สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิป เราเพิ่งกลับมาจากประเทศเนปาลสดๆร้อนๆเลย ไป trek ที่ The Everest Base Camp มาค่ะ เราไม่ได้จ้างไกด์หรือว่าลูกหาบเลย เราไปกับแฟนสองคน และที่สำคัญคือ เราไม่ได้ไปเส้นทางที่คนส่วนใหญ่นิยม แต่เราเริ่มจากอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งก็หวังว่ารีวิวนี้ จะเป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้ที่สนใจจะไปนะคะ หากเราพิมพ์ผิดพลาดหรือใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือถูกต้องประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เนื่องจากกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกค่ะ ^__^

เราใช้เวลาเดินขึ้น-ลงทั้งหมด 3 สัปดาห์ นานหน่อยเพราะแอบป่วยบนเขาค่ะ
ก่อนอื่นเลย เรามาดูก่อนว่าเราจะต้องขึ้นไปที่ความสูงเท่าไหร่? ที่จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 310 เมตร ที่กาฐมาณฑุอยู่ที่ 1400 เมตร และที่ The Everest Base Camp อยู่ที่ 5364 เมตร และยอดเขา The Everest อยู่ที่ 8848 เมตร
เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 18 เมษายน 2560 เดินทางด้วยสายการบินไทยค่ะ
18 เมษายน 2560 -- แลนด์ถึงกาฐมาณฑุบ่ายๆ และเข้าพักที่เกสเฮ้าส์ในเขต Thamel ค่ะ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็จะพักที่ Thamel ค่ะคือมีร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้าต่างๆที่สะดวกสบายค่ะ เนื่องจากเราเคยไป trek ที่ Annapurna Base Camp เมื่อ 3 ปีก่อน เลยรู้มาพอสมควรว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง รอบนี้เรากับแฟนจึงมีกระเป๋าเป้แค่ใบเดียว เพราะทุกอย่างมาซื้อที่กาฐมาณฑุหมดเลยค่ะ 555555 คือเสื้อผ้าที่เขาขายที่นี่เราคิดว่าก็น่าจะเหมาะกับสภาพอากาศและการปีนเขามากกว่าประเทศไทย หลังจากครั้งแรกที่มาเมื่อ 3 ปีก่อน กาฐมาณฑุพัฒนาไปบ้างค่ะ สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ดีขึ้น เสถียรขึ้น ไฟฟ้าก็ไม่ดับเท่าไหร่แล้ว มีไฟตกบ้าง แต่ที่น่าสนใจคือ ราคาข้าวของต่างๆพากันขึ้นแบบ เท่าๆบ้านเราแล้ว คือเมื่อ 3 ปีก่อน เรายังแบบ เอ้ย.. ของถูกมากเลยอะ

เห็นยอดเขาเอเวอร์เรสไหมคะ?
19-20 เมษายน 2560 เรายังคงพักอยู่ในย่าน Thamel ค่ะเนื่องจากว่าเราเป็นหวัดรุนแรงมาก เพราะช่วงสงกรานต์ จัดเต็มมาก ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเลย อีกอย่างคือ เราไม่ได้วางแผนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวว่าจะไป The Everest Base Camp (ขอย่อว่า E.B.C. นะคะ) ยังไง ไปทางไหน มีอะไรบ้าง 55555 ถือว่าเป็นการมาเที่ยวแบบไม่รู้อะไรเลย ไปตายเอาดาบหน้างี้ ทีนี้ แฟนเราเป็นฝรั่ง แล้วเราออกจะติดนิสัยเขามานิดๆ เราไม่ชอบไปเที่ยวแบบเตรียมตัว เราชอบแบบลุยๆ แล้วเผอิญว่าได้คุยกับฝรั่งคนหนึ่ง ปกติแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (เกือบ 80%)จะเดินทางไป E.B.C โดยเครื่องบิน โดยเริ่มที่เมือง Lukla แล้วเดินต่อไป (ค่าตั๋วเครื่องบินไป Lukla ประมาณ 5000 บาทต่อหนึ่งคน บินประมาณ 26 นาที) แล้วเราแบบ อู้ยย ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก อยู่กินแบบยาจก ฝรั่งเขาก็เลยแนะนำว่า ทำไมเธอไม่ไปรถ Jeep ละ เสียเงินแค่ ประมาณ 450 บาท เดินทาง 9-10 ชั่วโมงเองแล้วรถจะไปหยุดที่เมือง Phablu เรากับแฟนก็เลยตัดสินใจแบบนั้น 555555 ตั๋วรถก็ไม่ได้จองอะไรหรอก พรุ่งนี้เช้าค่อยตื่น แล้วไปซื้อหน้าสถานีเอา 555 ก่อนอื่น เราต้องไปขอใบอนุญาตจากทางรัฐบาลก่อนค่ะ นี่คือโฉมหน้าของใบอนุญาต ปล. เราต้องเตรียมรูปถ่ายไปด้วยนะคะ จำราคาค่าใบอนุญาตไม่ได้แล้ว คิดว่าน่าจะประมาณ 4000 รูปีค่ะ
นี่คือใบอนุญาตค่ะ

ตั๋วรถ Jeep ค่ะ

นี่คือแผนที่คร่าวๆ ค่ะ

นี่คือแผนที่คู่ใจของเรา ไม่มีหลงค่ะ ข้อมูลแน่นมาก

มาดูดีกว่าว่าสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่เราต้องมีคืออะไร
1. เสื้อกันหนาว (อย่าหนักมาก เพราะเราไม่มีคนถือให้ ) ถุงมือ ผ้าพันคอ
2. เราเอาเสื้อแขนสั้น หรือแขนยาวบางๆ 2-3ตัวไปด้วย เพราะตอนเดินมันจะร้อนมากๆๆๆๆๆๆ
3. Thermal (คือเสื้อหรือกางเกงที่ใส่ข้างในเพื่อกันหนาวอะ บางๆ)
4. กางเกงใน เสื้อใน เราเอาไปแบบเยอะมาก เพราะมันเล็ก ไม่หนักและเราต้องเปลี่ยนทุกวัน
5. ครีมต่างๆ ต้องมี !! ครีมกันแดด ลิปสติกกันแดด กันปากแตกด้วย ครีมทาผิว
6. ยาหม่อง ยาดม ยาทาแก้ปวด เราได้ใช้เยอะมาก เพราะการเดินในวันแรกๆ กล้ามเนื้อเราจะปวดเมื่อยหนักมาก
7. แว่นกันแดดจ้า เราอยู่ไทยเราไม่เคยใส่เลย แต่อยู่นี่ต้องใส่ เพราะแดดมันแรงมาก มันไม่มีเมฆใดๆมาช่วยปกปิด
8. ถุงเท้าแบบ trekking นะ เอาหนาๆ เพราะมันหนาว ที่สำคัญคือเราต้องเดินเยอะ เอาไปซัก 3-4 คู่ เราก็ใส่วนไปค่ะ ซักบ้างไม่ซักบ้าง
9. เรามี trekking pole ด้วย หรือไม้ stick ที่ช่วยเราตอนเดิน มันจะเป็นประโยชน์มากๆ
10. ขวดน้ำพลาสติกแบบหนาๆนะ เพราะว่ายิ่งขึ้นสูง น้ำราคายิ่งแพง โชคดีหน่อย ที่น้ำในก๊อกสามารถดื่มได้ ฝรั่งส่วนใหญ่เขามีแคปซูลที่ใส่ในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อ แต่เราไม่ได้เตรียมไปไง ไม่รู้ว่ามันมีสิ่งนี้ในโลกด้วย 5555 เราก็เลยต้องกินน้ำแบบยังงั้นแหละ แต่ฮัลโหลล ท้องชั้นแกร่งยะ
11. เตรียมแผนที่ไปด้วยนะจ๊ะ เพราะว่าเราไม่มีไกด์ ฝึกอ่านแผนที่ให้เป็นด้วยจะดีมากเลย
12. ถ้ามีพื้นที่ในกระเป๋าเหลือ หาซื้อดินสอหรือลูกโป่งไปด้วยก็จะดีเลย เด็กๆชาวเขาบางหมู่บ้านแบบมันเป็นสวรรค์ของเขาเลยแหละ เขาไม่มีโอกาสที่แม้แต่จะได้เล่นลูกโป่งอะ
