.
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36428832
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/36439070
ข้าน้อยมีภารกิจด้นดั้นออกไปหาเห็ดเผาะ มาแกงใส่ผักหวานป่า จนเพลินหลงทาง
ทำให้บทที่ 3 มาช้า ข้อน้อยขออภัย สัญญาว่าบทสุดท้าย(จบ) จะล่าช้ายิ่งกว่านี้ ให้ได้ขอรับ
บทที่ 3
คาดไม่ถึงว่าหมู่ตึกเห็ดฟางจะสามารถเรียกแม่เฒ่าพิสดารผู้นี้มาคุ้มครองได้เพราะหลังจากธาตุสุราแตกลมปราณโคจรเปลี่ยนทิศ นางกลับกลายเป็นคนพฤติกรรมยากครุ่นคิดคำนวณ บัดเดี๋ยวดีบัดเดี๋ยวร้าย หนึ่งคนหนึ่งควายผู้บุกรุกต่างพากันชะงักงันกับพลังมหาศาลไร้สภาพ
นางยกมือขวาขึ้นชายเสื้อยาวโบกสะบัด สองฟากถนนกว้างมีแนวแถวพฤกษายาวเหยียด ยามนี้มีบุคคลชุดสีเห็ดฟางโผล่เรียงรายข้างละสิบกว่าคน นั่นคือกองกำลังพิทักษ์เห็ดของหมู่บ้าน ล้วนถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี ในมือของพวกเขามี สุดยอดของอาวุธแห่งยุทธภพที่ใครพบพานล้วนประหวั่นพรั่นพรึง นั่นคือหนังสติ๊กสะท้านภพ
ควรทราบว่าหนังสติ๊ก (slingshot) เป็นอาวุธมหาประลัย ยิงด้วยมือ ทำจากไม้ง่าม มียาง 2 เส้นยึดอยู่ปลายง่ามทั้งสอง อีกด้านของยางทั้งสองเส้นจะติดกับแถบหนังสำหรับใช้ใส่สิ่งของที่จะยิงออกไป เช่น ก้อนหินขนาดเล็ก ลูกดินปั้นแข็ง พอยิงออกไปยากต่อการต้านรับหลบหลีกอย่างยิ่ง นับว่าหมู่ตึกทุ่มเทกำลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
รอจนบรรยากาศสงบลง และแม่เฒ่าแม่เฒ่าจึงเริ่มเดินเข้าหาผู้บุกรุก ในมือนางไม่มีอาวุธอันใด เพราะวิชาการต่อสู้ของนางถึงขั้นอาวุธอยู่ที่ใจแล้ว บุรุษหนุ่มตาจับจ้องไม่กะพริบ เมื่อมาแล้วก็มิอาจไม่มา เพราะอย่างไรก็มาแล้ว รวบรวมสมาธิมั่นคงเยือกเย็นเป็นตายไม่นำพามาปรารมภ์ แม่เฒ่าจ้องมองไม่วางตาเช่นกัน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อย จนกลายเป็นเสียงหัวร่ออย่างชั่วร้าย
“เหอ เหอ เหอ ฮา ฮา ในที่สุดก็เลือกทางตายอย่างโง่งมทั้งคนทั้งควาย เหอ เหอ ฮา...”
เผินๆ คล้ายเป็นการหัวร่อธรรมดา แต่ความจริงเป็นวิชามารร้ายอย่างหนึ่งนั่นคือวิชา “หัวร่อใส่หน้า” ใจไม่ถึงประกันว่าไม่กล้าหัวร่อใส่หน้าผู้คนเด็ดขาด พลังเกรี้ยวกราดรุนแรงหลายสายถาโถมเข้าหาฝ่ายตรงกันข้ามราวพายุฝนโหมกระหน่ำถล่มทลาย
เสียมตวาดก้องกรีดมือวาดเท้าเอียงกาย เท้าหนึ่งย่อเท้าหนึ่งเหยียดเฉียงเอียงหน้าเข้าหาการโจมตีสกัดด้วยหลักวิชา “หน้าโง่”
หน้าโง่...เป็นคำง่ายๆ เราท่านเคยได้ยินมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าจะมีใครนึกสภาพใบหน้าออกว่า หน้าโง่ มีสภาพหน้าอย่างไร ไม่เชื่อท่านลองนึกดูก็ได้ แต่บุรุษหนุ่มกลับสามารถทำหน้าโง่ออกมาได้อย่างชัดเจนรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า
ตูม..
