ปัญหาการโดน bully โดยเฉพาะในหมู่เด็กนักเรียน เราว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในเกือบทุกสังคม
และเป็นปัญหาที่ระบบการศึกษา เข้าไปแก้ไขปัญหาได้ยากพอสมควร
แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตกใจเมื่อลองไต่ตรองดูก็คือ ความจริงที่ว่าผู้กระทำส่วนมากเป็นเยาวชนที่อายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ...
อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้ "เด็ก" ที่หลายๆคนให้คำนิยามว่าคือ สิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาดุจผ้าขาว เผยด้านมืดในตัวเองออกมาผ่านการ "ทำร้าย" ผู้อื่นไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือ จิตใจ?
ตัวเราเองเคยมีประสบการณ์ทั้งโดน bully และเป็นคน bully เองโดยไม่ได้ตั้งใจ...
ตอนสมัยที่ยังเรียนรร.อนุบาลจนถึงชั้นประถมอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งรร.ของเราเป็นรรคาทอลิกเครือคอนแวนต์หญิงล้วนชื่อดัง ประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง
เป็นรร.เอกชน ที่ค่าเทอมแสนแพง และที่คุณพ่อ คุณแม่ของเราลงทุนส่งเราไปเรียนก็เพื่อจะให้ได้เจอกับ "สังคมที่ดี"
ถ้าดูเผินๆ จากภายนอกสังคมรร.ของเราก็อาจจะดูเพอร์เฟค ไม่มียาเสพติด ไม่มีการมั่วสุมในกลุ่มวัยรุ่น
มีกฎระเบียบในเรื่องของมารยาท และการแต่งตัวมากมาย แต่....
เราอยู่ในรร.ด้วยความโดดเดี่ยวถึง 4 ปีเต็มๆ ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ทานข้าวคนเดียวในโรงอาหารใหญ่ๆ
ใช้เวลาพักอยู่ในห้องสมุด หลายครั้งที่กลับมาร้องไห้ที่บ้านคนเดียว แต่ก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อ และคุณแม่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจในสาเหตุที่ไม่ได้ทำมันนัก
แต่สาเหตุที่ทำให้เราไม่มีเพื่อนหลักๆเป็นเพราะ "ความแตกต่าง" จากรูปร่างหน้าตาภายนอก
เรามีผิวสีน้ำตาล เนื่องจากคุณพ่อเป็น African-American แต่คุณแม่เป็นคนผิวขาว เราเลยออกมาแบบผสมๆคือผิวสีน้ำตาลแทน
อีกอย่างที่สำคัญคือ เราติดนิสัย "อมนิ้ว" มาจนถึงตอนโตทำให้โดนเพื่อนๆ "รังเกียจ"
ถูกมองว่าเป็น "ตัวเชื้อโรค" ไม่ใช่ "มนุษย์" เป็น ตัวน่ารังเกียจ ตัวสกปรก ต่างๆนาๆ
เราไม่อยากจะลง detail มากว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง แต่มันก็ค่อนข้างหนักมากสำหรับเด็กอายุเท่านั้น
ที่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก...
สิ่งที่มาเปลี่ยนสถานการณ์ก็เป็นการ "ตัดสินจากเปลือกนอก" อีกเช่นกัน
พอขึ้นชั้นป.5 เริ่มมีการจัดระดับห้องเด็กเรียนเก่งเกิดขึ้นแล้วเราได้ไปอยู่ "ห้องคิง"
และได้เข้าร่วมกลุ่ม เด็ก top 10 ของห้อง ทำให้เรามีเพื่อนไปโดยปริยาย
ได้รับอนุญาตให้เข้ากลุ่มได้ เพราะเราบังเอิญ "เป็นเด็กเรียนดี"
"การเป็นเด็กเรียนดี" สามารถทำให้เรา "มีเพื่อน" ได้....
