จักรวาลร้านกาแฟไทย "เล็กไม่รอด ใหญ่วันนี้…ไปสุดที่ไหน?"

ธุรกิจกาแฟในประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยในปี 2568 คาดว่าตลาดกาแฟไทยจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองว่า “การดื่มกาแฟ” ไม่ใช่เพียงการบริโภคเครื่องดื่ม แต่เป็น “ไลฟ์สไตล์” ที่ฝังอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน

ส่วนแบรนด์กาแฟที่เป็นผู้เล่นหลักๆ ที่คนไทยคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เช่น คาเฟ่ อเมซอน (Cafe Amazon), พันธุ์ไทย (Punthai), อินทนิล (Inthanin), Starbucks, True Coffee, D'Oro, Black Canyon, สตาร์คอฟฟี่, เบลลินี่ เบค & บรู, จังเกิลคาเฟ่, อาราบิเทีย คาเฟ่, ออล ซีเล็ค, ออล คาเฟ่, คัดสรร เบเกอรี่, ONE TO TWO ฯลฯ

ปัจจุบันตลาดร้านกาแฟถือเป็นสมรภูมิ Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูงมาก มีทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์ต่างประเทศ ร้านกาแฟขนาดเล็ก ไปจนถึงร้านรถเข็นในชุมชน หลายๆ แบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์กาแฟใหญ่ๆ ของไทย พยายามที่จะต่อสู้และรักษาส่วนแบ่งการตลาดท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดนี้

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดกาแฟยังคงเติบโต คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟสดนอกบ้าน ซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าก่อนไปทำงาน หรือระหว่างวัน

แม้ว่าในช่วงนี้เศรษฐกิจอาจไม่ค่อยดีนัก แต่ยอดขายกาแฟกลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะคนยังคงมองว่ากาแฟเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ช่วยเติมพลังและสร้างความสดชื่นได้เสมอ

📌 ผู้ประกอบการกาแฟหน้าใหม่ยังคึกคัก

ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ค.) มีการจดทะเบียนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ เพิ่มขึ้น 5.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567

สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความนิยมที่ยังไม่ลดลง โดยเฉพาะจากกลุ่ม ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่เข้ามาขับเคลื่อนตลาด ทั้งในรูปแบบร้านกาแฟขนาดเล็ก คาเฟ่เฉพาะทาง ไปจนถึงธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดกลางที่ขยายตัวทั่วประเทศ

📌 กาแฟไทย พลังเศรษฐกิจฐานราก

ธุรกิจกาแฟไม่ได้เติบโตเฉพาะในฝั่งร้านค้า แต่ยังส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจระดับชุมชน โดยเฉพาะในกลุ่ม เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการปรับปรุงสายพันธุ์และคุณภาพเมล็ดกาแฟ, กระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐานมากขึ้นื การสร้างแบรนด์และเพิ่มมูลค่าผ่านช่องทางการตลาด

ส่งผลให้กาแฟไทยเริ่มได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้น และกลายเป็น "สินค้าแห่งความภาคภูมิใจ" ของเกษตรกรไทย

📌 ตลาด Specialty Coffee โตแรง

จากข้อมูลของสมาคมกาแฟพิเศษไทย พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงของการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ทำให้วันนี้ กาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) กลายเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของตลาดกาแฟไทย

📌 คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 1.7 แก้วต่อวันต่อคน

มูลค่าตลาด Specialty Coffee ปี 2568 อยู่ที่ 30,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 46% ของตลาดกาแฟทั้งหมดในประเทศ เติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 15%

การเติบโตนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ คุณภาพ รสชาติ ประสบการณ์ และ แหล่งที่มาที่มีเรื่องราวและใส่ใจสิ่งแวดล้อม มากขึ้น

📌 Affordable Specialty Coffee ดาวรุ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้

หนึ่งในเซกเมนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดกาแฟไทยคือ Affordable Specialty Coffee หรือ กาแฟพิเศษราคาจับต้องได้ (ราคาต่อบิลไม่เกิน 100 บาท)
▪️ ในกรุงเทพฯ เติบโตสูงถึง 46%
▪️ ต่างจังหวัด เติบโต 19%