เสียงระเบิดกึกก้องราวถล่มพิภพทลายจักรวาล แนวต้นสนสะบัดกิ่งก้านครืนครั่นสั่นไหว บางต้นหักกลางโค่นล้มฟาดลงข้างทางเดินแปลงดอกไม้กระจัดกระจาย ทำเอาบรรดามือหนังสติ๊กแถวนั้นกระโดดหนีไปคนละทิศละทางอย่างแตกตื่นขวัญเสีย
หัวร่อใส่หน้าโง่ มีประโยชน์อันใด...เพราะหน้าโง่ย่อมไม่สะทกสะท้านไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว อย่างน้อยความโง่มีประโยชน์ประการหนึ่งคือไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อไม่รู้เรื่องบางครั้งก็ไม่ต้องยุ่งยากมากความให้วุ่นวายใจ ดังนั้นคนเราควรหัดโง่ไว้บ้างในบางครั้งย่อมเป็นการดี ไม่จำเป็นต้องฉลาดไปทุกเรื่อง
ดังนั้นการลงมือครั้งแรกผลคือยังคงไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำ
เจ้าทุยลงมือบ้าง อสูรสงครามแห่งท้องทุ่งสะบัดเขาโค้งโง้งยาวหันหน้ายิ้มออกไปหลายครั้งต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“โอ......ควายยิ้ม”
เหล่านักสู้รอบข้างอุทานระงมด้วยความแตกตื่น
วิชาควายยิ้ม...หลายคนคิดว่าเป็นเพียงเรื่องหลอกเด็กในเทพนิยายของแอนเดอร์สันเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่ามีจริง สิ่งนอกเหนือความคาดคิดจึงร้ายกาจอันตรายอย่างแท้จริง รอยยิ้มความจริงเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง อาวุธธรรมดาสามารถบาดเพียงร่างกายอย่างมากแค่ตาย แต่รอยยิ้มบาดลึกเข้าไปในจิตใจหลอกหลอนกระทั่งยามฝันตายก็ไม่นอนตาหลับ พลังแหลมคมหวีดหวิวฝานอากาศเข้าหาแม่เฒ่าตามด้วยมวลอากาศระเบิดถี่ยิบบดเบียดเข้าหากระเบื้องสีขาวปูทางเดินแตกละเอียดสนั่นหวั่นไหวเป็นทางยาว
แม่เฒ่ากระทืบพื้นคราหนึ่ง ร่างพุ่งขึ้นไปด้วยวิชา “แมงจินูนถลาลม” ลอยปรากฏเด่นชัดตัดดวงตะวันใกล้ปลายฟ้าทิวไม้ ไม่ยอมรับรอยยิ้มของควายตรงๆ มือทั้งสองข้างกางสยายกวัดแกว่งลงมาหาผู้บุกรุกด้วยวิชาค้างคาวแม่ไก่ด้วยพลังทั้งหลายทั้งสิ้นทั้งหมดทั้งมวลทุ่มเทหมายถล่มลงในครั้งคราเดียว
