ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “บุกแอฟริกา 4 ประเทศ 17 วัน” ตอนที่ 3 Soweto โลโก้สะท้อนการเหยียดสีผิว

ตอน สารบัญการเดินทาง
https://pantip.com/topic/36521948
ตอนที่ 1 เยื้องย่างผ่านสิงคโปร์
https://pantip.com/topic/36523872
ตอนที่ 2 คืนเบาๆ ใน South Africa
https://pantip.com/topic/36528187


วันนี้มีภาระกิจหลักที่ต้องทำคือ โอนเงินค่าที่พักสำหรับล่า Big5 ที่ Kruger เราตื่นแต่เช้าและออกไปเดินข้างนอกได้อย่างปลอดภัย เพราะแถวนี้คือ Sandton (ถ้าเป็นที่อื่น รร. ไม่ปล่อยให้เราออกไปเดิน) ออกจากโรงแรมไปสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สีม่วง (น่าจะเป็นพวงครามหรือเปล่าไม่แน่ใจ....ขอแก้ไขค่ะ เป็นต้น Jacaranda หรือต้นศรีตรังตามที่คุณ allclover บอกมา) บรรยากาศโดยรอบไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าอยู่ใน South Africa เลย ถนนโล่งๆ ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่าน บรรยากาศเย็นสบาย ไม่ต้องระแวดระวังว่าจะมีใครตามมาจี้มาป้นหรือเปล่า เราเดินมาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใกล้ที่สุดเพื่อใช้ ATM โอนค่าทัวร์ แต่......เครื่องแถวนี้มันไม่ให้ฝากเงินเลย สุดท้ายเลยต้องเดินคอตกกลับไปแล้วรอ Taxi มารับไป Soweto



วันนี้ใน Johannesburg มีการแข่งปั่นจักรยานมารธอนซึ่งทำให้รถติดมากๆ คนขับเลยขับอ้อมแบบไกลๆ (ถ้าคิดตาม Meter นี่คงมีเคืองอ่ะ) เรามาถึง Soweto ซึ่งมันจะแบ่งเป็น 2 โซน คือโซนคนมีเงิน กับคนไม่มีเงิน ก่อนหน้านั้นเราเข้าใจว่า Soweto คือถิ่นคนจน แต่จริงๆ คือถิ่นคนผิวสี เพราะกฎหมายเดิมมีการแบ่งแยกที่อาศัยของคนผิวขาวและผิวสีอย่างชัดเจน และห้ามข้ามเขตไปอยู่อีกฝั่ง แต่ปัจจุบันไม่มีกฎหมายนี้แล้ว ถึงกระนั้นแถบ Soweto ก็ยังเป็นถิ่นคนผิวสีอยู่ดี แต่ที่นี่ให้ความรู้สึกปลอดภัย บ้านแถวนี้ส่วนใหญ่ไม่มีกำแพง ไม่มีลวดไฟฟ้า เพราะอาชญากรรมแถวนนี้จะน้อยกว่าแถบอื่น


ระหว่างทางเราผ่านโรงพยาบาลด้วย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดูดีเลยทีเดียว


รถมาถึงที่แรกคือ Orlando Towers หอคอยสองแท่งนี้คือ cooling tower ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ด้านบนจะมีบริการ Bungee jump ซึ่งเรามิบังอาจที่จะขึ้นไป (เป็นคนกลัวความสุงอย่างที่สุด แต่ตึกสามชั้นก็ขาสั่นพั่บๆ แล้ว.....แต่ทำไมถึงปีนเขาได้ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน) จุดนี้รถไม่ยอมพาเราไปใกล้ๆ แต่ให้ถ่ายรูปจากระยะไกล เราหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะถ้าถ่ายรูปจากตรงนี้จะเห็นรถวิ่งไปวิ่งมา ด้วยความที่ไม่คิดอะไร (ปกติเป็นคนคิดน้อย ไม่รอบคอบเท่าไหร่) เราเลยข้ามถนนเพื่อไปถ่ายให้ใกล้ขึ้น มีเด็กโบกมือขอให้เราถ่ายรูปให้เราก็ถ่าย ด้านหลังเราที่เป็นถนนก็มีคนผิวสีขับรถผ่านไปผ่านมาผิวปากแซว (อันนี้รู้สึกว่าตัวเองสวยมากกก เพราะอยู่ไทยไม่เคยโดนผู้ชายที่ไหนแซวมาก่อน) เราดื่มด่ำกับการถ่ายรูปได้ไม่ถึงสามนาที พี่ Taxi ก็รีบข้ามถนนมาแล้วอัญเชิญเราขึ้นรถ พร้อมเจริญพรเราชุดใหญ่ ว่าไปยืนถ่ายรูปแบบนั้นมันไม่ปลอดภัย


