ภารกิจพิชิตใจโค้ช Swimming Pool [yaoi] บทที่ 2 ทำไมคุณถึงไม่กล้าลงน้ำ?

กระทู้สนทนา
บทที่ 1 https://pantip.com/topic/36512014

          บทที่ 2 ทำไมคุณถึงไม่กล้าลงน้ำ?

          คณินทร์ไม่เข้าใจเลยว่า พี่บังเหียนส่งพนักงานร้านเข้าร่วมการแข่งขันสองรายการคือเทนนิสกับว่ายน้ำ เหตุใดจึงเอาแต่เคี่ยวเข็ญเรื่องการซ้อมกับเขาคนเดียวเท่านั้น ขณะที่เพื่อนคนนั้นแทบไม่ได้รับการกระตุ้นอะไรเลย นานทีถึงจะเอ่ยปากเตือนให้ไปซ้อมบ้าง ต่างกับเขาที่มักจะบอกทุกครั้งยามเจอหน้า

          “คุณมีนัดกับโค้ชโทยะตอนหกโมงเย็นนะนิน”

          บังเหียนเอ่ยปากเมื่อเห็นบาริสต้าหนุ่มกำลังนั่งเช็คสต๊อกอยู่หลังร้านเพียงลำพัง คณินทร์ถอนใจออกมาเบาๆ อย่างเบื่อหน่ายก่อนตอบ

          “ครับ”

          คำเดียวสั้นๆ ก่อนกลับไปทำงานอีกครั้ง แต่ผู้จัดการกลับไม่ยอมหยุด

          “คุณต้องไปให้ตรงตามนัดนะ เพราะโทยะมันเป็นพวกตรงต่อเวลา ผมเคยไปช้ากว่ามันแค่สองนาทีโดนด่าแทบเสียคน”

          “ครับ” คณินทร์ยังคงรับคำแค่นั้น บังเหียนเลยหันไปจ้อง ถึงจะรู้นิสัยว่าเด็กคนนี้เป็นพวกประหยัดคำพูด แต่บางครั้งคำตอบที่ได้ยินทำให้เขาเดาไม่ออกว่า มันคือการสนทนาธรรมดาหรือคำพูดประชด แต่พอเห็นอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าทำงานอย่างจริงจัง บังเหียนจึงเข้าใจว่านั่นคือการรับคำตามปกติ

          “เออ อย่าลืมล่ะ” พูดทิ้งท้ายก่อนเดินกลับออกไปดูความเรียบร้อยด้านนอก คณินทร์เหลือบตามองตามหลังและส่ายหน้าช้าๆ

          คงลืมยากละครับ เล่นเตือนกันทุกสิบห้านาทีแบบนี้  

          คิดพลางหันกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อจนเสร็จ ตรวจทานอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นจึงคีย์ข้อมูลทั้งหมดลงคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกในการทำงานของรอบต่อไป จากนั้นจึงไปล้างมือที่เขลอะไปด้วยฝุ่นจนสะอาด เสร็จแล้วจึงออกไปยืนตรงเคาน์เตอร์ เพื่อผลัดให้เพื่อนพนักงานด้วยกันเข้าไปพักบ้าง

          ร้านกาแฟที่คณินทร์ทำงาน เป็นเพียงหนึ่งในสาขาย่อยของกาแฟยอดนิยมจากแดนซากุระ ตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานกลางกรุง แม้จะไม่ใช่แบรนด์ดังเหมือนเจ้าทางฝั่งตะวันตก แต่ด้วยรสชาติกลมกล่อมกับกรรมวิธีการชงที่เป็นแบบดั้งเดิม ทำให้ทั้งร้านหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นอันทรงเสน่ห์ รสชาติของกาแฟที่กลมกล่อมอย่างหาได้ยิ่งในปัจจุบัน ทำให้คอกาแฟมักผลัดกันแวะเวียนมายังร้านนี้ไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าแม้จะไม่แน่นขนัดเท่าร้านกาแฟดัง แต่การซื้อแต่ละครั้งยังต้องต่อคิวกันยาว

