สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป
ห่างหายไปนานไม่ค่อยได้มาโพสอะไรมีสาระมากเท่าไร แต่ก็มี Inbox มาถามข้อมูลที่ผมถนัดเรื่อยๆ....
ขออนุญาตก่อนเริ่มเลย เนื่องจากเป็นกรณีศึกษาจะมีการยกตัวอย่างแบรนด์บางแบรนด์ขึ้นมา ซึ่งผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประชาสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้นครับ
กลับมาครั้งนี้ เนื่องด้วยมีกระแสที่ค่อนข้างน่าสนใจบนโลกโซเซียล และนั่นก็คือ การที่มีแบรนด์เครื่องสำอางค์ชนิดหนึ่ง มาทำ
"การตลาดชนิดหนึ่ง" ที่เรียกว่า อยู่คู่กับประเทศไทยมานานพอสมควร เพียงแต่ Impact ไม่ได้รุนแรงเท่าครั้งนี้ เราลองมาดูกรณีตัวอย่างกันก่อน
"แบรนด์ A ได้มีการประกาศว่าจะมีการบริจาคเงิน X บาท ให้มูลนิธิหนึ่ง ถ้ามีชาวโซเซียลแชร์รูปmonotone และติด hashtag ตามเงื่อนไข"
ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสังคมไทย มีผู้โพส และ แชร์รูป เป็นจำนวนมากภายในเวลาไม่นาน แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดของสังคม เพราะเงื่อนไขต่างๆ ไม่ได้ถูกส่งออกไปในตอนแรก เรียกได้ว่า เป็นการบกพร่องทางการส่งสาร เลยทีเดียว ประกอบกับผู้ส่งสารมีจำนวนมาก ทำให้ข่าวสารได้รับการบิดเบือน และส่งผลกระทบทางลบสู่แบรนด์
กลับมาที่เรื่องของการตลาด ผมอนุญาตเรียก การตลาดนี้ว่า
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม หรือที่เรียกว่า
Cause-related Marketing โดยที่ผมค่อนข้างมีข้อมูลและผลการวิจัยในเรื่องนี้พอสมควร เพราะเป็นวิทยานิพนธ์สมัยที่ผมศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม เป็นกิจกรรมทางการตลาดอย่างหนึ่งของ การตลาดเพื่อสังคม หรือที่เราได้ยินบ่อยๆว่า
Corporate Social Responsibility คือการที่หน่วยงาน หรือองค์กรแสดงความรับผิดชอบต่อสังตม ไม่ว่าจะเป็น โรงงานบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงแม่น้ำ หรือ องค์กรมีการพัฒนาพื้นที่ในชุมชนให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงมีรายได้ อาจจะไม่เห็นภาพ ลองเป็น โตโยต้าโครงการสีขาว ช้างต้านภัยหนาว เป็นต้น
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมนั้น คือ การที่แบรนด์ หรือ องค์กร มีการสัญญากับผู้บริโภค ในการที่จะทำบางสิ่งเพื่อพัฒนา ช่วยเหลือสังคม แลกกับการซื้อผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการนั้นๆจากองค์กร
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมนั้น มีมานานแสนนาน ถ้านับยุคเริ่มต้น เลยจริงก็คือ การที่ร้านค้าตั้งกล่องรับบริจาคที่บริเวณเคาเตอร์แคชเชียร์ ในการแก้ปัญหาท้องถิ่น หรือสนับสนุนมูลนิธิในละแวกนั้น (ในประเทศไทย อาจจะมีบ้าง แต่ถ้าเคยดูหนังฝรั่ง อาจจะเห็นผ่านตามาบ้าง) แต่แผนการตลาดที่สำเร็จจริงๆเลย คือ
American Express ที่บอกว่า จะบริจาค 1 Cent ต่อการใช้บัตรทุกๆครั้ง และ $1 ต่อการออกบัตร AMEX ใหม่หนึ่งใบ เพื่อนำไปบูรณะ เทพีเสรีภาพ ในปี 1983 นั่นคือปรากฏการณ์ครั้งแรกของการตลาดประเภทนี้ และได้รับการยกย่องว่า "Mother of the Cause-related Marketing Campaign" (ขออนุญาตใส่อ้างอิงไว้ด้วยครับ Berglind and Nakata, 2005; Polonsky and Macdonald, 2000; Sundar, 2007)
การตลาดชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายหลังจากนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะสนันสนุนด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น HIV, มะเร็งเต้านม, ปัญหาการใช้ความรุนแรง เป็นต้น ยกตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ AVON บริจาคเงินช่วยเหลือการวิจัยรักษามะเร็งเต้านม เพียงแค่ 4 ปีก็บริจาคไปถึง US$ 22 Million หรือว่าจะเป็น Ryka แบรนด์รองเท้ากีฬาสุภาพสตรี ก็บริจาคเงินสนับสนุนโครงการการใช้ความรุนแรงภายในประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แบรนด์ต่างๆ ได้เพิ่มยอดขาย และอีกทั้งยังได้ภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคม (กลับมาที่เรื่อง CSR)
ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าหรือบริการ แถมยังรู้สึกดีที่ได้มีส่วนช่วยสังคม
มูลนิธิ/หน่วยงาน/ปัญหา ได้รับการสนับสนุน ได้รับการแก้ปัญหา
สังคม พัฒนาในทิศทางที่ดี
เรียกได้ว่า Win-Win-Win-Win Situation
ยกตัวอย่างแบรนด์จากต่างประเทศไปแล้ว ลองมายกตัวอย่างประเทศไทยกันบ้างดีกว่า
ใครพอจะตอบได้บ้างครับ ว่ามีอะไรบ้าง ถ้านึกไม่ออก ลองดูตัวอย่างครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ร้านสินค้าสะดวกซื้อ ชื่อดัง บริจาค 1 บาทต่อการซื้อ 1 ครั้ง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
เครื่องสำอางค์ M ชื่อดัง บริจาค 20 บาท ต่อการซื้อเครื่องสำอางค์ตกแต่งริมฝีปากสุภาพสตรี เพื่อช่วยเหลือมูลนิธิคนตาบอด
หรือแม้กระทั่งที่ผมทำวิจัยสมัยเป็นนักศึกษา ผมก็มีข้อเสนอให้ทางผู้ตอบแบบสอบถามว่า ผมจะบริจาค 10 บาท ต่อ 1 แบบสอบถาม ให้มูลนิธิกระจกเงา เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นการแลกเปลี่ยน กรณีนี้ ผมได้ประโยชน์คือได้ข้อมูลมาทำวิจัย ผู้คนตอบแบบสอบถามได้ร่วมทำบุญไปกับผม สังคมได้ประโยชน์เช่นเดิม
มีนักการตลาดหลายท่าน Lavack and Kropp ได้กล่าวว่า การตลาดประเภทนี้จะได้รับผลคอบรับดีจากประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งแน่นอนครับว่า ปัญหาสังคม หรือ สังคมยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาอีกมาย อาจจะยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ดังนั้น ก็จะมีมูลนิธิ หรืออาสาสมัคร ให้ความช่วยเหลือ หรือพัฒนา หากทว่าไม่สามารถมีเงินมากพอ องค์กรหรือแบรนด์ต่างๆก็มองเห็นเป็นโอกาส และฉกฉวยโอกาสเหล่านั้น เพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเอง นั่นก็คึอ กำไร หรือยอดขายที่เพิ่มขึ้น เพียงแค่เชื่อมโยงถึงปัญหา และผู้บริโภคก็ไม่ได้เสียอะไร นอกจากแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการ การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมประสบความสำเร็จ
แต่นักการตลาดก็ต้องระวังพอสมควร เพราะการตลาดที่เล่นกับความรู้สึกของคน ความเห็นใจของคน เป็นตัวสร้างแรงผลักดันในการทำการตลาดที่ดี แต่ทว่าก็อาจมีผลเสียได้เช่นเดียวกัน และผลเสียที่น่ากลัวด้วยในยุคสมัยนี้
หลายๆแคมเปญที่ผ่านมา แน่นอนว่า ต้องมีการซื้อผลิตภัณฑ์ หรือ บริการ ทำให้เรียกได้ว่า ผู้บริโภคอย่างน้อยก็ยังได้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ แต่ว่า การตลาดในยุคสมัยนี้ ที่เราเรียกว่า Global Village หรือหมู่บ้านโลกนั้น มันเล็กมาก ทุกอย่างไวไปหมด อะไรก็ตามที่ขึ้นมาอยู่บนอินเตอร์เน็ต ก็จะแพร่ออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง เฉกเช่นเดียวกับกรณีที่ผมกล่าวถึงข้างต้นเลย
