ในธรรมบทมีบันทึกว่า มัฎฐกุณฑลีเป็นลูกชายมหาเศรษฐีพันล้าน
ได้พบพระพุทธองค์ครั้งแรกในขณะที่นอนป่วยหนักใกล้สิ้นใจอยู่นอกชานบ้านตัวเอง
เมื่อตอนที่เขาได้เห็นพระพุทธองค์ครั้งแรกนั้น
เขามีมือแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจนยกไม่ขึ้น เขามีสติแต่ก็ไม่ได้ฟังเทศน์เพราะสังขารอ่อนล้าเต็มที
เขาไม่มีสิ่งใดๆ เลยที่จะน้อมสักการะพระพุทธองค์ได้ มีเพียงดวงตาที่มองดูด้วยความเคารพ
มีเพียงดวงใจที่แสดงความเลื่อมใสในพระพุทธองค์
เหตุที่เขาต้องมานอนอยู่นอกชานบ้าน ไม่ได้พักฟื้นอยู่ในห้องตัวเอง
ก็เพราะบิดาของเขากลัวว่าคนที่มาเยี่ยมไข้ลูกชาย จะเห็นทรัพย์สมบัติในบ้าน
กลัวว่าแค่การมองก็จะทำให้ทรัพย์สินในบ้านหายไปได้
เหตุที่เขาต้องนอนป่วยหนักอย่างไร้หมอรักษาทั้งที่เป็นลูกเศรษฐี ก็เพราะบิดาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว
เป็นห่วงความสิ้นเปลืองค่ารักษามากกว่าเป็นห่วงชีวิตลูกชาย เห็นทรัพย์สินสำคัญกว่าชีวิตคน
ในช่วงเวลาใกล้สิ้นลม เขาจึงมีสภาพไม่ต่างจากคนไข้ไร้ญาติ คนป่วยไร้หมอรักษา
มีเพียงแค่พระพุทธองค์ที่ทั้งไม่ใช่บิดาบารดา ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่คนรู้จัก
แต่ก็ทรงมีพระเมตตาเสด็จมาเยี่ยมไข้ในช่วงวาระสุดท้ายชีวิตของเขา
เขานอนนิ่งมองดูพระพุทธองค์ด้วยจิตเลื่อมใสเพียงครู่หนึ่งก็อำลาโลกไปด้วยใจอันสงบ
ภาพสุดท้ายในโลกนี้ที่เขามทองเห็นคือพระพุทธองค์ยืนประทับส่งเขาไปสุคติด้วยอาการสงบนิ่ง
หลังจากที่เขาสิ้นลมหายใจ ด้วยอำนาจบุญจากจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย
แม้ไม่เคยได้ไปวัด ไม่เคยได้ยกมือไหว้ ไม่เคยได้ฟังธรรม
แต่ก็ยังได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรมีวิมานสว่างไสวงดงามดุจทองคำเปล่งประกายสุกปลั่งมลังเมลือง
เรื่องนี้เป็นข้อคิดว่า การทำจิตให้ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยในช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิต
ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่มีความสำคัญใหญ่หลวงต่อการทำศึกชิงภพอย่างยิ่ง
ดังพุทธภาษิตว่า
"จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติย่อมเป็นที่ไป
เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติย่อมเป็นที่ไป"


ชาวพุทธเข้าใจหลักนี้มาแต่โบราณ เมื่อถึงคราวญาติพี่น้องใกล้ละโลกนี้ไป
จึงพยายามเต็มที่ที่จะช่วยเหลือให้เขามีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้
เพื่อจะให้เขามีจิตผ่องใสก่อนตาย จะได้มีสุคติภพเป็นที่ไป
แม้ความจริงแล้ว ผู้เสียชีวิตนั้นในขณะมีชีวิตอยู่
อาจจะไม่เคยไหว้พระมาตลอดชีวิตเลยสักครั้งเดียวก็ตาม
แต่กระนั้นก็ต้องนำธูปเทียนดอกไม้ใส่มือร่างไร้วิญญาณของเขาไว้