          สิ่งขึ้นชื่อของร้านไม่ได้มีเพียงแค่กาแฟ บรรดาขนมต่างๆ ที่วางเรียงรายในตู้ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน คุณภาพที่อัดแน่นด้วยวัตถุดิบอันยอดเยี่ยม ความสดใหม่ สไตล์การตกแต่งอันน่ารักกับกลิ่นหอมเย้ายวน ทำให้ขนมของร้านนี้หมดเร็วมาก จนหลายคนต้องเหมายกกล่องกลับบ้าน

          วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ลูกค้าทยอยกันเข้ามาไม่หยุด โดยเฉพาะช่วงเที่ยงซึ่งเป็นเวลาพักกลางวัน พนักงานบริษัทต่างพากันลงมาดื่มกาแฟและนั่งพักผ่อนเพื่อคลายเครียดก่อนกลับขึ้นไปลุยงาน ไม่นับลูกค้าขาจรที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเข้ามาดื่มกาแฟพิเศษประจำวัน จนล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายลูกค้าจึงเริ่มบางตาทำให้พนักงานพอมีเวลาพักหายใจ

          บังเหียนเดินตรวจดูความพร้อมของร้าน ระหว่างเช็คจำนวนขนมในตู้ ตาก็มองพนักงานที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะไปด้วย จากนั้นจึงหันไปมองลูกน้องอีกสองคนที่กำลังล้างภาชนะก่อนจะเดินไปหลังร้าน เมื่อเห็นคณินทร์กำลังนั่งเขียนรายงานเพื่อส่งต่อให้กะบ่าย เขาจึงย้อนกลับไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้านอีกครั้งก่อนเอ่ยปากถามคนที่อยู่ใกล้ตัว

          “นัทล่ะ?”

          นัทคือพนักงานกะบ่าย ซึ่งความจริงแล้วควรมารับหน้าที่ต่อจากพนักงานกะเช้าได้แล้ว แต่หลังจากมองหาจนทั่ว บังเหียนกลับไม่เห็นคนที่กำลังพูดถึงแม้แต่เงา พนักงานที่กำลังทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟหันมาตอบ  

          “มันออกไปทำธุระข้างนอกน่ะพี่”

          “ธุระอะไร ทำไมถึงไม่บอกผมก่อน?” ผู้จัดการถามเสียงกระด้าง คนที่เพิ่งให้คำตอบหันไปมองหน้าเพื่อนก่อนพูดเบาๆ

          “ผมนึกว่ามันบอกแล้ว”

          “ถ้าบอกแล้วผมจะมาถามหาทำไม” บังเหียนพูดเสียงเรียบแต่ไม่ได้ตำหนิอะไรมากไปกว่านั้น เขาต้องการตักเตือนคนที่ชื่อนัทมากกว่า เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เด็กคนนี้ไม่เคยใส่ใจงานอย่างจริงจังเลยสักครั้ง แถมยังมาสายตลอด อู้งานเป็นว่าเล่น เขาเองก็เคยเอ่ยปากเตือนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ดุอะไรมาก เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงปรับพฤติกรรมของตัวเองได้ ปล่อยผ่านมาได้สามอาทิตย์คนเป็นผู้จัดการจึงสำนึกได้ว่า เขาคิดผิด แบบนี้คงต้องออกใบเตือนกันแล้ว

          “พวกกะเช้ากำลังจะออกเวรกันอยู่แล้ว ยิ้มหายหัวไปไหนวะ”

          บังเหียนบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดพลางมองนาฬิกาข้อมือ พอหันไปเห็นพนักงานกะเช้ายืนลังเลไม่กล้าออกจากร้าน เขาก็โบกมือไล่ “เออกลับไปเถอะ เดี๋ยวผมอยู่ให้”

