประเทศด้วยหนังสือแทนอาวุธ"



"การศึกษาคืออาวุธที่ทรงพลัง ที่จะสามารถต่อกรกับความรุนแรง การก่อการร้าย
การใช้แรงงานเด็กและความไม่เท่าเทียม
ปากกาและหนังสือจะนำเราทุกคนไปสู่หนทางที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา
"




เรียบเรียงจาก (ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ)
https://pantip.com/topic/30944869
https://www.amnesty.or.th/news/press/663
https://pantip.com/topic/30729980
https://pantip.com/topic/32705565
http://www2.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125823
https://women.kapook.com/view71675.html


ขอคารวะ หัวใจเพชร ของมาลาลา ผู้กล้าหาญ ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในการศึกษาของเด็กผู้หญิง
แม้จะต้องอยู่ในภาวะที่เสี่ยงกับชีวิต ได้รับแรงต้านจากสังคมที่เธออยู่เพราะขนบธรรมเนียมเดิมๆ

น่าเสียดายเหลือเกิน ในดินแดนบางแห่ง ทั้งที่มีปัจจัยหลายประการที่เอื้ออำนวยต่อการให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
มีโอกาสที่ประเทศเจริญรุดหน้า แต่คนบางกลุ่มกลับยินดีถูกพันธนาการ ยินดีถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพ
ยินดีหยิบยื่นสิทธิอันพึงมีของประชาชนด้วยกันเองให้คนอื่นกดขี่

สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกท่านค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิด้านใดก็ตาม
ขอให้ต่อสู้ในแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อสิทธิที่ชอบธรรม สำหรับสังคมที่ดีงามและคนรุ่นหลัง


แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่ชุนเทียนมานำเสนอ


สุนทรพจน์เต็ม 'มาลาลา' ที่ยูเอ็น ย้ำการศึกษาต้องมาก่อน
Sat, 2013-07-13 15:11

สุนทรพจน์ฉบับเต็มของมาลาลามีดังนี้

เรียน ท่านเลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มุน ประธานที่เคารพแห่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ วุค เจเรมิค ทูตพิเศษแห่งสหประชาชาติเพื่อการศึกษาทั่วโลก กอร์ดอน บราวน์ ทุกท่านที่เคารพ และพี่น้องทุกคนของข้าพเจ้า: ขอสันติภาพจงมีแด่ทุกท่าน

วันนี้เป็นเกียรติของข้าพเจ้าอย่างยิ่งที่ได้พูดอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนาน การได้มาอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่านผู้มีเกียรติทุกคนนับเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในชีวิต และข้าพเจ้ายังรู้สึกได้รับเกียรติอีกด้วยที่วันนี้ได้สวมใส่ผ้าคลุมไหล่ของบานาเซียร์ บุตโต (อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน) ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดตรงไหนดี ไม่รู้ว่าคนจะคาดหวังให้ข้าพเจ้าพูดอะไรบ้าง แต่อย่างแรก ขอขอบคุณพระเจ้าที่ได้สร้างเราขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยภาวนาให้ข้าพเจ้าฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสำหรับชีวิตใหม่ ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกคนได้แสดงความรักที่มีต่อข้าพเจ้ามากเพียงใด ข้าพเจ้าได้รับการ์ดอวยพรเป็นพันๆ ใบ และของขวัญจากทั่วโลก ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณเด็กๆ ทุกคนที่คำพูดของพวกเขาได้ให้กำลังใจข้าพเจ้า ขอขอบคุณผู้ใหญ่ที่ช่วยภาวนาให้ข้าพเจ้าเข้มแข็งขึ้น ขอขอบคุณพยาบาล คุณหมอ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนในปากีสถาน อังกฤษ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ช่วยให้ข้าพเจ้าดีขึ้นและฟื้นฟูกำลังวังชาของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าสนับสนุนเลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มุน อย่างเต็มที่สำหรับโครงการการริเริ่มการศึกษาทั่วโลก และงานด้านการศึกษาทั่วโลกของทูตพิเศษยูเอ็นกอร์ดอน บราวน์ และประธานสมัชชาใหญ่ยูเอ็น วุค เจเรมิค ข้าพเจ้าขอขอบคุณความเป็นผู้นำของท่านที่ยังคงมีเรื่อยมา มันเป็นแรงบันดาลใจสำหรับพวกเราทุกคนในการทำงาน และสำหรับพี่น้องทุกคน จำไว้หนึ่งอย่างว่า วันมาลาล่า ไม่ใช่วันของข้าพเจ้า แต่เป็นวันของผู้หญิงทุกคน เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงทุกคนที่ส่งเสียงสู้เพื่อสิทธิของพวกเขาเอง

มีนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและคนทำงานด้านสังคมหลายร้อยคน ที่มิได้ลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่ต่อสู้เพื่อบรรลุเป้าหมายของการสร้างสันติภาพ การศึกษา และความเท่าเทียม มีคนหลายพันคนถูกผู้ก่อการร้ายฆ่า และบาดเจ็บอีกหลายล้านคน ข้าพเจ้าเป็นเพียงหนึ่งคนในนั้น ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ เป็นเพียงเด็กหญิงผู้หนึ่งจากหลายๆ คน ข้าพเจ้ามิได้พูดเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อให้ได้ยินคนที่ไม่มีเสียงด้วย คนเหล่านั้นที่ได้ต่อสู้เพื่อสิทธิของเขา สิทธิในการอยู่ในสันติภาพ สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี สิทธิเรื่องความเท่าเทียมด้านโอกาส สิทธิในการได้รับการศึกษา

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2012 กลุ่มตาลิบันได้ยิงข้าพเจ้าที่ศีรษะข้างซ้าย พวกเขายังยิงเพื่อนของข้าพเจ้าด้วย พวกเขาคิดว่ากระสุนจะทำให้เราเงียบเสียงได้ แต่พวกเขาล้มเหลว และจากความเงียบงันนั้นยิ่งมีเสียงนับพันก่อเกิดขึ้น พวกก่อการร้ายคิดว่าจะทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนเป้าหมายและหยุดความตั้งใจได้  แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตของข้าพเจ้าเลย ยกเว้นว่า ความอ่อนแอ ความกลัว และความสิ้นหวังได้ตายลงไป แต่ความเข้มแข็ง พลัง และความกล้าหาญได้เกิดขึ้นมาใหม่ ข้าพเจ้ายังเป็นมาลาล่าคนเดิม ความตั้งใจของข้าพเจ้ายังคงเหมือนเดิม ความหวังของข้าพเจ้ายังเหมือนเดิม และความฝันของข้าพเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิม

พี่น้อง ข้าพเจ้ามิได้ต่อต้านใคร และข้าพเจ้าก็มิได้มาพูดตรงนี้จากความอยากแก้แค้นส่วนตัวต่อกลุ่มตาลีบันหรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ข้าพเจ้ามาพูดที่นี่เพื่อสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาสำหรับเด็กทุกคน ข้าพเจ้าต้องการให้ลูกหลานของตาลีบัน และกลุ่มก่อการร้าย กลุ่มสุดขั้วอื่นๆ ได้รับการศึกษาเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเกลียดตาลีบันผู้ที่ยิงข้าพเจ้าเลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้หากข้าพเจ้ามีปืนอยู่ในมือ และเขายืนอยู่หน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ยิงเขา นี่เป็นความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากศาสดามูฮัมหมัด ผู้สั่งสอนเรื่องความเมตตา พระเยซู และพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน นี่เป็นหนึ่งตำนานการเปลี่ยนแปลงที่ข้าพเจ้าได้รับมาจากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เนลสัน แมนเดลา และโมฮัมเหม็ด อาลี จินนาห์

นี่เป็นปรัชญาของสันติวิธีที่ฉันเรียนรู้มาจากคานธี บาชา คาห์น และแม่ชีเทเรซ่า นี่เป็นการให้อภัยที่ฉันได้เรียนรู้มาจากบิดาและมารดาของข้าพเจ้า นี่คือสิ่งที่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าบอกตัวเอง ให้มีความสันติและความรักต่อทุกคน

พี่น้อง เราเห็นความสำคัญของแสงสว่างเมื่อเรามองเห็นความมืดมน เราเห็นความสำคัญของเสียงเมื่อเราถูกทำให้เงียบงัน เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยู่ในเขตสวาต ตอนเหนือของปากีสถาน เราเห็นความสำคัญของปากกาและหนังสือเมื่อเราเห็นปืน มีคำพูดที่กล่าวว่า "ด้ามปากกาทรงพลังกว่าดาบ" มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ กลุ่มสุดขั้วกลัวหนังสือและปากกา พลังของการศึกษาทำให้เขาหวาดกลัว พวกเขาหวาดกลัวผู้หญิง พลังของเสียงผู้หญิงทำให้พวกเขาหวาดกลัว นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดพวกเขาถึงฆ่านักเรียนบริสุทธิ์ 14 คนในการโจมตีเมื่อเร็วๆ นี้ที่เควตตา ว่าทำไมเขาถึงสังหารครูผู้หญิง ว่าทำไมพวกเขาถึงปาระเบิดใส่โรงเรียนทุกๆ วัน เพราะพวกเขากลัวความเปลี่ยนแปลงและความเท่าเทียมที่เราจะนำมาสู่สังคมของเรา และเรายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งมีนักข่าวถามเด็กชายคนหนึ่งในโรงเรียนว่า "ทำไมพวกตาลีบันถึงต่อต้านการศึกษา" เขาตอบอย่างเรียบง่ายด้วยการชี้ไปที่หนังสือ และตอบว่า "พวกตาลีบันไม่รู้ว่าในหนังสือมีอะไรเขียนอยู่"