13. อาหารที่นี่มีแต่แป้ง เราจำได้ว่า 7 วันแรก เราไม่ถ่ายเลย ไม่รู้อยู่ได้ยังไง 55555 เอาพวกวิตามินมาทานด้วยก็ดีนะ
14. ยาสามัญควรมีให้ครบ ยาพาราเซตามอล ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวด ยาแก้ท้องเสีย พลาสเตอร์ปิดแผล ยาdiamox เอาไว้ใช้ทานเวลาที่เราเป็นโรคแพ้ที่สูง (Altitude Sickness)
15. หนังสือ สมุดจดหรือไพ่หรือ Kindle ควรมีติดตัวไว้จ้า เพราะเราจะมีเวลาว่างเยอะมาก เราอ่านหนังสือจบไป 5-6 เล่มเลยทีเดียว
16. สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แชมพูขวดเล็กๆเลยนะ สารภาพเลยว่ายิ่งสูง เรายิ่งไม่อยากอาบน้ำ เราไม่ได้อาบน้ำ 8 วัน ไม่ได้สระผม 10 วันอะคิดดู 555 มันไม่เหม็นหรอก เพราะมันหนาว แต่รักแร้ควรมีโรลออน ไม่งั้นเราจะเหม็นตัวเองตายแน่นอน 555
17. ชุดกันฝนและลมจ้า ขอให้มีเลย เพราะเราไม่รู้ว่าฝนจะตกเมื่อไหร่ และในส่วนของลมนั้นมีแน่นอน
18. อ่อ !! ที่สำคัญที่สุดคือ ใบอนุญาตค่ะ เพราะเราไม่มีไกด์ เราต้องไปขอใบอนุญาตเองค่ะ อยู่ในเมืองกาฐมาณฑุค่ะ ลองถามโรงแรมดู เขาจะรู้ เราจำชื่อไม่ได้
เราต้องพยายามคิดให้หนักๆว่าจะเอาอะไรใส่กระเป๋าไปบ้าง เพราะว่าเราไม่มีลูกหาบ (porter) เราต้องรับผิดชอบของเองทั้งหมด
21 เมษายน 2560 Kathmandu --> Phablu (270.1 กิโลเมตร ใช้เวลา 9-10 ชั่วโมง)เราตื่นประมาณ 04.30 ตอนเช้า เพื่อจะไปซื้อตั๋วรถ Jeep ที่ Chabahil Chowk (ค่าแท็กซี่ประมาณ 400 รูปี) ไปถึงประมาณ 05.30 แล้วก็ซื้อตั๋ว 1400 รูปี คือรถ Jeep อะ มีที่นั่ง 7 คน แต่ว่าเป็นธรรมเนียมปกติไปแล้วที่จะต้องนั่งยัดกัน 12 คน !! อื้อหือ เป็นการนั่งรถที่ทรมานที่สุดในชีวิต คือแบบเหยียดขาไม่ได้ นอนพิงไม่ได้ คือแบบฮัลโหล เรามาทำอะไรที่นี่ แล้วคือถนนไม่ใช่ว่าจะคอนกรีตอะไรนะ เหมือนถนนลูกรัง แต่แบบโคตรรังอะ เด้งดึ๋งตลอด 10 ชั่วโมงนี้ รถ Jeep นี่ก็แกร่ง ข้ามแม่น้ำไปเลยข่า คือประเทศไทย เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ไง มานี่คือแบบ เราก็แอบกลัวนะ กลัวรถตกเขา แต่ด้วยประสบการณ์ของพี่คนขับรถ นางสามารถคุยโทรศัพท์ และขับรถขึ้นเขาได้ เราจึงรอดมาได้ ถึงจุดหมายประมาณ 16.00 (อ่อ ลืมบอกว่าเขามีพักเบรกให้ 3 ครั้งคือ อาหารเช้า อาหารกลางวัน และเบรกเพื่อเข้าห้องน้ำ ) เมื่อถึง Phablu แล้วก็จัดการหาที่พัก ได้ที่พักราคา 500 รูปีพร้อมอาบน้ำร้อนฟรี
*** ธรรมเนียมของที่นี่คือว่า หากเราพักที่เกสเฮ้าส์ที่ไหน เราก็จะทานอาหารเย็นและอาหารเช้าในวันถัดมาที่เกสเฮ้าส์ของเขา ทุกที่ก็จะคล้ายๆกันคือมีเตียงเดี่ยว 2 เตียง หมอน 2 ใบ ผ้าห่ม 2 ผืนแค่นั้น จะไม่มีที่ชาร์ตใดๆ เนื่องจากว่าไฟฟ้าเขาไม่ค่อยโอเค ใช้แผงโซล่า ดังนั้นเราต้องจ่ายเงินค่าชาร์ต ราคาจะแพงขึ้นถ้าเรายิ่งเข้าใกล้ E.B.C
22 เมษายน 2560 Phablu --> Nunthala 2,194 metres (ประมาณ 9 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 33 กิโลเมตร )