          เมื่อกะเช้าออกจากร้านไปแล้ว ผู้จัดการจึงเดินเข้าไปยืนหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ ทำโน่นทำนี่ไปพักใหญ่ คณินทร์ก็ออกมาช่วย พอเห็นดังนั้นบังเหียนก็ทำตาโต

          “อ้าวเฮ้ย ยังอยู่อีกเหรอ”

          “ครับ” บาริสต้าหนุ่มขานรับขณะเรียงแก้วบนชั้นให้เป็นระเบียบ อีกฝ่ายมองพนักงานกะบ่ายที่กำลังจัดเรียงโต๊ะให้เข้าที่ก่อนหันไปเตือน

          “คุณมีธุระต้องจัดการนะ ปล่อยให้กะบ่ายเขาทำไปเถอะ”

          “ตอนนี้คนขาดอยู่ไม่ใช่หรือครับ” คณินทร์ให้เหตุผล แต่บังเหียนกลับสั่นศีรษะ

          “ผมก็อยู่แล้วไง ไม่เป็นไรหรอก คุณไปเถอะอย่าให้โค้ชรอ”

          “แต่นี่มันเพิ่งจะบ่ายสองเองนะครับ ยังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด ผมอยู่ช่วยพี่ตรงนี้ก่อนเผื่อนัทไม่มาทำงานจะได้โทร.ไปเลื่อน”

          เป็นการใช้เสียงปกติธรรมดาตามแบบฉบับคณินทร์ แต่เพราะบังเหียนรู้จักนิสัยลูกน้องคนนี้ดี จึงพอจะเดาออกว่าตอนนี้บาริสต้ารูปหล่อประจำร้านกำลังเข้าสู่โหมดงอแง

          “ไม่ต้องมาทำเป็นแผนการเลยนิน นัดแล้วก็ต้องไปตามนัด ขืนเบี้ยวเจ้าโทยะโกรธตาย”

          พอเห็นว่าผู้จัดการรู้ทัน คณินทร์จึงถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “ครับ”

          เขายืนเช็ดโน่นนี่ไปเรื่อยๆ พลางคิดอย่างแปลกใจว่าเหตุใดผู้จัดการร้านถึงอยากให้เขาไปฟื้นฟูการว่ายน้ำกับคนที่ชื่อโทยะนัก ผู้ชายคนนั้นว่ายน้ำเก่งมากก็จริงแต่นิสัยแย่สุดๆ มีอย่างที่ไหน พูดคุยกันแค่ไม่กี่คำก็ตัดสินแล้วว่าเขาเป็นคนยังไง แถมบอกปัดไม่ยอมสอนให้เฉยเลย

          “คุณโทยะเป็นคนยังไงหรือครับ” อยู่ๆ ก็หลุดคำถามออกมา บังเหียนจึงตอบหน้าตาย

          “ปากเสีย ขี้หงุดหงิด โมโหง่าย กวนตีนแต่ใจดี”

          คณินทร์ยืนฟังพลางนึกเห็นด้วยอยู่ในใจ แต่พอได้ยินคำสุดท้ายเขาก็หันไปมองหน้าผู้จัดการพร้อมกับกล่าวทวน

          “ใจดี?”

          “ใช่ เห็นพูดจาแบบนั้น แต่โทยะมันเป็นคนใจดีมากเลยนะ ลูกศิษย์ที่เป็นเด็กส่วนใหญ่ถึงได้ติดกันเกรียว”

          ตรงไหน? คณินทร์คิดพลางหวนนึกถึงคนที่กำลังพูดถึง เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ดันเรียกตัวเองว่าโทยะ ส่วนที่ว่าเด็กๆ ติดก็น่าจะมาจากอย่างอื่นมากกว่า เพราะหมอนั่นมีหน้าตาแบบผู้ชายสายแบ๊ว แถมตัวยังขาวจั๊ว ยิ่งได้เห็นการว่ายน้ำที่คล่องแคล่วแล้วทำให้นึกได้อย่างเดียว