บุรุษหนุ่มมิรอช้า กระโดดปราดขึ้นไปนั่งบนหลังควาย นั่นเป็นวิชา “คนขี่หลังควาย” อันลือลั่น คนกับควายผนึกจิตใจเป็นหนึ่งเดียว ถึงขั้น ไร้เขา... ไร้เรา... ไร้คน... ไร้ควาย...เสียมไร้เงาแทงปราดออกราวสายฟ้า เขาควายฉวัดเฉวียนราวฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ผสมผสานเป็นขุมพลังกระแทกขึ้นไปสุดกำลัง
ฉับพลันนั้นเองหนุ่มเสียมพลันลานตาวูบ พลังทั้งหมดของตนเองคล้ายกรวดทรายโถมลงทะเลไร้แรงสะท้อนกลับหายลับไปในความเวิ้งว้างว้างเปล่าอย่างน่าใจหาย กว่าจะมีสติกลับคืนพบว่าเสียมไร้เงาของตนถูกแม่เฒ่าเหอเหอแย่งชิงไปแล้ว สองเท้าของนางเหยียบเขาควายสะกดความเคลื่อนไหวพร้อมเสียงหัวร่อเสียดประสาทบาดหู
ผลการต่อสู้ออกมาแล้ว
แม่เฒ่าเหอเหอเป็นฝ่ายมีชัย เสียมในมือเงื้อง้างสุดแขน
บุรุษหนุ่มผู้พ่ายแพ้หลับตาลงรอรับชะตากรรม สู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ทรมานเพราะรักมันทรมานยิ่งกว่าการฆ่า ฆ่าฉัน.. ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า ลาก่อนส้มปลาน้อยแสนนัว ลาก่อนท้องทุ่งนา ลาก่อนเจ้าด่างลูกหมาน้อยหลงทางกลับมาจากปลายนาหลายวันก่อน ข้าคงไม่ได้เลี้ยงข้าวเจ้าแล้ว เจ้าคงระหดระเหินต่อไปอย่างไร้ทิศทาง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สายลมโชย ฝุ่นละอองโรยรายมาตามสายลม มีเสียงคล้ายเสียงพร่ำบ่นด้วยภาษาประหลาดดังแว่วมา ทำให้ทุกท่วงท่าชะงักค้างราวโดนมนต์สะกด
Dust in the wind
All they are is dust in the wind
Dust in the wind
All we are is dust in the wind.
Dust in the wind
Everything is dust in the wind
แม่เฒ่าเหอเหอสะดุ้งสุดตัวกระโดดตีลังกากลับหลังไปปักหลักบนพื้นสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง เสียมในมือปักลึกลงข้างกายด้วยความพลุ่งพล่าน นางฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร เพราะในยุทธภพไม่เคยมีภาษาโบราณพิสดารเช่นนี้มาก่อน แต่นางฟังออกว่าเป็นของใคร
วัตถุกลม ๆ ขนาดเท่าไข่ไก่ลอยลงมาหมุนติ้วอยู่พื้นข้างหน้าแม่เฒ่า ทุกคนลืมเลือนการต่อสู้ไปชั่วขณะ จ้องมองวัตถุประหลาดตาไม่กะพริบ
เป็นไข่เยี่ยวม้าสีชมพูใบหนึ่ง
ไข่มา... คนมา....