วันนี้จะเป็นวันแรกที่เราได้เริ่มเดินทางแท้จริง 55 รู้สึกตื่นเต้นมากๆ เลยเดินรวดเดียว 9 ชั่วโมงเลย ช่วง 3 ชั่วโมงแรกจะเป็นการเดินง่ายๆ เหมือนว่าเขากำลังจะทำถนน ทางช่วงนี้เลยถูกถมไว้แล้วเดินง่ายหน่อย แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ทางก็จะเดินแบบขึ้นเขา-ลงเขาของจริง ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะได้ข้ามเขาได้เยอะขนาดนี้ 3-5 ลูกเลยหละวันนี้ ค่าโรงแรม 400 รูปี และค่าอาหารตกประมาณ 2000 รูปี (ให้เอา 2.9 หารนะราคาไทย แต่เราหาร 3 เพราะมันง่ายนี้) อาบน้ำร้อนไม่นะจ๊ะ เสียประมาณ 100-200 รูปี เพราะว่าลาหลายๆตัว ต้องขนถังแก๊สขึ้นมาละ ไม่มีถนนตัดผ่านใดๆทั้งสิ้น
23 เมษายน 2560 Nunthala 2,194 metres --> Buksa (เดินประมาณ 9 ชั่วโมง)
วันนี้จำได้ว่าเป็นวันที่เราร้องไห้เลย เพราะว่าเจ็บขามากกกกกกก กกล้ามเนื้อแย่มากเพราะเดินเยอะเกินเมื่อวาน ร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้ เสียเวลาเดินเยอะมากเพราะเบรกตลอดเวลา รู้สึกแบบ เรามาทำอะไรที่นี่คือแบบอยากกลับแล้ว 5555



เราก็จะได้เดินข้ามสะพาน วิวสวยมากๆๆๆๆๆ
24 เมษายน 2560 Buksa Surke 2290 mt. (เดินประมาณ 8.30 ชั่วโมง)
วันนี้ก็เจ็บขาเช่นกัน อยากเดินไปไกลกว่านี้แต่ว่าร่างกายไม่ให้ เลยต้องหยุดอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ลักษณะการเดินแต่ละวันก็ไม่ต้องถามถึง คือต้องเดินขึ้นไปถึงเกือบๆยอดเขาทุกวัน แล้วต้องลงยอดเขาทุกวันเหมือนกัน แอบก่นในใจว่าทำไมไม่แบบเออ ตัดทางเดินกลางๆเขาเป็นทางตรงละ? ทำไมต้องขึ้นๆๆๆ แล้วลงๆๆๆๆ ได้แต่บ่นในใจ แต่ต้องอดทน เพราะถ้าหยุดเดิน มันจะไม่ถึงสักที 55555 ช่วงนี้คือลาเยอะมาก บางทีต้องหยุดรอเป็นร้อยๆตัว เพื่อให้มันผ่านไป เคล็ดลับอย่างหนึ่งคือ อย่าเดินตามหลังลานะ เพราะนางจะทั้งอึ ฉี่และตด คือแบบกลิ่นไม่ไหวมากๆ

25 เมษายน 2560 Surke 2290 mt. --> Monjo 2835 mt (เดินประมาณ 7.30 ชั่วโมง)
เนื่องจากกระทู้รีวิวส่วนใหญ่จะบินไปที่เมือง Lukla แต่ของเราไม่ได้บินนะคะ เราก็เลยเดินไปอีกทางที่ไม่ต้องผ่านเมืองนี้ เราเดินผ่านเมืองที่ชื่อ Phakding ที่นักท่องเที่ยวจาก Lukla ส่วนใหญ่จะพักที่นี่ แต่เราพักที่หมู่บ้าน Monjo ค่ะ ของกินก็เริ่มแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอนุญาตเราด้วยนะคะ อ่อ ตอนนี้หายปวดขาแล้วค่ะ ร่างกายเริ่มชินกับการเดินเยอะๆละ ตอนนี้ก็แบบเริ่มบ่นน้อยลง 5555 เพราะบ่นไปก็ไม่ได้อะไร ภูเขามันก็ขึ้นๆลงๆอยู่ดี คือระหว่างทางเดิน ก็จะเจอเด็กๆเยอะมาก น่ารักที่สุด



26 เมษายน 2560 Monjo 2835 mt --> Numche 3440 mt (เดินประมาณ 3 ชั่วโมง)
วันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันที่โหดรัสเซียมาก เพราะจาก Monjo ไปถึง Numche นี้ มีแต่ขึ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียวเลยค่ะ แล้วแบบขึ้นเยอะมากๆ จนบางคนทนไม่ไหว ต้องจ้างขึ้นม้ากันเลยทีเดียว จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอนุญาตเราด้วยนะคะ

ถ้าจะไป Numche ใช้สะพานอันบนค่ะ
[CR] ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตกับ The Everest Base Camp (ไม่มีไกด์ ไม่มีลูกหาบ +ไม่ได้ไปเส้นทางฮิต+สไตล์ฝรั่ง)
เราใช้เวลาเดินขึ้น-ลงทั้งหมด 3 สัปดาห์ นานหน่อยเพราะแอบป่วยบนเขาค่ะ
ก่อนอื่นเลย เรามาดูก่อนว่าเราจะต้องขึ้นไปที่ความสูงเท่าไหร่? ที่จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 310 เมตร ที่กาฐมาณฑุอยู่ที่ 1400 เมตร และที่ The Everest Base Camp อยู่ที่ 5364 เมตร และยอดเขา The Everest อยู่ที่ 8848 เมตร
เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 18 เมษายน 2560 เดินทางด้วยสายการบินไทยค่ะ
18 เมษายน 2560 -- แลนด์ถึงกาฐมาณฑุบ่ายๆ และเข้าพักที่เกสเฮ้าส์ในเขต Thamel ค่ะ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็จะพักที่ Thamel ค่ะคือมีร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้าต่างๆที่สะดวกสบายค่ะ เนื่องจากเราเคยไป trek ที่ Annapurna Base Camp เมื่อ 3 ปีก่อน เลยรู้มาพอสมควรว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง รอบนี้เรากับแฟนจึงมีกระเป๋าเป้แค่ใบเดียว เพราะทุกอย่างมาซื้อที่กาฐมาณฑุหมดเลยค่ะ 555555 คือเสื้อผ้าที่เขาขายที่นี่เราคิดว่าก็น่าจะเหมาะกับสภาพอากาศและการปีนเขามากกว่าประเทศไทย หลังจากครั้งแรกที่มาเมื่อ 3 ปีก่อน กาฐมาณฑุพัฒนาไปบ้างค่ะ สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ดีขึ้น เสถียรขึ้น ไฟฟ้าก็ไม่ดับเท่าไหร่แล้ว มีไฟตกบ้าง แต่ที่น่าสนใจคือ ราคาข้าวของต่างๆพากันขึ้นแบบ เท่าๆบ้านเราแล้ว คือเมื่อ 3 ปีก่อน เรายังแบบ เอ้ย.. ของถูกมากเลยอะ
19-20 เมษายน 2560 เรายังคงพักอยู่ในย่าน Thamel ค่ะเนื่องจากว่าเราเป็นหวัดรุนแรงมาก เพราะช่วงสงกรานต์ จัดเต็มมาก ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเลย อีกอย่างคือ เราไม่ได้วางแผนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวว่าจะไป The Everest Base Camp (ขอย่อว่า E.B.C. นะคะ) ยังไง ไปทางไหน มีอะไรบ้าง 55555 ถือว่าเป็นการมาเที่ยวแบบไม่รู้อะไรเลย ไปตายเอาดาบหน้างี้ ทีนี้ แฟนเราเป็นฝรั่ง แล้วเราออกจะติดนิสัยเขามานิดๆ เราไม่ชอบไปเที่ยวแบบเตรียมตัว เราชอบแบบลุยๆ แล้วเผอิญว่าได้คุยกับฝรั่งคนหนึ่ง ปกติแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (เกือบ 80%)จะเดินทางไป E.B.C โดยเครื่องบิน โดยเริ่มที่เมือง Lukla แล้วเดินต่อไป (ค่าตั๋วเครื่องบินไป Lukla ประมาณ 