พวกเขาคิดว่า พระเจ้าเป็นคนเล็กๆ อนุรักษ์นิยมแคบๆ ที่จะเอาปืนยิงใส่คนที่ไปโรงเรียน พวกก่อการร้ายเหล่านี้ใช้ชื่ออิสลามในทางผิดๆ เพื่อรับใช้ประโยชน์ของตัวเอง ปากีสถานเป็นประเทศที่รักสันติภาพและเป็นประชาธิปไตย พวกชนเผ่าพัชตุนก็อยากให้ลูกสาวลูกชายของเขาได้รับการศึกษา อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ มนุษยชาติและภราดรภาพ อิสลามบอกว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา สันติภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษา ในหลายๆ แห่งของโลกนี้ โดยเฉพาะในปากีสถานและอัฟกานิสถาน การก่อการร้าย สงคราม และความขัดแย้ง ต่างเป็นอุปสรรคไม่ให้เด็กๆ สามารถไปโรงเรียนได้ เราเหนื่อยกับสงครามเหล่านี้มาก มีผู้หญิงและเด็กทนทุกข์กำลังทรมานจากหลายๆ อย่างในหลายส่วนของโลก

ในอินเดีย เด็กๆ ผู้บริสุทธิ์และยากจนตกเป็นเหยื่อของการใช้แรงงานเด็ก โรงเรียนหลายแห่งในไนจีเรียถูกทำลาย ผู้คนในอัฟกานิสถานได้รับผลกระทบจากกลุ่มสุดขั้ว เด็กผู้หญิงต้องทำงานใช้แรงงานในบ้าน และถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งความยากจน ความไม่รู้ ความอยุติธรรม การเหยียดเชื้อชาติ และการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานต่างเป็นปัญหาหลักๆ ที่ทั้งชายและหญิงต้องเผชิญ

วันนี้ ข้าพเจ้าเน้นเรื่องสิทธิผู้หญิงและการศึกษาของเด็ก เพราะพวกเขาทนทุกข์ที่สุด แต่ก่อนนักเคลื่อนไหวผู้หญิงจะขอให้ผู้ชายช่วยลุกขึ้นยืนและช่วยต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา แต่ตอนนี้เราจะทำด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ผู้ชายถอยจากการพูดเรื่องสิทธิผู้หญิง แต่ข้าพเจ้ามุ่งเน้นให้ผู้หญิงเป็นอิสระและต่อสู้เพื่อตนเอง ฉะนั้น พี่สาวและพี่ชาย ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องลุกขึ้นยืน เราเรียกร้องให้ผู้นำโลกเปลี่ยนยุทธศาสตร์นโยบายที่จะนำไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง เราเรียกร้องให้การเจรจาตกลงต่างๆ ต้องเป็นไปเพื่อพิทักษ์สิทธิของสตรีและเด็ก และข้อตกลงที่ขัดต่อสิทธิสตรีเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

เราเรียกร้องต่อรัฐบาลทุกแห่งให้รับรองว่าจะจัดการศึกษาภาคบังคับที่ฟรีทั่วโลกสำหรับเด็กทุกคน เราเรียกร้องให้รัฐบาลทุกแห่งต่อสู้กับการก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรง ให้พิทักษ์เด็กๆ จากความทารุณและภัยอันตราย เราเรียกร้องประเทศที่พัฒนาแล้วให้สนับสนุนการขยายโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงในประเทศที่กำลังพัฒนา เราเรียกร้องให้ชุมชนทุกแห่งมีความอดทนอดกลั้น ปฏิเสธอคติที่เกิดจากชนชั้น เผ่า กลุ่ม สีผิว ศาสนา หรือวาระเพื่อสร้างเสรีภาพและความเท่าเทียมให้ผู้หญิงเพื่อพวกเขาจะได้เจริญรุ่งเรือง พวกเราไม่สามารถสำเร็จได้หากครึ่งหนึ่งของเรายังคงถูกรั้งท้าย เราเรียกร้องไปยังพี่สาวน้องสาวทั่วโลกให้กล้าหาญ น้อมรับความแข็งแกร่งภายในตนและใช้ศักยภาพของตนเองที่มีอย่างเต็มที่