ด้านข้างนักบวชรูปหนึ่งปรากฏราวภูตพราย กล้ามเนื้อใบหน้าของแม่เฒ่ากระตุกไปมาด้วยความรู้สึกเร้นปะทุภายใน ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแสนนานขนาดไหน ไม่ว่าจะชราภาพไปเช่นไร นางไม่มีวันลืม คนเรามีบางอย่างต่อให้กดอัดลึกลงในพื้นที่หัวใจที่พระเจ้าลืมเลือนทอดทิ้งเท่าใดก็ตาม แต่ตัวเองกลับไม่อาจลืม เพียงรอเวลาปะทุลาวาแห่งความทรงจำเท่านั้น
กาลก่อนเป็น ไอ้หนุ่มไข่เยี่ยวม้า วันนี้เป็นเฒ่านักบวชไข่เยี่ยวม้า
นานมาแล้ว ไอ้หนุ่มไข่เยี่ยวม้าหลบลี้หนีเตลิดเมื่อแม่นางยาดองธาตุสุราแตกซ่าน หลายคนคิดว่ามันไม่อาจสู้ความจริง ไม่คาดว่าหวนกลับมาอีกครั้ง
“เป็นท่าน.....” แม่เฒ่าเอ่ยปากอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง พริบตานั้นความรักความแค้นความโศกเศร้าความหดหู่สลดใจประเดประดังจนยากต่อการบรรยาย
“เป็นข้า...” นักบวชเฒ่าขานรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเปี่ยมเมตตา
“ท่านมาทำไม ไปแล้วทำไมยังมีหน้ากลับมาอีก”
“ข้าไปก็เพราะท่าน ข้ามาก็เพราะท่าน มิใช่มาเพียงหน้า ยังมาทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนครบครันไม่ขาดหาย”
“เหลวไหล ท่านไปด้วยไม่บอกสักคำ อย่ามาอ้าง” แม่เฒ่าชี้หน้าตวาดก้องสีหน้าเริ่มปรากฏแววสะท้านเดือดดาล ท่าทางความรักความแค้นจะได้สะสางในไม่ช้า แต่นักบวชเฒ่ายังคงทีท่าสงบนิ่ง ทั้งกล่าวต่อไปช้าๆว่า
“ข้าไปเพราะเห็นท่านธาตุยาดองในร่างกายแตกซ่าน พูดจาไม่รู้เรื่อง จึงออกไปหาทางช่วยเหลือท่าน ด้นดั้นเสาะหาหน่อไม้หิมะบนเทือกเขาหิมาลัย บุกป่าผ่าดงไปหาเห็ดระโงกทิพย์ในป่าดงดิบ มุ่งหน้าสู่เทือกเขาพระศิวะค้นหากุดจี่วิเศษ ลงมหาสมุทรสุดลึกค้นหาอึ่งอ่างทะเล เพื่อผสมเป็นตัวยารักษาท่าน แต่ไร้ผล สุดท้ายกลับไปสิ่งหนึ่งมาโดยไม่คาดฝัน”
“เช่นไร” แม่เฒ่าตวาดอย่างไม่ยินยอมแต่เสียงเริ่มแผ่วลง เมื่อนึกว่าอีกฝ่ายเหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสเพียงไรในการมุ่งมั่นเดินทางเพียงใด
“ธุลีในสายลม คำตอบเรื่องนี้อยู่ที่ธุลีในสายลม”
“เช่นไร”
“แม่เฒ่ายาดองเหอเหอเอย...สรรพสิ่งล้วนไม่เทียงแท้แน่นอน ราวธุลีในสายลมที่เราหลับตาลงเพียงชั่วครู่และเพียงชั่วครู่นั้นก็พัดผ่านหายไป ทั้งหมดที่มันเป็นคือฝุ่นในสายลม เป็นแค่น้ำหยดหนึ่งในทะเลไร้ขอบเขต ทั้งหมดที่เราจะเป็นก็คือสูญสลายลงสู่ดินแม้เราปฏิเสธมันก็ตาม”
“ท่านเล่นง่ายมาก เล่นดัดแปลงมาเลย เหอเหอ...”