5000 บาทต่อหนึ่งคน บินประมาณ 26 นาที) แล้วเราแบบ อู้ยย ไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก อยู่กินแบบยาจก ฝรั่งเขาก็เลยแนะนำว่า ทำไมเธอไม่ไปรถ Jeep ละ เสียเงินแค่ ประมาณ 450 บาท เดินทาง 9-10 ชั่วโมงเองแล้วรถจะไปหยุดที่เมือง Phablu เรากับแฟนก็เลยตัดสินใจแบบนั้น 555555 ตั๋วรถก็ไม่ได้จองอะไรหรอก พรุ่งนี้เช้าค่อยตื่น แล้วไปซื้อหน้าสถานีเอา 555 ก่อนอื่น เราต้องไปขอใบอนุญาตจากทางรัฐบาลก่อนค่ะ นี่คือโฉมหน้าของใบอนุญาต ปล. เราต้องเตรียมรูปถ่ายไปด้วยนะคะ จำราคาค่าใบอนุญาตไม่ได้แล้ว คิดว่าน่าจะประมาณ 4000 รูปีค่ะ
นี่คือใบอนุญาตค่ะ
ตั๋วรถ Jeep ค่ะ
นี่คือแผนที่คร่าวๆ ค่ะ
นี่คือแผนที่คู่ใจของเรา ไม่มีหลงค่ะ ข้อมูลแน่นมาก
มาดูดีกว่าว่าสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่เราต้องมีคืออะไร
1. เสื้อกันหนาว (อย่าหนักมาก เพราะเราไม่มีคนถือให้ ) ถุงมือ ผ้าพันคอ
2. เราเอาเสื้อแขนสั้น หรือแขนยาวบางๆ 2-3ตัวไปด้วย เพราะตอนเดินมันจะร้อนมากๆๆๆๆๆๆ
3. Thermal (คือเสื้อหรือกางเกงที่ใส่ข้างในเพื่อกันหนาวอะ บางๆ)
4. กางเกงใน เสื้อใน เราเอาไปแบบเยอะมาก เพราะมันเล็ก ไม่หนักและเราต้องเปลี่ยนทุกวัน
5. ครีมต่างๆ ต้องมี !! ครีมกันแดด ลิปสติกกันแดด กันปากแตกด้วย ครีมทาผิว
6. ยาหม่อง ยาดม ยาทาแก้ปวด เราได้ใช้เยอะมาก เพราะการเดินในวันแรกๆ กล้ามเนื้อเราจะปวดเมื่อยหนักมาก
7. แว่นกันแดดจ้า เราอยู่ไทยเราไม่เคยใส่เลย แต่อยู่นี่ต้องใส่ เพราะแดดมันแรงมาก มันไม่มีเมฆใดๆมาช่วยปกปิด
8. ถุงเท้าแบบ trekking นะ เอาหนาๆ เพราะมันหนาว ที่สำคัญคือเราต้องเดินเยอะ เอาไปซัก 3-4 คู่ เราก็ใส่วนไปค่ะ ซักบ้างไม่ซักบ้าง
9. เรามี trekking pole ด้วย หรือไม้ stick ที่ช่วยเราตอนเดิน มันจะเป็นประโยชน์มากๆ
10. ขวดน้ำพลาสติกแบบหนาๆนะ เพราะว่ายิ่งขึ้นสูง น้ำราคายิ่งแพง โชคดีหน่อย ที่น้ำในก๊อกสามารถดื่มได้ ฝรั่งส่วนใหญ่เขามีแคปซูลที่ใส่ในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อ แต่เราไม่ได้เตรียมไปไง ไม่รู้ว่ามันมีสิ่งนี้ในโลกด้วย 5555 เราก็เลยต้องกินน้ำแบบยังงั้นแหละ แต่ฮัลโหลล ท้องชั้นแกร่งยะ
11. เตรียมแผนที่ไปด้วยนะจ๊ะ เพราะว่าเราไม่มีไกด์ ฝึกอ่านแผนที่ให้เป็นด้วยจะดีมากเลย
12. ถ้ามีพื้นที่ในกระเป๋าเหลือ หาซื้อดินสอหรือลูกโป่งไปด้วยก็จะดีเลย เด็กๆชาวเขาบางหมู่บ้านแบบมันเป็นสวรรค์ของเขาเลยแหละ เขาไม่มีโอกาสที่แม้แต่จะได้เล่นลูกโป่งอะ
13. อาหารที่นี่มีแต่แป้ง เราจำได้ว่า 7 วันแรก เราไม่ถ่ายเลย ไม่รู้อยู่ได้ยังไง 55555 เอาพวกวิตามินมาทานด้วยก็ดีนะ
14. ยาสามัญควรมีให้ครบ ยาพาราเซตามอล ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวด ยาแก้ท้องเสีย พลาสเตอร์ปิดแผล ยาdiamox เอาไว้ใช้ทานเวลาที่เราเป็นโรคแพ้ที่สูง (Altitude Sickness)