จาก Tower คุณพี่ Taxi ก็พาเราไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่พี่แกไม่ยอมจอดให้เราถ่ายรูป คาดว่ากลัววีรกรรมวิ่งข้ามถนนไปยืนถ่ายรูปคนเดียวอีกครั้ง  เพราะเมื่อกี้พี่แกบอกว่าเราทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวมากไป ดูอันตราย (แอบคิดว่าต่อให้ไม่มีกล้อง หน้าตาก็ไม่บ่งบอกว่าเป็น Local อยู่แล้วมั๊ยอ่ะ)

หลังจากที่โฉบผ่านอนุสาวรีย์แล้ว พี่ Taxi ก็จอดแวะที่ Walter Sisulu Square (Freedom Charter) ซึ่งตรงนี้เป็นลานหญ้ากว้างที่คนมาพักผ่อน มีรูปปั้นและ Quote ต่างๆ ที่สะท้อนถึงความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์อยู่รายรอบ


ถัดจาก Walter Sisulu Square เราก็ตรงไปที่บ้านของ Nelson Mandela ระหว่างทางได้ผ่านบ้านของภรรยาคนที่สองด้วย เป็นบ้านเล็กชั้นเดียวที่ดูเรียบง่าย ในส่วนของบ้าน Nelson Mandela เราต้องเสียเงินค่าเข้า แถมยังจ้างไกด์ด้วย (ดูมีกะตังค์ทันที) แต่ถามว่าตอนนี้จำอะไรได้บ้างมั๊ย บอกเลย...ลืมไปหมดแล้ว


จบจากที่บ้านเราก็ไปที่พิพิธภัณฑ์ รูปด้านในจะมีประวัติการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันของคนผิวสี แต่ภายในห้ามถ่ายรูปเราจึงถ่ายมาแต่ด้านนอก


หลังจากชื่นชม Soweto พอหอมปากหอมคอแล้ว พี่ Taxi ก็ใจพีพาวนรอบเมืองในส่วนที่เป็น  Center ให้ดู อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ไม่มีคนทำงาน (หรือเปล่า หรือเป็นแบบนี้ทุกวันก็ไม่รู้) เมืองนี้ center เป็นอะไรที่เงียบเหงามากเหมือนเมืองร้าง เค้าว่ากันว่าแถบนี้อาชญากรรมสูงมาก ใครๆ ก็ไม่อยากมีอยู่แถวนี้ ก่อนหมดทริปคุณพี่ Taxi พาเราไปที่ Fort ซึ่ง Holland สร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้อังกฤษเข้ามาบุกยึดพื้นที่บริเวณนี้ เพราะแอฟริกาใต้มีแต่ทองคำ ใครๆ ก็อยากเข้ามายึดครอง แต่แล้ว Holland ก็พ่ายแพ้ไป ทหาร Holland ถูกจับมาเป็นเชลยอยู่ในคุย เลยกลายเป็นว่า Holland สร้าง Fort แห่งนี้เพื่อมาขังตัวเองแท้ๆ

จาก Fort มองมาจะเห็นหอคอยของ South Africa

ก่อนจบทริปเราหิวน้ำมากๆ คุณพี่ Taxi ใจดีเลยแวะ china Town ให้เรา ตั้งแต่เที่ยวมา (ไม่เยอะ) ไม่เคยเห็น China Town ที่ไหนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวขนาดนี้ แค่จะซื้อน้ำอัดลมยังหาลำบาก เดินถาม 5 ร้านกว่าจะได้น้ำมา China Town ที่มีมีความเป็น Town จริงๆ คือมีแต่เมือง ไม่มีคน ร้านอาหารก็น๊อย...น้อย ส่วนใหญ่มีแต่คนเปิดซุปเปอร์มากกว่า

สุดท้ายก็ถึงเวลาที่เราจะต้องไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไป Victoria Falls หลังจากจ่ายเงินค่าทัวร์เสร็จแล้วก็แบกกระเป๋าขึ้นหลัง และคิดว่าเดี๋ยวจะให้ทิปคนขับ Taxi เพราะพี่แกดีมากๆ เดชะบุญที่ครั้งนี้เราสลัดความงกและยินยอมมอบทิปให้คนขับ เพราะจังหวะที่จะหยิบเงินให้นั้นเพิ่งพบกว่าทำกระเป๋าเงินหล่นไว้ใสรถ!!! อันนี้เรียกว่า “ความซุ่มซ่ามไม่เข้าใครออกใคร” จริงๆ