“หาไม่....” นักบวชเฒ่ายังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแห่งแววสงบเยือกเย็น
“ท่านเพียงเข้าใจ ก็จะเข้าใจ ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ท่านไม่จำเป็นต้องเสนอหน้าออกมาต่อสู้กับผู้ใด อย่ายึดติดเลย ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนไปตลอดศัตรูสำคัญที่สุดของท่านคือตัวท่านเอง ถ้าจะต่อสู้ควรต่อสู้กับตัวท่านเอง ต่อสู้กับความอยาก สู้กับกิเลส และเอาชนะมัน หรือไม่ก็อยู่กับมันอย่างศานติ..เหอเหอ...เอ้ย..ไม่ๆ...ไม่เหอเหอ”
แม่เฒ่านิ่งเนิ่นนาน นานจนตะวันเริ่มลมแมกไม้ทิวเขา ท่าทีค่อยผ่อนคลายลงทีละน้อย สุดท้ายสูดลมหายใจยาวส่งเสียงคล้ายคนละเมอว่า
“เหอเหอเหอ...ข้าควรทำเช่นไร...เหอเหอ”
“ท่านควรเลิก เหอเหอเหอ เสียที ข้าฟังแล้วเกรงว่าจะ เหอเหอ ตามท่านตลอดไป และควรทำจิตใจเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติหรือธรรมะ”
.
เสียมไร้เงา.........3
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36428832
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/36439070
ข้าน้อยมีภารกิจด้นดั้นออกไปหาเห็ดเผาะ มาแกงใส่ผักหวานป่า จนเพลินหลงทาง
ทำให้บทที่ 3 มาช้า ข้อน้อยขออภัย สัญญาว่าบทสุดท้าย(จบ) จะล่าช้ายิ่งกว่านี้ ให้ได้ขอรับ
บทที่ 3
คาดไม่ถึงว่าหมู่ตึกเห็ดฟางจะสามารถเรียกแม่เฒ่าพิสดารผู้นี้มาคุ้มครองได้เพราะหลังจากธาตุสุราแตกลมปราณโคจรเปลี่ยนทิศ นางกลับกลายเป็นคนพฤติกรรมยากครุ่นคิดคำนวณ บัดเดี๋ยวดีบัดเดี๋ยวร้าย หนึ่งคนหนึ่งควายผู้บุกรุกต่างพากันชะงักงันกับพลังมหาศาลไร้สภาพ
นางยกมือขวาขึ้นชายเสื้อยาวโบกสะบัด สองฟากถนนกว้างมีแนวแถวพฤกษายาวเหยียด ยามนี้มีบุคคลชุดสีเห็ดฟางโผล่เรียงรายข้างละสิบกว่าคน นั่นคือกองกำลังพิทักษ์เห็ดของหมู่บ้าน ล้วนถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี ในมือของพวกเขามี สุดยอดของอาวุธแห่งยุทธภพที่ใครพบพานล้วนประหวั่นพรั่นพรึง นั่นคือหนังสติ๊กสะท้านภพ
ควรทราบว่าหนังสติ๊ก (slingshot) เป็นอาวุธมหาประลัย ยิงด้วยมือ ทำจากไม้ง่าม มียาง 2 เส้นยึดอยู่ปลายง่ามทั้งสอง อีกด้านของยางทั้งสองเส้นจะติดกับแถบหนังสำหรับใช้ใส่สิ่งของที่จะยิงออกไป เช่น ก้อนหินขนาดเล็ก ลูกดินปั้นแข็ง พอยิงออกไปยากต่อการต้านรับหลบหลีกอย่างยิ่ง นับว่าหมู่ตึกทุ่มเทกำลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
รอจนบรรยากาศสงบลง และแม่เฒ่าแม่เฒ่าจึงเริ่มเดินเข้าหาผู้บุกรุก ในมือนางไม่มีอาวุธอันใด เพราะวิชาการต่อสู้ของนางถึงขั้นอาวุธอยู่ที่ใจแล้ว บุรุษหนุ่มตาจับจ้องไม่กะพริบ เมื่อมาแล้วก็มิอาจไม่มา เพราะอย่างไรก็มาแล้ว รวบรวมสมาธิมั่นคงเยือกเย็นเป็นตายไม่นำพามาปรารมภ์ แม่เฒ่าจ้องมองไม่วางตาเช่นกัน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อย จนกลายเป็นเสียงหัวร่ออย่างชั่วร้าย
“เหอ เหอ เหอ ฮา ฮา ในที่สุดก็เลือกทางตายอย่างโง่งมทั้งคนทั้งควาย เหอ เหอ ฮา...”