15. หนังสือ สมุดจดหรือไพ่หรือ Kindle ควรมีติดตัวไว้จ้า เพราะเราจะมีเวลาว่างเยอะมาก เราอ่านหนังสือจบไป 5-6 เล่มเลยทีเดียว
16. สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แชมพูขวดเล็กๆเลยนะ สารภาพเลยว่ายิ่งสูง เรายิ่งไม่อยากอาบน้ำ เราไม่ได้อาบน้ำ 8 วัน ไม่ได้สระผม 10 วันอะคิดดู 555 มันไม่เหม็นหรอก เพราะมันหนาว แต่รักแร้ควรมีโรลออน ไม่งั้นเราจะเหม็นตัวเองตายแน่นอน 555
17. ชุดกันฝนและลมจ้า ขอให้มีเลย เพราะเราไม่รู้ว่าฝนจะตกเมื่อไหร่ และในส่วนของลมนั้นมีแน่นอน
18. อ่อ !! ที่สำคัญที่สุดคือ ใบอนุญาตค่ะ เพราะเราไม่มีไกด์ เราต้องไปขอใบอนุญาตเองค่ะ อยู่ในเมืองกาฐมาณฑุค่ะ ลองถามโรงแรมดู เขาจะรู้ เราจำชื่อไม่ได้
เราต้องพยายามคิดให้หนักๆว่าจะเอาอะไรใส่กระเป๋าไปบ้าง เพราะว่าเราไม่มีลูกหาบ (porter) เราต้องรับผิดชอบของเองทั้งหมด
21 เมษายน 2560 Kathmandu --> Phablu (270.1 กิโลเมตร ใช้เวลา 9-10 ชั่วโมง)เราตื่นประมาณ 04.30 ตอนเช้า เพื่อจะไปซื้อตั๋วรถ Jeep ที่ Chabahil Chowk (ค่าแท็กซี่ประมาณ 400 รูปี) ไปถึงประมาณ 05.30 แล้วก็ซื้อตั๋ว 1400 รูปี คือรถ Jeep อะ มีที่นั่ง 7 คน แต่ว่าเป็นธรรมเนียมปกติไปแล้วที่จะต้องนั่งยัดกัน 12 คน !! อื้อหือ เป็นการนั่งรถที่ทรมานที่สุดในชีวิต คือแบบเหยียดขาไม่ได้ นอนพิงไม่ได้ คือแบบฮัลโหล เรามาทำอะไรที่นี่ แล้วคือถนนไม่ใช่ว่าจะคอนกรีตอะไรนะ เหมือนถนนลูกรัง แต่แบบโคตรรังอะ เด้งดึ๋งตลอด 10 ชั่วโมงนี้ รถ Jeep นี่ก็แกร่ง ข้ามแม่น้ำไปเลยข่า คือประเทศไทย เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ไง มานี่คือแบบ เราก็แอบกลัวนะ กลัวรถตกเขา แต่ด้วยประสบการณ์ของพี่คนขับรถ นางสามารถคุยโทรศัพท์ และขับรถขึ้นเขาได้ เราจึงรอดมาได้ ถึงจุดหมายประมาณ 16.00 (อ่อ ลืมบอกว่าเขามีพักเบรกให้ 3 ครั้งคือ อาหารเช้า อาหารกลางวัน และเบรกเพื่อเข้าห้องน้ำ ) เมื่อถึง Phablu แล้วก็จัดการหาที่พัก ได้ที่พักราคา 500 รูปีพร้อมอาบน้ำร้อนฟรี
*** ธรรมเนียมของที่นี่คือว่า หากเราพักที่เกสเฮ้าส์ที่ไหน เราก็จะทานอาหารเย็นและอาหารเช้าในวันถัดมาที่เกสเฮ้าส์ของเขา ทุกที่ก็จะคล้ายๆกันคือมีเตียงเดี่ยว 2 เตียง หมอน 2 ใบ ผ้าห่ม 2 ผืนแค่นั้น จะไม่มีที่ชาร์ตใดๆ เนื่องจากว่าไฟฟ้าเขาไม่ค่อยโอเค ใช้แผงโซล่า ดังนั้นเราต้องจ่ายเงินค่าชาร์ต ราคาจะแพงขึ้นถ้าเรายิ่งเข้าใกล้ E.B.C
22 เมษายน 2560 Phablu --> Nunthala 2,194 metres (ประมาณ 9 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 33 กิโลเมตร )