          ปลาไหลเผือก  

          บาริสต้าหนุ่มอมยิ้มอย่างนึกขัน ก่อนเอ่ยปากซัก

          “แล้วลูกศิษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ละครับ”  

          “เท่าที่ได้ยินมา หมอนี่ชอบสอนเด็กมากกว่า แต่สาเหตุก็น่าจะมาจากความใจร้อนของมัน ที่พอไม่ถูกใจอะไรขึ้นมาก็โวยไว้ก่อน ผู้ใหญ่ด้วยกันเลยไม่ค่อยชอบน่ะ”

          คณินทร์เห็นด้วยในข้อนั้น เพราะขนาดเจอกันไม่ถึงห้านาที ยังโดนโค้ชเผือกนั่นเหวี่ยงอารมณ์ใส่ ช่างเหมือนกับโค้ชกระทิงถึกที่มีแต่ความหยิ่งยโสไม่มีผิด ต่างกันตรงแทนที่จะใช้คำพูด-ดัน โค้ชโทยะกลับใช้วิธีเดินหนี แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เขาก็ไม่ชอบ

          “แสดงว่าคนอื่นก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนี่เหมือนกัน”

          “ก็ปากแบบนั้นน่ะนะ” ผู้จัดการร้านพูดพลางถอนใจออกมาเบาๆ “มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้ว โทยะมันเป็นพวกบ้าพลัง มีกิจกรรมอะไรมันทำได้หมด หน้าตาก็ดีจนสาวกรี๊ด แต่พออ้าปากหมายิ้มวิ่งออกมาเป็นฝูงเล่นเอาหญิงเผ่นหนีกันกระเจิง”

          คณินทร์ฟังข้อมูลโค้ชเงียบๆ และนึกท้วงบังเหียนในใจว่า โห รู้แบบนี้แล้วพี่ยังกล้าฝากผมกับหมอนั่นอีกนะครับ ซึ่งมันก็เป็นแค่ความคิดเพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าที่ผู้จัดการจอมจู้จี้ทำแบบนั้นเพราะอยากให้เขาได้โค้ชดีมีฝีมือ ว่าแต่เขาอยากจะรู้แล้วสิว่า โค้ชโทยะจะเก่งกาจอย่างที่บังเหียนคุยหรือเปล่า แค่ว่ายน้ำในท่าผีเสื้อได้ ไม่ได้หมายความว่าเทพสักหน่อย พออ้าปากเตรียมซัก ลูกค้าก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน และไม่กี่นาทีถัดมาก็เริ่มทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ จนทำเครื่องดื่มกันแทบไม่ทัน ผ่านไปจนเกือบถึงหกโมงเย็นจำนวนของลูกค้าก็ไม่ลดลงเลย บังเหียนทำงานไปตาก็คอยจ้องนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา  พอเห็นคณินทร์ยังคงทำงานอย่างขะมักเขม้น เขาจึงเอ่ยเตือน

          “ได้เวลาแล้ว”

          “แต่ลูกค้ายังเยอะอยู่เลยนะครับ”

          บาริสต้าหนุ่มแย้งเลยโดนผู้จัดการโบกศีรษะไปหนึ่งที

          “ไม่ต้องมาหาเรื่อง ไปได้แล้ว”

          ในที่สุดก็ไม่อาจเลี่ยงได้ คณินทร์จำต้องวางมือจากงาน หยิบเป้ออกจากร้าน นั่งรถไฟฟ้าไปลงปากซอยและเดินเท้าต่อไปจนถึงโรงเรียนสอนว่ายน้ำ ซึ่งเมื่อไปถึงก็เป็นเวลาหกโมงตรงพอดี สิ่งแรกที่เห็นคือโค้ชโทยะกำลังยืนหน้าหงิกกอดอกรอตรงขอบสระ เขาจึงรีบตรงเข้าไปหาเพื่อกล่าวคำขอโทษพร้อมชี้แจงถึงเหตุผลของความล่าช้า แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