เพื่อให้ร่างของเขาได้สักการะพระรัตนตรัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเป็นเถ้าอัฐิก็ยังดี
ด้วยหวังว่าเมื่อวิญญาณได้เห็นร่างตัวเองถือดอกไม้ธูปเทียนดอกไม้ไหว้พระไว้ในมือ
เขาก็อาจจะได้คิดบังเกิดจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยได้อีกครั้ง
ซึ่งก็เป็นความพยายามของหมู่ญาติที่จะทำสิ่งดีเป็นครั้งสุดท้ายให้แก่เขา
ในความเป็นจริงนั้น ก่อนที่คนเราจะละสังขารนั้น
จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เรียกว่า ศึกชิงภพ
ช่วงนี้เองที่กรรมดีกรรมชั่วในชีวิตของคนเราจะย้อนกลับมาเป็นภาพยนตร์ชีวิตที่บังคับฉายซ้ำ
ให้เจ้าของได้ดูทบทวนก่อนตายอยู่เพียงคนเดียว
ถ้าหากตอนมีชีวิตอยู่ทำบาปไว้มาก ก็จะได้ภาพยนตร์บาปมาฉายให้ดูก่อนตาย
บาปที่ตนก่อไว้ ย่อมทำให้จิตใจมีแต่ความเศร้าหมองเพราะ ทุคติย่อมเป็นที่ไป
จะใส่ธูปเทียนดอกไม้ไว้ในมือกี่กำก็ช่วยไม่ให้พ้นอบายไม่ได้
แต่ถ้าหากตอนมีชีวิตอยู่สร้างบุญไว้มาก ก็ได้ภาพยนตร์บุญมาฉายซ้ำให้ดูก่อนตาย
จิตใจย่อมมีแต่ความผ่องใส เพราะปลาบปลื้มในบุญกุศลที่ตนบำเพ็ญไ้ว้ตลอดชีวิต ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป
--------------------------------------------------------
25 พฤษภาคม 2560
23.51 น.
Cr. ทีมแอดมินFB/Ptreetep
ข้อคิดเรื่องการทำบุญกุศล เพื่อการละโลกไปสู่ภพภูมิที่ดี
ได้พบพระพุทธองค์ครั้งแรกในขณะที่นอนป่วยหนักใกล้สิ้นใจอยู่นอกชานบ้านตัวเอง
เมื่อตอนที่เขาได้เห็นพระพุทธองค์ครั้งแรกนั้น
เขามีมือแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจนยกไม่ขึ้น เขามีสติแต่ก็ไม่ได้ฟังเทศน์เพราะสังขารอ่อนล้าเต็มที
เขาไม่มีสิ่งใดๆ เลยที่จะน้อมสักการะพระพุทธองค์ได้ มีเพียงดวงตาที่มองดูด้วยความเคารพ
มีเพียงดวงใจที่แสดงความเลื่อมใสในพระพุทธองค์
เหตุที่เขาต้องมานอนอยู่นอกชานบ้าน ไม่ได้พักฟื้นอยู่ในห้องตัวเอง
ก็เพราะบิดาของเขากลัวว่าคนที่มาเยี่ยมไข้ลูกชาย จะเห็นทรัพย์สมบัติในบ้าน
กลัวว่าแค่การมองก็จะทำให้ทรัพย์สินในบ้านหายไปได้
เหตุที่เขาต้องนอนป่วยหนักอย่างไร้หมอรักษาทั้งที่เป็นลูกเศรษฐี ก็เพราะบิดาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว
เป็นห่วงความสิ้นเปลืองค่ารักษามากกว่าเป็นห่วงชีวิตลูกชาย เห็นทรัพย์สินสำคัญกว่าชีวิตคน
ในช่วงเวลาใกล้สิ้นลม เขาจึงมีสภาพไม่ต่างจากคนไข้ไร้ญาติ คนป่วยไร้หมอรักษา
มีเพียงแค่พระพุทธองค์ที่ทั้งไม่ใช่บิดาบารดา ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่คนรู้จัก
แต่ก็ทรงมีพระเมตตาเสด็จมาเยี่ยมไข้ในช่วงวาระสุดท้ายชีวิตของเขา
เขานอนนิ่งมองดูพระพุทธองค์ด้วยจิตเลื่อมใสเพียงครู่หนึ่งก็อำลาโลกไปด้วยใจอันสงบ