วันนี้จะเป็นวันแรกที่เราได้เริ่มเดินทางแท้จริง 55 รู้สึกตื่นเต้นมากๆ เลยเดินรวดเดียว 9 ชั่วโมงเลย ช่วง 3 ชั่วโมงแรกจะเป็นการเดินง่ายๆ เหมือนว่าเขากำลังจะทำถนน ทางช่วงนี้เลยถูกถมไว้แล้วเดินง่ายหน่อย แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ทางก็จะเดินแบบขึ้นเขา-ลงเขาของจริง ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะได้ข้ามเขาได้เยอะขนาดนี้ 3-5 ลูกเลยหละวันนี้ ค่าโรงแรม 400 รูปี และค่าอาหารตกประมาณ 2000 รูปี (ให้เอา 2.9 หารนะราคาไทย แต่เราหาร 3 เพราะมันง่ายนี้) อาบน้ำร้อนไม่นะจ๊ะ เสียประมาณ 100-200 รูปี เพราะว่าลาหลายๆตัว ต้องขนถังแก๊สขึ้นมาละ ไม่มีถนนตัดผ่านใดๆทั้งสิ้น
23 เมษายน 2560 Nunthala 2,194 metres --> Buksa (เดินประมาณ 9 ชั่วโมง)
วันนี้จำได้ว่าเป็นวันที่เราร้องไห้เลย เพราะว่าเจ็บขามากกกกกกก กกล้ามเนื้อแย่มากเพราะเดินเยอะเกินเมื่อวาน ร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้ เสียเวลาเดินเยอะมากเพราะเบรกตลอดเวลา รู้สึกแบบ เรามาทำอะไรที่นี่คือแบบอยากกลับแล้ว 5555
24 เมษายน 2560 Buksa Surke 2290 mt. (เดินประมาณ 8.30 ชั่วโมง)
วันนี้ก็เจ็บขาเช่นกัน อยากเดินไปไกลกว่านี้แต่ว่าร่างกายไม่ให้ เลยต้องหยุดอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ลักษณะการเดินแต่ละวันก็ไม่ต้องถามถึง คือต้องเดินขึ้นไปถึงเกือบๆยอดเขาทุกวัน แล้วต้องลงยอดเขาทุกวันเหมือนกัน แอบก่นในใจว่าทำไมไม่แบบเออ ตัดทางเดินกลางๆเขาเป็นทางตรงละ? ทำไมต้องขึ้นๆๆๆ แล้วลงๆๆๆๆ ได้แต่บ่นในใจ แต่ต้องอดทน เพราะถ้าหยุดเดิน มันจะไม่ถึงสักที 55555 ช่วงนี้คือลาเยอะมาก บางทีต้องหยุดรอเป็นร้อยๆตัว เพื่อให้มันผ่านไป เคล็ดลับอย่างหนึ่งคือ อย่าเดินตามหลังลานะ เพราะนางจะทั้งอึ ฉี่และตด คือแบบกลิ่นไม่ไหวมากๆ
25 เมษายน 2560 Surke 2290 mt. --> Monjo 2835 mt (เดินประมาณ 7.30 ชั่วโมง)
เนื่องจากกระทู้รีวิวส่วนใหญ่จะบินไปที่เมือง Lukla แต่ของเราไม่ได้บินนะคะ เราก็เลยเดินไปอีกทางที่ไม่ต้องผ่านเมืองนี้ เราเดินผ่านเมืองที่ชื่อ Phakding ที่นักท่องเที่ยวจาก Lukla ส่วนใหญ่จะพักที่นี่ แต่เราพักที่หมู่บ้าน Monjo ค่ะ ของกินก็เริ่มแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอนุญาตเราด้วยนะคะ อ่อ ตอนนี้หายปวดขาแล้วค่ะ ร่างกายเริ่มชินกับการเดินเยอะๆละ ตอนนี้ก็แบบเริ่มบ่นน้อยลง 5555 เพราะบ่นไปก็ไม่ได้อะไร ภูเขามันก็ขึ้นๆลงๆอยู่ดี คือระหว่างทางเดิน ก็จะเจอเด็กๆเยอะมาก น่ารักที่สุด
26 เมษายน 2560 Monjo 2835 mt --> Numche 3440 mt (เดินประมาณ 3 ชั่วโมง)
วันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันที่โหดรัสเซียมาก เพราะจาก Monjo ไปถึง Numche นี้ มีแต่ขึ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียวเลยค่ะ แล้วแบบขึ้นเยอะมากๆ จนบางคนทนไม่ไหว ต้องจ้างขึ้นม้ากันเลยทีเดียว จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอนุญาตเราด้วยนะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น