แต่....ครับ ครั้งนี้มีแต่.....แต่ครั้งนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญ คือ ไม่มีผู้บริโภค และไม่มีผลิตภัณฑ์ เรียกได้ว่า ผู้คนที่แชร์ หรือ โพสรูปในภาพขาว-ดำนั้น อาจจะไม่ได้มีความรู้สึก มีความอิ่มใจที่ได้เหลือสังคมสักเท่าไร และก็ไม่ได้มองว่า ตัวเองได้ประโยชน์อะไรมากนักในส่วนนั้น กอปรกับการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก และการส่งสารผ่านคนกลางในการส่งสาร ทำให้ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับไม่ครบถ้วน ผลที่ออกมากลายว่าจะดี กลับกลายเป็นเสียหาย กลายเป็นว่า แค่แชร์ก็ได้บุญ ได้ช่วยเหลือสังคม ก็แชร์กันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งบางครั้งเราเสพย์ข่าวไม่ได้เสพย์ผ่านแหล่งข่าวจริงๆ เพียงแต่แชร์ต่อๆกันมา เลยกลายเป็นว่า ข้อมูลถูกบิดเบือน และมาไม่ครบ
ในที่นี้ผมก็เห็นใจแบรนด์ด้วยเหมือนกันครับ เพราะว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์ก็ไม่ได้สูงขึ้น ภาพลักษณ์ก็ไม่ได้จะดูขึ้นสักเท่าไร กลับดูแย่ลงด้วยซ้ำ.......นั่นแบรนด์นี้ก็ต้องแก้ไขกันไป
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม ยังคงไปได้ต่อในสังคมไทย แต่นักการตลาดต้องพึงระวังเสมอว่า
ข้อมูลต้องชัดเจน
ข้อมูลในทีนี้ หมายถึง เงื่อนไขต่างๆ ที่จะสื่อไปถึงผู้บริโภค ถ้าเทียบในกรณีตัวอย่างแล้ว
ไม่ระบุชัดเจนว่า ยอดเงินบริจาคจะเป็นเท่าไหร่ / ต้องใช้การแชร์บน Social Network Platform ไหน
อย่าลืมนะครับว่า โลกออนไลน์ แบรนด์ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมข่าวสาร แต่ถูกควบคุมต่างหาก
ถ้านักการตลาด หรือ แบรนด์ ไม่ชัดเจน บอกเลยครับว่า กระแสตอบกลับหนักหนาสาหัสแน่นอน
ผมขออนุญาตสรุปเรื่องการตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวผมจะนับข้อมูลเชิงสถิติที่ผมรวบรวม ในเรื่องของ "ทัศนคติของประชากรในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ต่อการตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม"
ป.ล. ไม่ได้มาทำฝั่งงานเขียนนาน หากมีภาษาผิดพลาด ขออภัย มา ณ ที่นี่ครับ
ป.ล.2 แก้คำผิดครับ
เรามารู้จัก การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม กันดีกว่า! [กรณีศึกษา แชร์รูปขาว-ดำ เครื่องสำอางค์]
ห่างหายไปนานไม่ค่อยได้มาโพสอะไรมีสาระมากเท่าไร แต่ก็มี Inbox มาถามข้อมูลที่ผมถนัดเรื่อยๆ....
ขออนุญาตก่อนเริ่มเลย เนื่องจากเป็นกรณีศึกษาจะมีการยกตัวอย่างแบรนด์บางแบรนด์ขึ้นมา ซึ่งผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประชาสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้นครับ
กลับมาครั้งนี้ เนื่องด้วยมีกระแสที่ค่อนข้างน่าสนใจบนโลกโซเซียล และนั่นก็คือ การที่มีแบรนด์เครื่องสำอางค์ชนิดหนึ่ง มาทำ "การตลาดชนิดหนึ่ง" ที่เรียกว่า อยู่คู่กับประเทศไทยมานานพอสมควร เพียงแต่ Impact ไม่ได้รุนแรงเท่าครั้งนี้ เราลองมาดูกรณีตัวอย่างกันก่อน
"แบรนด์ A ได้มีการประกาศว่าจะมีการบริจาคเงิน X บาท ให้มูลนิธิหนึ่ง ถ้ามีชาวโซเซียลแชร์รูปmonotone และติด hashtag ตามเงื่อนไข"
ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสังคมไทย มีผู้โพส และ แชร์รูป เป็นจำนวนมากภายในเวลาไม่นาน แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดของสังคม เพราะเงื่อนไขต่างๆ ไม่ได้ถูกส่งออกไปในตอนแรก เรียกได้ว่า เป็นการบกพร่องทางการส่งสาร เลยทีเดียว ประกอบกับผู้ส่งสารมีจำนวนมาก ทำให้ข่าวสารได้รับการบิดเบือน และส่งผลกระทบทางลบสู่แบรนด์