ร้านกาแฟหลายแห่งจึงหันมาเน้นเมนู Specialty ที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น พร้อมสร้าง “ประสบการณ์การดื่มกาแฟ” ที่ดี ผ่านเมนูสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องราวของเมล็ดกาแฟจากแหล่งผลิตในไทย

📌 เล็กไม่รอด? เมื่อการแข่งขันรุนแรงขึ้น

แม้ว่ากระแสธุรกิจกาแฟจะยังเติบโต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่รอดได้ โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กที่ไม่มีความแตกต่างหรือขาดความเข้าใจในตลาด

▪️  ปีที่ผ่านมา 2567 มีร้านกาแฟเปิดใหม่ถึง 7,000 ร้าน ในช่วงครึ่งปีแรก
▪️  ปีนี้ 2568 ลดลงเหลือ 5,000 ร้าน

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ร้านกาแฟยังมี อัตราการอยู่รอดในปีแรก ดีกว่าร้านอาหารทั่วไป

▪️  ร้านกาแฟ ปิดตัวในปีแรก 43%
▪️ ร้านอาหาร ปิดตัวในปีแรก มากกว่า 50%

สะท้อนว่าแม้ตลาดกาแฟจะมีการแข่งขันสูง แต่ถ้าร้านมีจุดแข็งชัดเจน ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้

📌กาแฟโตสวนทางร้านอาหาร ยอดขายร่วง 14%

ในขณะที่ร้านกาแฟยังเติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจร้านอาหารกลับเผชิญความยากลำบาก ยอดขายร้านอาหารลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผู้บริโภคอาจลดการใช้จ่ายในมื้อหลัก แต่ยังคง “ให้รางวัลตัวเอง” ด้วยกาแฟแก้วโปรดได้ในแต่ละวัน

📌เปรียบเทียบ 3 แบรนด์แฟรนไชส์กาแฟชื่อดังในตลาด

1️⃣ คาเฟ่ อเมซอน (Cafe Amazon)
✅บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
✅เปิดตัว 2545
✅สาขาแรก ปั๊ม ปตท. ศรีเจริญภัณฑ์ วิภาวดี
✅จำนวน 4,507 สาชา
✅เป้าหมาย 5,800 สาขา (2568)
✅เมนูราคาเริ่มต้น 40-80 บาท/แก้ว
✅ค่าแฟรนไชส์ 1.5 แสนบาท
✅งบลงทุน 2.3-4.2 ล้านบาท
✅ระยะสัญญา 6 ปี (รีโนเวท 3 ปี)
✅รายได้ (บริษัทแม่) ปี 67 : 683,096 ล้านบาท

2️⃣ พันธุ์ไทย (Punthai)
✅บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด
✅เปิดตัว 2555
✅สาขาแรก อ.บางปะหัน อยุธยา
✅จำนวน 1,642 สาขา
✅เป้าหมาย 2,000 สาขา (2568)
✅เมนูราคาเริ่มต้น 40-70 บาท/แก้ว
✅ค่าแฟรนไชส์ 1.5 แสนบาท
✅งบลงทุน 1.3 - 2.5 ล้านบาท
✅ระยะสัญญา 3+3 ปี
✅รายได้ (บริษัทแม่) ปี 67 : 3,049 ล้านบาท

3️⃣ อินทนิล (Inthanin)
✅บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด
✅เปิดตัว 2548
✅สาขาแรก เจริญกรุงตัดใหม่
✅จำนวน 1,035 สาขา
✅เป้าหมาย 1,400 สาขา (2568)
✅เมนูราคาเริ่มต้น 40-80 บาท/แก้ว
✅ค่าแฟรนไชส์ 1.5 แสนบาท
✅งบลงทุน 1-2 ล้านบาท
✅ระยะสัญญา 6 ปี
✅รายได้ (บริษัทแม่) ปี 67 : 1,100 ล้านบาท

สรุป จักรวาลร้านกาแฟไทย กำลังเข้าสู่ "ยุคคัดกรอง"
📍ร้านเล็กที่ไม่มีจุดขายชัดเจน มีโอกาสเสี่ยงที่จะไปไม่รอด
📍ร้านใหญ่ที่ไม่เข้าใจผู้บริโภค มีโอกาสเติบโตแบบไม่ยั่งยืน
📍ร้านที่เข้าใจตลาด มีคุณภาพ และสร้างความต่าง คือผู้เล่นที่ไปได้ไกล
.
ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ รวบรวมข้อมูล
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่