ภารกิจหลักก่อนขึ้นเครื่องคือเราต้องโอนเงินค่าทัวร์ Big5 ให้ได้ก่อนที่จะไป Zimbabwe และเหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง หลังจากต่อคิวที่แสนยืดยาวจนก่อนถึงเราแค่สองคน เครื่องดันขึ้นข้อความว่า  Deposit cash out of service จ้า เราจึงรีบแปรขบวนมาอีกตู้ พอคนอื่นรู้ก็ย้ายแถวตามกันมาหมด หลังจากโอนเงินได้เหมือนยกภูเขาออกจากอก เฮ้อ....ชิวๆ ได้แล้วสินะ เราค่อยๆ เดินไป Check-in เพราะเราทำ E-Visa เจ้าหน้าที่เลยเอาจดหมายที่เราได้ทางเมล์ไป copy ไว้หนึ่งชุด หลังจากนั้นคำว่า “ชิว” ก็ปลิวหายไปสาระบบ เพียงแค่ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากเจ้าหน้าที่เช็คอินว่า “ถึงเวลา boarding แล้วนะคะ....วิ่งค่ะ วิ่ง...” จะมีทริปไหนที่เราไม่ต้องตระหนกกับการวิ่ง check-in หรือวิ่งขึ้นเครื่องบ้างมั๊ย?

ด้วยสปีตชีตาร์แต่ความยาวขาเท่าเต่าเราพาตัวเองมาถึงที่  X-ray กระเป๋าอย่างรวดเร็ว (หน่อยๆ ) แต่กระเป๋าคนก่อนหน้าเราดันมีปัญหา แล้วกระเป๋าเราน่ะหรอ....ติดอยู่ในเครื่อง X-ray ไง!!! หลังจากคว้ากระเป๋าแล้วเราวิ่งตรงมาที่ตม. ซึ่งมีอยู่สิบกว่าช่อง  แต่เปิดช่องเดียว!!! แล้วโดนคนแอฟริกา 2 คนมาแซงอีก ถ้าอยู่จีนด่านกระจุยไปแล้ว แต่นี่ไม่กล้าจริงๆ เมืองนี้หนูค่อนข้างสงบเสงี่ยมกว่าที่เคยเป็น เลยได้แต่เครียดและกดดันตัวเองอยู่ในใจ แต่ในที่สุดเราก็มาถึง Gate ทันเวลา แถมยังต้องรอยู่ในรถ Bus อีกเกือบ 10 นาที อย่างที่บอกแล้ว เรานั่ง Fly Africa อารมณ์เหมือน Air Asia ที่สามารถโหลดกระเป๋าได้ มีพนักงานมาเดินขายขนมนมเนยระหว่างบิน เราหิวมากๆ เพราะเมื่อเช้ากินอาหารเช้าที่โรงแรม แต่นี่จะบ่ายสามแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่กระนั้นความงกสยบความหิวทั้งปวง เราไม่ยอมควักเงินให้กับสายการบินนี้เลย

พอถึงสนามบินเจ้าหน้าที่ยังไม่ให้เราเข้าไปในอาคารนะจ๊ะ ต้องกรอกใบตม. ด้านนอกให้เสร็จก่อน แล้วค่อยมาแยกแถวสำหรับคนที่ต้องใช้วีซ่าแล้วไม่ต้องใช้วีซ่า เรายื่นจดหมาย + พาสปอร์ต + เงิน USD45 ก็ได้สติ๊กเกอร์ Visa แบบ Double Entry มาประดับบนพาสปอร์ต จากนั้นเราก็รับกระเป๋าแล้วหา Taxi ไปที่พัก Taxi คิดเรา USD30 แต่ถ้าขากลับกลับกับเขาจะคิดแค่ USD20 ซึ่งเราก็โอเค

กว่าจะถึงที่พักก็ 5 โมงเย็น จัดการ Check-in แล้วก็มาสำรวจห้อง (เล็กๆ ) ที่มี 6 เตียง แอบดีใจที่เห็นแอร์ประดับอยู่เหนือประตู คืนนี้คงไม่แย่เท่าไหร่ ว่าแล้วเราก็ออกไปเดินเล่นรอบเมืองดีกว่า เมืองนี้เล็กมากๆ (หรือเรายังเดินไม่ทั่ว?) เดินไปเดินมาได้พิซซ่ามาหนึ่งถาดซึ่งก็กินไม่หมด  จากนั้นก็กลับที่พักอาบน้ำแล้วเตรียมตัวนอน แต่เอ๊ะ...ทำไมร้อนๆ เปิดแอร์แล้วแต่เหมือนไม่มีลม เรามาตาสว่างตอนที่เพื่อนร่วมห้องบอกว่า “แอร์เสียอ่าจ้า เสียตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” สรุปแล้วคืนนี้เป็นอีกคืนที่ยาวไกล เพราะร้อนและยุงบินว่อนมาก แต่มันอาจไม่ใช่คืนที่แย่ที่สุดเพราะเราต้องนอนที่นี่ 3 คืน หมายความว่าเราอาจมีคืนที่แย่ที่สุดถึง 3 คืนเลยทีเดียว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่