กลับมาที่เรื่องของการตลาด ผมอนุญาตเรียก การตลาดนี้ว่า การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม หรือที่เรียกว่า Cause-related Marketing โดยที่ผมค่อนข้างมีข้อมูลและผลการวิจัยในเรื่องนี้พอสมควร เพราะเป็นวิทยานิพนธ์สมัยที่ผมศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม เป็นกิจกรรมทางการตลาดอย่างหนึ่งของ การตลาดเพื่อสังคม หรือที่เราได้ยินบ่อยๆว่า Corporate Social Responsibility คือการที่หน่วยงาน หรือองค์กรแสดงความรับผิดชอบต่อสังตม ไม่ว่าจะเป็น โรงงานบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงแม่น้ำ หรือ องค์กรมีการพัฒนาพื้นที่ในชุมชนให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงมีรายได้ อาจจะไม่เห็นภาพ ลองเป็น โตโยต้าโครงการสีขาว ช้างต้านภัยหนาว เป็นต้น
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมนั้น คือ การที่แบรนด์ หรือ องค์กร มีการสัญญากับผู้บริโภค ในการที่จะทำบางสิ่งเพื่อพัฒนา ช่วยเหลือสังคม แลกกับการซื้อผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการนั้นๆจากองค์กร
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมนั้น มีมานานแสนนาน ถ้านับยุคเริ่มต้น เลยจริงก็คือ การที่ร้านค้าตั้งกล่องรับบริจาคที่บริเวณเคาเตอร์แคชเชียร์ ในการแก้ปัญหาท้องถิ่น หรือสนับสนุนมูลนิธิในละแวกนั้น (ในประเทศไทย อาจจะมีบ้าง แต่ถ้าเคยดูหนังฝรั่ง อาจจะเห็นผ่านตามาบ้าง) แต่แผนการตลาดที่สำเร็จจริงๆเลย คือ American Express ที่บอกว่า จะบริจาค 1 Cent ต่อการใช้บัตรทุกๆครั้ง และ $1 ต่อการออกบัตร AMEX ใหม่หนึ่งใบ เพื่อนำไปบูรณะ เทพีเสรีภาพ ในปี 1983 นั่นคือปรากฏการณ์ครั้งแรกของการตลาดประเภทนี้ และได้รับการยกย่องว่า "Mother of the Cause-related Marketing Campaign" (ขออนุญาตใส่อ้างอิงไว้ด้วยครับ Berglind and Nakata, 2005; Polonsky and Macdonald, 2000; Sundar, 2007)
การตลาดชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายหลังจากนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะสนันสนุนด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น HIV, มะเร็งเต้านม, ปัญหาการใช้ความรุนแรง เป็นต้น ยกตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ AVON บริจาคเงินช่วยเหลือการวิจัยรักษามะเร็งเต้านม เพียงแค่ 4 ปีก็บริจาคไปถึง US$ 22 Million หรือว่าจะเป็น Ryka แบรนด์รองเท้ากีฬาสุภาพสตรี ก็บริจาคเงินสนับสนุนโครงการการใช้ความรุนแรงภายในประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยกตัวอย่างแบรนด์จากต่างประเทศไปแล้ว ลองมายกตัวอย่างประเทศไทยกันบ้างดีกว่า
ใครพอจะตอบได้บ้างครับ ว่ามีอะไรบ้าง ถ้านึกไม่ออก ลองดูตัวอย่างครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หรือแม้กระทั่งที่ผมทำวิจัยสมัยเป็นนักศึกษา ผมก็มีข้อเสนอให้ทางผู้ตอบแบบสอบถามว่า ผมจะบริจาค 10 บาท ต่อ 1 แบบสอบถาม ให้มูลนิธิกระจกเงา เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นการแลกเปลี่ยน กรณีนี้ ผมได้ประโยชน์คือได้ข้อมูลมาทำวิจัย ผู้คนตอบแบบสอบถามได้ร่วมทำบุญไปกับผม สังคมได้ประโยชน์เช่นเดิม