ส่วนประสบการณ์การ bully คนอื่นเราเคยมีตอนย้ายมาเรียนอยู่ที่ต่างประเทศแล้ว
ที่นี่เราได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก ในบรรดาเพื่อนๆ อาจจะเป็นเพราะอายุที่มากกว่า หน้าตาและนิสัยที่ถูกจริตพวกเขา
หรือ ความมั่นใจที่เรามี และเมื่อมีความยอมรับจากคนส่วนใหญ่อยู่ในมือ ตัวเราก็สามารถ influence คนส่วนใหญ่พวกนี้ได้ง่ายๆ
เราเคยแอบจับได้ว่า มีเพื่อนในห้องแอบโกงข้อสอบ เราก็ไม่รอช้า รีบบอกเพื่อนในห้องให้รับรู้ถึงวีรกรรมของเด็กคนนั้น ด้วยความรู้สึกโกรธที่พวกเราตั้งใจเรียน แต่เขากลับจะมาเอาเปรียบกันง่ายๆ จนสุดท้ายพวกเราถึงรวมตัวกันไปบอกครูประจำวิชา
นาทีที่เด็กคนนั้นถูกสอบสวน "ในห้อง" เพราะพวกเราเห็นว่าคุณครูไม่ยอมทำอะไรสักที จนพวกเราต้องเปิด debate กันเอง "ในห้องเรียน"
วินาทีนั้น คุณครูส่ายหน้า มองพวกเราด้วยสายตาผิดหวัง เป็นสายตาที่เราใช้เวลาอยู่นาน กว่าจะเข้าใจ เพราะณ ตอนนั้น
เราแค่คิดว่า "คนทำผิด" ก็ต้อง "ถูกลงโทษ" เรา "ทำสิ่งที่ถูกต้อง" ที่ปกป้องตัวเองและคนอื่นจากการถูกเอาเปรียบ
แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้เด็กคนนั้น "ถูกตัดสินเป็นจำเลย" โดยเพื่อนๆทั้งห้อง
ซึ่งพวกเรามารู้ทีหลังว่า คุณครูได้มีการพูดคุยกับเด็กคนนั้นเป็นการส่วนตัวไปแล้ว
วินาทีที่เด็กคนนั้นยืนขึ้น แล้วก้มหน้า ไม่พูดอะไร ในขณะที่เพื่อนๆ
ทั้งห้องพากันโห่ร้อง ตัดสินความผิดให้กับเธอ เป็นภาพที่ติดตาเรามาจนถึงทุกวันนี้...
และด้วยความที่ตัวเราเอง มีอิทธิพลต่อเพื่อนในห้อง ก็ทำให้เวลาที่เรามีปัญหาทะเลาะกับใครด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย
เราอาจจะโกรธเขา ซึ่งเรามีสิทธิ์ แต่กลายเป็นว่าคนๆนั้นจะโดนเพื่อนในห้องโกรธไปด้วย
ซึ่งเราไม่มีความตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เราไม่เคยไปพูดจาว่าร้ายอะไรใคร เพียงแต่เพราะเพื่อนๆในห้องเป็น "พวกของเรา"
ทำให้พวกเขาไม่อยากจะยุ่งกับคนที่เรามีปัญหาด้วย...
ยังมีอีกหลายสถานการณ์ ที่เราอาจจะตกไปในฐานะคน bully อย่างไม่ได้ตั้งใจ
เพราะการเพิกเฉยกับคนที่ถูก bully ไม่อยากเข้าไปยุ่ง หรือ ไม่อยากช่วยเหลือ
เพราะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง หรือ อาจจะคิดว่าไม่ได้สนิทกัน อาจจะทำให้เราตกไปอยู่ในฐานะผู้ Bullyอย่าง indirect ได้เช่นกัน
Bullying มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น
Physical(ทางร่างกาย), Emotional (ทางอารมณ์), Verbal (ด้วยคำพูด), cyberbullying (ทางออนไลน์) etc.
เราเคยประสบกับตัวเองมาทั้ง 3 แบบแรก แต่ยังโชคดีที่ในยุคเราสมัยนั้นในเมืองไทย
โลกออนไลน์ยังไม่ได้เปิดกว้างมากนักเท่าปัจจุบัน ทำให้ยังไม่เคยเจอ cyberbullying กับตัว
มีแต่น้องสาวที่เคยเจอมากับตัว แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัว และภูมิต้านทานที่มีอยู่ในตัวเอง
น้องสาวเราอายุแค่ 12 ปี และเด็กผู้หญิงที่เป็นคน bully เธอนั้นก็อายุเท่าๆกัน
นั่นเป็นความจริงที่ทำให้เรารู้สึกตกใจ ที่ข้อความโหดร้ายอย่าง "ไปตายซะ" ถูกกลั่นกรองออกมาจากความคิดของเด็กอายุเท่านี้...