พี่ชายและพี่สาวทุกคน เราต้องการให้มีโรงเรียนและการศึกษาสำหรับอนาคตที่สดใสของเด็กทุกคน เราจะยังคงเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงเป้าหมายแห่งสันติภาพและการศึกษา ไม่มีใครจะหยุดยั้งเราได้ เราจะส่งเสียงเพื่อสิทธิของเราและเราจะนำการเปลี่ยนแปลงที่มาจากเสียงของเราเอง เราเชื่อในพลังและอำนาจของคำพูด คำพูดของเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้เพราะเรารวมพลังเพื่อการต่อสู้เรื่องการศึกษา และหากเราต้องการบรรลุเป้าหมาย ก็ต้องให้เราติดอาวุธทางปัญญา และใช้ความเป็นเอกภาพและเป็นอันหนึ่งอันเดียวเป็นเกราะป้องกัน

พี่ชายและพี่สาวทุกคน เราต้องไม่ลืมว่าคนอีกหลายล้านคนกำลังทนทุกข์จากความยากจน ความไม่เท่าเทียมกันและความไม่รู้ เราต้องไม่ลืมว่ามีเด็กหลายล้านคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เราต้องไม่ลืมว่ามีพี่สาวพี่ชายอีกมากที่กำลังรออนาคตที่สดใสและสันติ

ฉะนั้นขอให้เราร่วมกันต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือ ความยากจน และการก่อการร้าย ให้เราหยิบหนังสือ ปากกาของเราขึ้นมา มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน หนังสือหนึ่งเล่ม และปากกาหนึ่งด้ามสามารถเปลี่ยนโลกได้ การศึกษาเป็นวิธีแก้ปัญหาทางเดียว การศึกษาต้องมาก่อน ขอบคุณค่ะ


ขอบคุณที่มาข้อมูล

https://prachatai.com/journal/2013/07/47683
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
มาลาลา ยังโชคดีที่ถูกผู้ก่อการร้ายทำร้ายแล้วยังรอดชีวิตมาได้

แต่เมื่อ 10 ปีก่อน

มีครูสาวผู้หนึ่งถูกผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และ เสียชีวิตในเวลาต่อมา

อุดมการณ์ของเธอมีส่วนคล้าย มาลาลา ในแง่ อยากให้เด็กได้เรียน

ทั้งๆที่เธอเป็นคนภาคเหนือ แต่ กลับเลือกที่จะไปเป็นครูในเขตที่มีผู้ก่อการร้าย ด้วยเหตุผลเพียงว่า

" อยากลงไปช่วยสอนเด็กๆที่นั่น เพราะหาครูที่จะลงไปสอนยาก"


บัดนี้เธอได้จากพวกเราและเด็กๆเป็นเวลา 10 ปีแล้ว และชื่อของเธอก็คือ

คุณครู  จูหลิง  ปงกันมูล หรือ ครูจุ้ย นั่นเอง


cnck
ความคิดเห็นที่ 4
มาลาลา ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ สันติภาพ

มาลาลิง ต่อสู้เพื่อเจ้านายตัวเอง ด้วยเงินภาษีพวกเรา
ความคิดเห็นที่ 8
ย้อนไปในอดีตช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15

มีวีรสตรีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับ มาลาลา

เธอผู้นี้เกิดในภาวะสงคราม และด้วยความสามารถของเธอ ที่กล่าวกันว่า "เพราะมีพระเจ้าชี้ทาง"

เธอจึงสามารถนำทัพพิชิตศัตรูของประเทศชาติได้


แต่ต่อมา เธอกลับถูกพิจารณาคดี และบทลงโทษที่เธอได้รับคือ "การเผาทั้งเป็น"

ด้วยข้อกล่าวหาว่า เธอเป็นแม่มด เมื่ออายุเพียง 19 ปี

ชื่อของวีรสตรีผู้นี้คือ

ฌาน ดาร์ก Jeanne d'Arc หรือ โจนออฟอาร์ก ในชื่อเรียก นักบุญนิกาย โรมันคาทอลิก



ป.ล เนื้อหาจากวิกี รูปจาก กูเกิ้ล

cnck
ความคิดเห็นที่ 7
ขอชื่นชมความกล้าหาญ ของเด็กผู้หญิง ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้
เพื่อเสรีภาพ และความการเรียนรู้ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด เป็นเกียรติกับรังวันที่เธอได้รับ
ตรงข้ามบางประเทศ ที่คนบางกลุ่มเต็มใจ มอบเสรีภาพไว้กลับโซ่ตรวน อย่างไร้จิตสำนึก
ความคิดเห็นที่ 2
สิทธิเสรีภาพจะยิ่งมีคุณค่า เมื่ออยู่ในสังคมที่กดขี่และปฏิเสธมัน

แต่บางประเทศที่มีเสรีภาพอยู่ดีๆก็กลับเขวี้ยงทิ้งไปง่ายๆ และถึงแม้ไม่มีสิทธิก็ยิ่งฟินาเล่เข้าไปใหญ่

ช่างเป็นไรที่เมากาวและย้อนแย้งกับสามัญสำนึกของชาวโลกมากๆครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่