มีนักการตลาดหลายท่าน Lavack and Kropp ได้กล่าวว่า การตลาดประเภทนี้จะได้รับผลคอบรับดีจากประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งแน่นอนครับว่า ปัญหาสังคม หรือ สังคมยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาอีกมาย อาจจะยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ดังนั้น ก็จะมีมูลนิธิ หรืออาสาสมัคร ให้ความช่วยเหลือ หรือพัฒนา หากทว่าไม่สามารถมีเงินมากพอ องค์กรหรือแบรนด์ต่างๆก็มองเห็นเป็นโอกาส และฉกฉวยโอกาสเหล่านั้น เพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเอง นั่นก็คึอ กำไร หรือยอดขายที่เพิ่มขึ้น เพียงแค่เชื่อมโยงถึงปัญหา และผู้บริโภคก็ไม่ได้เสียอะไร นอกจากแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการ การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมประสบความสำเร็จ
แต่นักการตลาดก็ต้องระวังพอสมควร เพราะการตลาดที่เล่นกับความรู้สึกของคน ความเห็นใจของคน เป็นตัวสร้างแรงผลักดันในการทำการตลาดที่ดี แต่ทว่าก็อาจมีผลเสียได้เช่นเดียวกัน และผลเสียที่น่ากลัวด้วยในยุคสมัยนี้
หลายๆแคมเปญที่ผ่านมา แน่นอนว่า ต้องมีการซื้อผลิตภัณฑ์ หรือ บริการ ทำให้เรียกได้ว่า ผู้บริโภคอย่างน้อยก็ยังได้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ แต่ว่า การตลาดในยุคสมัยนี้ ที่เราเรียกว่า Global Village หรือหมู่บ้านโลกนั้น มันเล็กมาก ทุกอย่างไวไปหมด อะไรก็ตามที่ขึ้นมาอยู่บนอินเตอร์เน็ต ก็จะแพร่ออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง เฉกเช่นเดียวกับกรณีที่ผมกล่าวถึงข้างต้นเลย
แต่....ครับ ครั้งนี้มีแต่.....แต่ครั้งนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญ คือ ไม่มีผู้บริโภค และไม่มีผลิตภัณฑ์ เรียกได้ว่า ผู้คนที่แชร์ หรือ โพสรูปในภาพขาว-ดำนั้น อาจจะไม่ได้มีความรู้สึก มีความอิ่มใจที่ได้เหลือสังคมสักเท่าไร และก็ไม่ได้มองว่า ตัวเองได้ประโยชน์อะไรมากนักในส่วนนั้น กอปรกับการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก และการส่งสารผ่านคนกลางในการส่งสาร ทำให้ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับไม่ครบถ้วน ผลที่ออกมากลายว่าจะดี กลับกลายเป็นเสียหาย กลายเป็นว่า แค่แชร์ก็ได้บุญ ได้ช่วยเหลือสังคม ก็แชร์กันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งบางครั้งเราเสพย์ข่าวไม่ได้เสพย์ผ่านแหล่งข่าวจริงๆ เพียงแต่แชร์ต่อๆกันมา เลยกลายเป็นว่า ข้อมูลถูกบิดเบือน และมาไม่ครบ
ในที่นี้ผมก็เห็นใจแบรนด์ด้วยเหมือนกันครับ เพราะว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์ก็ไม่ได้สูงขึ้น ภาพลักษณ์ก็ไม่ได้จะดูขึ้นสักเท่าไร กลับดูแย่ลงด้วยซ้ำ.......นั่นแบรนด์นี้ก็ต้องแก้ไขกันไป
การตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม ยังคงไปได้ต่อในสังคมไทย แต่นักการตลาดต้องพึงระวังเสมอว่า ข้อมูลต้องชัดเจน
ข้อมูลในทีนี้ หมายถึง เงื่อนไขต่างๆ ที่จะสื่อไปถึงผู้บริโภค ถ้าเทียบในกรณีตัวอย่างแล้ว
ไม่ระบุชัดเจนว่า ยอดเงินบริจาคจะเป็นเท่าไหร่ / ต้องใช้การแชร์บน Social Network Platform ไหน
อย่าลืมนะครับว่า โลกออนไลน์ แบรนด์ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมข่าวสาร แต่ถูกควบคุมต่างหาก
ถ้านักการตลาด หรือ แบรนด์ ไม่ชัดเจน บอกเลยครับว่า กระแสตอบกลับหนักหนาสาหัสแน่นอน
ผมขออนุญาตสรุปเรื่องการตลาดเชิงคุณค่าทางสังคมไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวผมจะนับข้อมูลเชิงสถิติที่ผมรวบรวม ในเรื่องของ "ทัศนคติของประชากรในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ต่อการตลาดเชิงคุณค่าทางสังคม"
ป.ล. ไม่ได้มาทำฝั่งงานเขียนนาน หากมีภาษาผิดพลาด ขออภัย มา ณ ที่นี่ครับ
ป.ล.2 แก้คำผิดครับ