สุดท้ายเราแค่อยากจะบอกว่า school bullying อาจเป็นปัญหาที่ถูกละเลย เนื่องจากมีปัญหาอื่นอีกมากมาย ที่ควรถูกแก้ไข ปรับปรุงในระบบการศึกษา
และปัญหาเรื่อง bullying ก็เป็นปัญหาที่ทางผู้ใหญ่อาจจะเข้าไปทำอะไรได้ยาก แต่มันเป็นสิ่งที่จะเป็นรอยแผลในจิตใจของเด็กไปตลอด...
ตัวเราเองรักษาปัญหาโรคซึมเศร้าอยู่ ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เราต้องเจอกับโรคนี้ แต่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุก็เป็นได้
ตัวน้องสาวเราเองก็เข้าพบจิตแพทย์เช่นกัน...
เด็กๆที่ถูก bully ในรร. มักจะรู้สึกเหมือนกับถูกขังในห้องมืดคนเดียว ไม่เห็นแสงสว่าง
เพราะฉะนั้น เราอยากให้ลองสังเกต มอง และเปิดใจ ให้กับ "เด็กที่ไม่มีเพื่อน"
ลองเข้าไปทักทาย พูดคุยกับพวกเขาบ้าง พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้จริงๆ
สำหรับตัวพ่อแม่ อาจจะยากที่จะรู้ถึงปัญหาในรร.ของลูก ถ้าพวกเขาไม่เปิดใจบอก
แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กในรร. อย่างคุณครู ควรจะยื่นมือให้กับเด็กๆกลุ่มนี้ อย่างจริงจัง
ส่วนพ่อแม่ ถ้าพวกคุณทำให้ลูกๆรู้สึกไว้ใจได้มากพอ จนทำให้พวกเขาจะเปิดใจเล่าถึงปัญหาเมื่อไร
พวกคุณอาจจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องด้วยอาจจะไม่รู้ว่าวิธีไหนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดให้กับลูกๆของพวกคุณ
จะไปบอกครู? หรือจัดการกับเด็กที่มา bully ลูกคุณผ่านผู้ปกครองของเขา? วิธีไหนที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยที่ลูกคุณจะไม่ถูกรังแกหนักกว่าเดิม
ก่อนที่จะไปถึง step นั้น เราอยากจะบอกให้คุณพ่อคุณแม่ก่อนอื่นเลย ให้แสดงความรัก ให้ลูกของตุณได้สัมผัสถึงมัน
ให้พวกเขารับรู้ว่าพวกเขา "มีค่า" มากแค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้
และนี่จะเป็นภูมิต้านทานชั้นดี ที่คุณจะสามารถสร้างให้พวกเขาได้ เพราะ "อย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่รักฉันที่สุด สำหรับพวกเขาฉันคือคนที่มีค่าที่สุด"
แค่เด็กๆมีความคิดนี้ พวกเขาก็จะสามารถรับมือกับคำตัดสินจากสังคมภายนอกได้ ด้วยตัวเองในระดับนึงเลยทีเดียว...
สุดท้ายนี้อยากจะฝาก message ผ่านกระทู้นี้ว่า บางทีเราอาจจะเปลี่ยนสังคมไม่ได้(ทันที)
แต่เราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และลูกหลานได้
อย่าปล่อยให้สังคมรร. กลายเป็นฝันร้ายของเด็กๆ ให้ทุกๆคนช่วยกันคนละทาง และที่สำคัญการช่วยตัวเองจากด้านมืดของสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญ
และฝากไปถึงเด็กๆ ที่ bully คนอื่นทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจว่า บางทีการกระทำที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ การกระทำที่ตัวเองคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ
อาจจะทำร้ายจิตใจคนๆนึง สร้างรอยแผลให้กับเขาทั้งทางร่างกาย และ จิตใจ ได้อย่างมหาศาล ชีวิต 1 ชีวิต ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกคุณ อาจจะไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของพวกคุณ แต่ชีวิตพวกนั้นอาจเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อแม่ของพวกเขา และอยากให้ตระหนักไว้ว่า
ทุกชีวิตมนุษย์มีค่าเท่ากัน ชีวิตของพวกคุณไม่ได้มีค่ามากไปกว่า ชีวิตของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินชีวิตของพวกเขา
คิดก่อนทำให้มากๆ อย่าให้การกระทำและคำพูดของพวกคุณกลายเป็น เครื่องมือทำร้ายชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะไม่มีใคร deserve การกระทำเหล่านั้น
No one deserves to be bullied!