เผินๆ คล้ายเป็นการหัวร่อธรรมดา แต่ความจริงเป็นวิชามารร้ายอย่างหนึ่งนั่นคือวิชา “หัวร่อใส่หน้า” ใจไม่ถึงประกันว่าไม่กล้าหัวร่อใส่หน้าผู้คนเด็ดขาด พลังเกรี้ยวกราดรุนแรงหลายสายถาโถมเข้าหาฝ่ายตรงกันข้ามราวพายุฝนโหมกระหน่ำถล่มทลาย
เสียมตวาดก้องกรีดมือวาดเท้าเอียงกาย เท้าหนึ่งย่อเท้าหนึ่งเหยียดเฉียงเอียงหน้าเข้าหาการโจมตีสกัดด้วยหลักวิชา “หน้าโง่”
หน้าโง่...เป็นคำง่ายๆ เราท่านเคยได้ยินมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าจะมีใครนึกสภาพใบหน้าออกว่า หน้าโง่ มีสภาพหน้าอย่างไร ไม่เชื่อท่านลองนึกดูก็ได้ แต่บุรุษหนุ่มกลับสามารถทำหน้าโง่ออกมาได้อย่างชัดเจนรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า
ตูม..
เสียงระเบิดกึกก้องราวถล่มพิภพทลายจักรวาล แนวต้นสนสะบัดกิ่งก้านครืนครั่นสั่นไหว บางต้นหักกลางโค่นล้มฟาดลงข้างทางเดินแปลงดอกไม้กระจัดกระจาย ทำเอาบรรดามือหนังสติ๊กแถวนั้นกระโดดหนีไปคนละทิศละทางอย่างแตกตื่นขวัญเสีย
หัวร่อใส่หน้าโง่ มีประโยชน์อันใด...เพราะหน้าโง่ย่อมไม่สะทกสะท้านไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว อย่างน้อยความโง่มีประโยชน์ประการหนึ่งคือไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อไม่รู้เรื่องบางครั้งก็ไม่ต้องยุ่งยากมากความให้วุ่นวายใจ ดังนั้นคนเราควรหัดโง่ไว้บ้างในบางครั้งย่อมเป็นการดี ไม่จำเป็นต้องฉลาดไปทุกเรื่อง
ดังนั้นการลงมือครั้งแรกผลคือยังคงไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำ
เจ้าทุยลงมือบ้าง อสูรสงครามแห่งท้องทุ่งสะบัดเขาโค้งโง้งยาวหันหน้ายิ้มออกไปหลายครั้งต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“โอ......ควายยิ้ม”
เหล่านักสู้รอบข้างอุทานระงมด้วยความแตกตื่น
วิชาควายยิ้ม...หลายคนคิดว่าเป็นเพียงเรื่องหลอกเด็กในเทพนิยายของแอนเดอร์สันเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่ามีจริง สิ่งนอกเหนือความคาดคิดจึงร้ายกาจอันตรายอย่างแท้จริง รอยยิ้มความจริงเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง อาวุธธรรมดาสามารถบาดเพียงร่างกายอย่างมากแค่ตาย แต่รอยยิ้มบาดลึกเข้าไปในจิตใจหลอกหลอนกระทั่งยามฝันตายก็ไม่นอนตาหลับ พลังแหลมคมหวีดหวิวฝานอากาศเข้าหาแม่เฒ่าตามด้วยมวลอากาศระเบิดถี่ยิบบดเบียดเข้าหากระเบื้องสีขาวปูทางเดินแตกละเอียดสนั่นหวั่นไหวเป็นทางยาว