ภาพสุดท้ายในโลกนี้ที่เขามทองเห็นคือพระพุทธองค์ยืนประทับส่งเขาไปสุคติด้วยอาการสงบนิ่ง
หลังจากที่เขาสิ้นลมหายใจ ด้วยอำนาจบุญจากจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย
แม้ไม่เคยได้ไปวัด ไม่เคยได้ยกมือไหว้ ไม่เคยได้ฟังธรรม
แต่ก็ยังได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรมีวิมานสว่างไสวงดงามดุจทองคำเปล่งประกายสุกปลั่งมลังเมลือง
เรื่องนี้เป็นข้อคิดว่า การทำจิตให้ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยในช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิต
ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่มีความสำคัญใหญ่หลวงต่อการทำศึกชิงภพอย่างยิ่ง
ดังพุทธภาษิตว่า
"จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติย่อมเป็นที่ไป
เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติย่อมเป็นที่ไป"
ชาวพุทธเข้าใจหลักนี้มาแต่โบราณ เมื่อถึงคราวญาติพี่น้องใกล้ละโลกนี้ไป
จึงพยายามเต็มที่ที่จะช่วยเหลือให้เขามีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้
เพื่อจะให้เขามีจิตผ่องใสก่อนตาย จะได้มีสุคติภพเป็นที่ไป
แม้ความจริงแล้ว ผู้เสียชีวิตนั้นในขณะมีชีวิตอยู่
อาจจะไม่เคยไหว้พระมาตลอดชีวิตเลยสักครั้งเดียวก็ตาม
แต่กระนั้นก็ต้องนำธูปเทียนดอกไม้ใส่มือร่างไร้วิญญาณของเขาไว้
เพื่อให้ร่างของเขาได้สักการะพระรัตนตรัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเป็นเถ้าอัฐิก็ยังดี
ด้วยหวังว่าเมื่อวิญญาณได้เห็นร่างตัวเองถือดอกไม้ธูปเทียนดอกไม้ไหว้พระไว้ในมือ
เขาก็อาจจะได้คิดบังเกิดจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยได้อีกครั้ง
ซึ่งก็เป็นความพยายามของหมู่ญาติที่จะทำสิ่งดีเป็นครั้งสุดท้ายให้แก่เขา
ในความเป็นจริงนั้น ก่อนที่คนเราจะละสังขารนั้น
จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เรียกว่า ศึกชิงภพ
ช่วงนี้เองที่กรรมดีกรรมชั่วในชีวิตของคนเราจะย้อนกลับมาเป็นภาพยนตร์ชีวิตที่บังคับฉายซ้ำ
ให้เจ้าของได้ดูทบทวนก่อนตายอยู่เพียงคนเดียว
ถ้าหากตอนมีชีวิตอยู่ทำบาปไว้มาก ก็จะได้ภาพยนตร์บาปมาฉายให้ดูก่อนตาย
บาปที่ตนก่อไว้ ย่อมทำให้จิตใจมีแต่ความเศร้าหมองเพราะ ทุคติย่อมเป็นที่ไป
จะใส่ธูปเทียนดอกไม้ไว้ในมือกี่กำก็ช่วยไม่ให้พ้นอบายไม่ได้
แต่ถ้าหากตอนมีชีวิตอยู่สร้างบุญไว้มาก ก็ได้ภาพยนตร์บุญมาฉายซ้ำให้ดูก่อนตาย
จิตใจย่อมมีแต่ความผ่องใส เพราะปลาบปลื้มในบุญกุศลที่ตนบำเพ็ญไ้ว้ตลอดชีวิต ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป
--------------------------------------------------------
25 พฤษภาคม 2560
23.51 น.
Cr. ทีมแอดมินFB/Ptreetep