แชร์ประสบการณ์ School bullying ด้านมืดของมนุษย์ในทุกสังคม...
และเป็นปัญหาที่ระบบการศึกษา เข้าไปแก้ไขปัญหาได้ยากพอสมควร
แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตกใจเมื่อลองไต่ตรองดูก็คือ ความจริงที่ว่าผู้กระทำส่วนมากเป็นเยาวชนที่อายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ...
อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้ "เด็ก" ที่หลายๆคนให้คำนิยามว่าคือ สิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาดุจผ้าขาว เผยด้านมืดในตัวเองออกมาผ่านการ "ทำร้าย" ผู้อื่นไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือ จิตใจ?
ตัวเราเองเคยมีประสบการณ์ทั้งโดน bully และเป็นคน bully เองโดยไม่ได้ตั้งใจ...
ตอนสมัยที่ยังเรียนรร.อนุบาลจนถึงชั้นประถมอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งรร.ของเราเป็นรรคาทอลิกเครือคอนแวนต์หญิงล้วนชื่อดัง ประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง
เป็นรร.เอกชน ที่ค่าเทอมแสนแพง และที่คุณพ่อ คุณแม่ของเราลงทุนส่งเราไปเรียนก็เพื่อจะให้ได้เจอกับ "สังคมที่ดี"
ถ้าดูเผินๆ จากภายนอกสังคมรร.ของเราก็อาจจะดูเพอร์เฟค ไม่มียาเสพติด ไม่มีการมั่วสุมในกลุ่มวัยรุ่น
มีกฎระเบียบในเรื่องของมารยาท และการแต่งตัวมากมาย แต่....
เราอยู่ในรร.ด้วยความโดดเดี่ยวถึง 4 ปีเต็มๆ ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ทานข้าวคนเดียวในโรงอาหารใหญ่ๆ
ใช้เวลาพักอยู่ในห้องสมุด หลายครั้งที่กลับมาร้องไห้ที่บ้านคนเดียว แต่ก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อ และคุณแม่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจในสาเหตุที่ไม่ได้ทำมันนัก
แต่สาเหตุที่ทำให้เราไม่มีเพื่อนหลักๆเป็นเพราะ "ความแตกต่าง" จากรูปร่างหน้าตาภายนอก
เรามีผิวสีน้ำตาล เนื่องจากคุณพ่อเป็น African-American แต่คุณแม่เป็นคนผิวขาว เราเลยออกมาแบบผสมๆคือผิวสีน้ำตาลแทน
อีกอย่างที่สำคัญคือ เราติดนิสัย "อมนิ้ว" มาจนถึงตอนโตทำให้โดนเพื่อนๆ "รังเกียจ"
ถูกมองว่าเป็น "ตัวเชื้อโรค" ไม่ใช่ "มนุษย์" เป็น ตัวน่ารังเกียจ ตัวสกปรก ต่างๆนาๆ
เราไม่อยากจะลง detail มากว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง แต่มันก็ค่อนข้างหนักมากสำหรับเด็กอายุเท่านั้น
ที่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก...
สิ่งที่มาเปลี่ยนสถานการณ์ก็เป็นการ "ตัดสินจากเปลือกนอก" อีกเช่นกัน
พอขึ้นชั้นป.5 เริ่มมีการจัดระดับห้องเด็กเรียนเก่งเกิดขึ้นแล้วเราได้ไปอยู่ "ห้องคิง"
และได้เข้าร่วมกลุ่ม เด็ก top 10 ของห้อง ทำให้เรามีเพื่อนไปโดยปริยาย
ได้รับอนุญาตให้เข้ากลุ่มได้ เพราะเราบังเอิญ "เป็นเด็กเรียนดี"
"การเป็นเด็กเรียนดี" สามารถทำให้เรา "มีเพื่อน" ได้....