          “ที่บอกว่าเจอกันหกโมงตรง หมายถึงคุณต้องพร้อมในชุดว่ายน้ำ ไม่ใช่ให้ผมต้องมาเสียเวลายืนคอย”

          เป็นการพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดุ แต่ปราศจากความเกรี้ยวกราด ถึงแม้คนฟังจะนึกฉิวอยู่บ้างแต่เพราะตัวเองเป็นฝ่ายผิด เลยจำต้องก้มศีรษะให้

          “ขอโทษด้วยครับ ผมจะรีบไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้”

          พูดจบคณินทร์ก็รีบวิ่งตื๋อไปยังห้องแต่งตัว เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว จึงไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานเขาก็ผลัดเสื้อผ้าเป็นกางเกงว่ายน้ำและวิ่งกลับไปหาโค้ชที่ยังคงยืนรอในท่าเดิม

          “ช้า” เสียงบ่นเปรยออกมาเบาๆ ก่อนตัวคนพูดจะหันมามอง “บอกมาก่อน ที่ว่าว่ายน้ำเป็นน่ะ แบบไหน ท่าฟรีสไตล์เด็กวัด หรือหัดจากโรงเรียน”

          “จากโรงเรียนครับ” คณินทร์ตอบเพียงแค่นั้น โทยะจึงมองหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว

          “แล้วมันแค่ไหนละ อย่าบอกนะว่าพนมมือนั่งขอบสระ ไม่งั้นผมถีบคุณลงน้ำจริงๆด้วย”

          ถึงจะเริ่มฉิวกับคำพูดที่ออกไปในทางกวนโทสะ คณินทร์ก็ยังข่มใจรักษากิริยาของตัวเองให้สงบนิ่ง ก่อนตอบเรียบๆ

          “ผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียน”

          โทยะมองอีกฝ่ายไล่จากเท้าขึ้นไปจนถึงศีรษะ จ้องใบหน้าของบาริสต้าหนุ่มนิ่งเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างก่อนเอ่ยปากถาม

          “เป็นนักกีฬาแค่ซ้อมก็พอแล้ว จะมาจ้างโค้ชทำไม” เมื่อเห็นคณินทร์ยืนนิ่งไม่ยอมตอบ เขาเลยถามย้ำอีกครั้ง ด้วยเสียงดังกว่าเดิม “ว่าไง”

          คราวนี้หัวคิ้วของคนถูกถามมุ่นเข้าหากัน ขณะที่เจ้าตัวแอบเหน็บในใจว่า หมอนี่น่าจะไปเป็นครูฝึกทหารมากกว่าเป็นโค้ช

          “ผมมีเหตุผลจำเป็นบางอย่างครับ”

บาริสต้าหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงคงที่เหมือนเดิม ทำให้คนได้ยินเริ่มฉุนนิดๆ เพราะเริ่มรู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายกวนประสาท

          “เหตุผลอะไรวะ” โทยะซักเพราะอยากรู้สาเหตุจริงๆ เพื่อที่จะได้ปรับวิธีการสอน แต่คณินทร์กลับคิดไปอีกทาง เพราะจากประสบการณ์แย่ๆ ที่ได้รับจากโค้ชกระทิงทำให้เขาคิดว่าโค้ชโทยะเองก็คงมีนิสัยไม่ต่างกัน

          “คุณเป็นโค้ช พูดจาไม่สุภาพเลยนะ”

          ความโมโหทำให้เขาหลุดคำพูดออกไป เมื่อคิดได้ว่าไม่ควรก็สายเกินแก้ เพราะโทยะลดแขนพร้อมกับจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง

          “ผมใช้สรรพนามว่าผมกับคุณและลงท้ายว่าครับเสมอ ไม่เคยขึ้นกูเลยสักครั้ง ช่วยบอกหน่อยว่ามันไม่สุภาพตรงไหน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่