ส่วนประสบการณ์การ bully คนอื่นเราเคยมีตอนย้ายมาเรียนอยู่ที่ต่างประเทศแล้ว
ที่นี่เราได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก ในบรรดาเพื่อนๆ อาจจะเป็นเพราะอายุที่มากกว่า หน้าตาและนิสัยที่ถูกจริตพวกเขา
หรือ ความมั่นใจที่เรามี และเมื่อมีความยอมรับจากคนส่วนใหญ่อยู่ในมือ ตัวเราก็สามารถ influence คนส่วนใหญ่พวกนี้ได้ง่ายๆ
เราเคยแอบจับได้ว่า มีเพื่อนในห้องแอบโกงข้อสอบ เราก็ไม่รอช้า รีบบอกเพื่อนในห้องให้รับรู้ถึงวีรกรรมของเด็กคนนั้น ด้วยความรู้สึกโกรธที่พวกเราตั้งใจเรียน แต่เขากลับจะมาเอาเปรียบกันง่ายๆ จนสุดท้ายพวกเราถึงรวมตัวกันไปบอกครูประจำวิชา
นาทีที่เด็กคนนั้นถูกสอบสวน "ในห้อง" เพราะพวกเราเห็นว่าคุณครูไม่ยอมทำอะไรสักที จนพวกเราต้องเปิด debate กันเอง "ในห้องเรียน"
วินาทีนั้น คุณครูส่ายหน้า มองพวกเราด้วยสายตาผิดหวัง เป็นสายตาที่เราใช้เวลาอยู่นาน กว่าจะเข้าใจ เพราะณ ตอนนั้น
เราแค่คิดว่า "คนทำผิด" ก็ต้อง "ถูกลงโทษ" เรา "ทำสิ่งที่ถูกต้อง" ที่ปกป้องตัวเองและคนอื่นจากการถูกเอาเปรียบ
แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้เด็กคนนั้น "ถูกตัดสินเป็นจำเลย" โดยเพื่อนๆทั้งห้อง
ซึ่งพวกเรามารู้ทีหลังว่า คุณครูได้มีการพูดคุยกับเด็กคนนั้นเป็นการส่วนตัวไปแล้ว
วินาทีที่เด็กคนนั้นยืนขึ้น แล้วก้มหน้า ไม่พูดอะไร ในขณะที่เพื่อนๆ
ทั้งห้องพากันโห่ร้อง ตัดสินความผิดให้กับเธอ เป็นภาพที่ติดตาเรามาจนถึงทุกวันนี้...
และด้วยความที่ตัวเราเอง มีอิทธิพลต่อเพื่อนในห้อง ก็ทำให้เวลาที่เรามีปัญหาทะเลาะกับใครด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย
เราอาจจะโกรธเขา ซึ่งเรามีสิทธิ์ แต่กลายเป็นว่าคนๆนั้นจะโดนเพื่อนในห้องโกรธไปด้วย
ซึ่งเราไม่มีความตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เราไม่เคยไปพูดจาว่าร้ายอะไรใคร เพียงแต่เพราะเพื่อนๆในห้องเป็น "พวกของเรา"
ทำให้พวกเขาไม่อยากจะยุ่งกับคนที่เรามีปัญหาด้วย...
ยังมีอีกหลายสถานการณ์ ที่เราอาจจะตกไปในฐานะคน bully อย่างไม่ได้ตั้งใจ
เพราะการเพิกเฉยกับคนที่ถูก bully ไม่อยากเข้าไปยุ่ง หรือ ไม่อยากช่วยเหลือ
เพราะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง หรือ อาจจะคิดว่าไม่ได้สนิทกัน อาจจะทำให้เราตกไปอยู่ในฐานะผู้ Bullyอย่าง indirect ได้เช่นกัน
Bullying มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น
Physical(ทางร่างกาย), Emotional (ทางอารมณ์), Verbal (ด้วยคำพูด), cyberbullying (ทางออนไลน์) etc.
เราเคยประสบกับตัวเองมาทั้ง 3 แบบแรก แต่ยังโชคดีที่ในยุคเราสมัยนั้นในเมืองไทย
โลกออนไลน์ยังไม่ได้เปิดกว้างมากนักเท่าปัจจุบัน ทำให้ยังไม่เคยเจอ cyberbullying กับตัว
มีแต่น้องสาวที่เคยเจอมากับตัว แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัว และภูมิต้านทานที่มีอยู่ในตัวเอง
น้องสาวเราอายุแค่ 12 ปี และเด็กผู้หญิงที่เป็นคน bully เธอนั้นก็อายุเท่าๆกัน
นั่นเป็นความจริงที่ทำให้เรารู้สึกตกใจ ที่ข้อความโหดร้ายอย่าง "ไปตายซะ" ถูกกลั่นกรองออกมาจากความคิดของเด็กอายุเท่านี้...
สุดท้ายเราแค่อยากจะบอกว่า school bullying อาจเป็นปัญหาที่ถูกละเลย เนื่องจากมีปัญหาอื่นอีกมากมาย ที่ควรถูกแก้ไข ปรับปรุงในระบบการศึกษา
และปัญหาเรื่อง bullying ก็เป็นปัญหาที่ทางผู้ใหญ่อาจจะเข้าไปทำอะไรได้ยาก แต่มันเป็นสิ่งที่จะเป็นรอยแผลในจิตใจของเด็กไปตลอด...
ตัวเราเองรักษาปัญหาโรคซึมเศร้าอยู่ ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เราต้องเจอกับโรคนี้ แต่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุก็เป็นได้
ตัวน้องสาวเราเองก็เข้าพบจิตแพทย์เช่นกัน...
เด็กๆที่ถูก bully ในรร. มักจะรู้สึกเหมือนกับถูกขังในห้องมืดคนเดียว ไม่เห็นแสงสว่าง
เพราะฉะนั้น เราอยากให้ลองสังเกต มอง และเปิดใจ ให้กับ "เด็กที่ไม่มีเพื่อน"
ลองเข้าไปทักทาย พูดคุยกับพวกเขาบ้าง พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้จริงๆ
สำหรับตัวพ่อแม่ อาจจะยากที่จะรู้ถึงปัญหาในรร.ของลูก ถ้าพวกเขาไม่เปิดใจบอก
แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กในรร. อย่างคุณครู ควรจะยื่นมือให้กับเด็กๆกลุ่มนี้ อย่างจริงจัง
ส่วนพ่อแม่ ถ้าพวกคุณทำให้ลูกๆรู้สึกไว้ใจได้มากพอ จนทำให้พวกเขาจะเปิดใจเล่าถึงปัญหาเมื่อไร
พวกคุณอาจจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องด้วยอาจจะไม่รู้ว่าวิธีไหนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดให้กับลูกๆของพวกคุณ
จะไปบอกครู? หรือจัดการกับเด็กที่มา bully ลูกคุณผ่านผู้ปกครองของเขา? วิธีไหนที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยที่ลูกคุณจะไม่ถูกรังแกหนักกว่าเดิม
ก่อนที่จะไปถึง step นั้น เราอยากจะบอกให้คุณพ่อคุณแม่ก่อนอื่นเลย ให้แสดงความรัก ให้ลูกของตุณได้สัมผัสถึงมัน
ให้พวกเขารับรู้ว่าพวกเขา "มีค่า" มากแค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้
และนี่จะเป็นภูมิต้านทานชั้นดี ที่คุณจะสามารถสร้างให้พวกเขาได้ เพราะ "อย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่รักฉันที่สุด สำหรับพวกเขาฉันคือคนที่มีค่าที่สุด"
แค่เด็กๆมีความคิดนี้ พวกเขาก็จะสามารถรับมือกับคำตัดสินจากสังคมภายนอกได้ ด้วยตัวเองในระดับนึงเลยทีเดียว...
สุดท้ายนี้อยากจะฝาก message ผ่านกระทู้นี้ว่า บางทีเราอาจจะเปลี่ยนสังคมไม่ได้(ทันที)
แต่เราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และลูกหลานได้
อย่าปล่อยให้สังคมรร. กลายเป็นฝันร้ายของเด็กๆ ให้ทุกๆคนช่วยกันคนละทาง และที่สำคัญการช่วยตัวเองจากด้านมืดของสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญ
และฝากไปถึงเด็กๆ ที่ bully คนอื่นทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจว่า บางทีการกระทำที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ การกระทำที่ตัวเองคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ
อาจจะทำร้ายจิตใจคนๆนึง สร้างรอยแผลให้กับเขาทั้งทางร่างกาย และ จิตใจ ได้อย่างมหาศาล ชีวิต 1 ชีวิต ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกคุณ อาจจะไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของพวกคุณ แต่ชีวิตพวกนั้นอาจเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อแม่ของพวกเขา และอยากให้ตระหนักไว้ว่า
ทุกชีวิตมนุษย์มีค่าเท่ากัน ชีวิตของพวกคุณไม่ได้มีค่ามากไปกว่า ชีวิตของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินชีวิตของพวกเขา
คิดก่อนทำให้มากๆ อย่าให้การกระทำและคำพูดของพวกคุณกลายเป็น เครื่องมือทำร้ายชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะไม่มีใคร deserve การกระทำเหล่านั้น
No one deserves to be bullied!