แม่เฒ่ากระทืบพื้นคราหนึ่ง ร่างพุ่งขึ้นไปด้วยวิชา “แมงจินูนถลาลม” ลอยปรากฏเด่นชัดตัดดวงตะวันใกล้ปลายฟ้าทิวไม้ ไม่ยอมรับรอยยิ้มของควายตรงๆ มือทั้งสองข้างกางสยายกวัดแกว่งลงมาหาผู้บุกรุกด้วยวิชาค้างคาวแม่ไก่ด้วยพลังทั้งหลายทั้งสิ้นทั้งหมดทั้งมวลทุ่มเทหมายถล่มลงในครั้งคราเดียว
บุรุษหนุ่มมิรอช้า กระโดดปราดขึ้นไปนั่งบนหลังควาย นั่นเป็นวิชา “คนขี่หลังควาย” อันลือลั่น คนกับควายผนึกจิตใจเป็นหนึ่งเดียว ถึงขั้น ไร้เขา... ไร้เรา... ไร้คน... ไร้ควาย...เสียมไร้เงาแทงปราดออกราวสายฟ้า เขาควายฉวัดเฉวียนราวฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ผสมผสานเป็นขุมพลังกระแทกขึ้นไปสุดกำลัง
ฉับพลันนั้นเองหนุ่มเสียมพลันลานตาวูบ พลังทั้งหมดของตนเองคล้ายกรวดทรายโถมลงทะเลไร้แรงสะท้อนกลับหายลับไปในความเวิ้งว้างว้างเปล่าอย่างน่าใจหาย กว่าจะมีสติกลับคืนพบว่าเสียมไร้เงาของตนถูกแม่เฒ่าเหอเหอแย่งชิงไปแล้ว สองเท้าของนางเหยียบเขาควายสะกดความเคลื่อนไหวพร้อมเสียงหัวร่อเสียดประสาทบาดหู
ผลการต่อสู้ออกมาแล้ว
แม่เฒ่าเหอเหอเป็นฝ่ายมีชัย เสียมในมือเงื้อง้างสุดแขน
บุรุษหนุ่มผู้พ่ายแพ้หลับตาลงรอรับชะตากรรม สู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ทรมานเพราะรักมันทรมานยิ่งกว่าการฆ่า ฆ่าฉัน.. ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า ลาก่อนส้มปลาน้อยแสนนัว ลาก่อนท้องทุ่งนา ลาก่อนเจ้าด่างลูกหมาน้อยหลงทางกลับมาจากปลายนาหลายวันก่อน ข้าคงไม่ได้เลี้ยงข้าวเจ้าแล้ว เจ้าคงระหดระเหินต่อไปอย่างไร้ทิศทาง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สายลมโชย ฝุ่นละอองโรยรายมาตามสายลม มีเสียงคล้ายเสียงพร่ำบ่นด้วยภาษาประหลาดดังแว่วมา ทำให้ทุกท่วงท่าชะงักค้างราวโดนมนต์สะกด
Dust in the wind
All they are is dust in the wind
Dust in the wind
All we are is dust in the wind.
Dust in the wind
Everything is dust in the wind
แม่เฒ่าเหอเหอสะดุ้งสุดตัวกระโดดตีลังกากลับหลังไปปักหลักบนพื้นสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง เสียมในมือปักลึกลงข้างกายด้วยความพลุ่งพล่าน นางฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร เพราะในยุทธภพไม่เคยมีภาษาโบราณพิสดารเช่นนี้มาก่อน แต่นางฟังออกว่าเป็นของใคร
วัตถุกลม ๆ ขนาดเท่าไข่ไก่ลอยลงมาหมุนติ้วอยู่พื้นข้างหน้าแม่เฒ่า ทุกคนลืมเลือนการต่อสู้ไปชั่วขณะ จ้องมองวัตถุประหลาดตาไม่กะพริบ
เป็นไข่เยี่ยวม้าสีชมพูใบหนึ่ง
ไข่มา... คนมา....
ด้านข้างนักบวชรูปหนึ่งปรากฏราวภูตพราย กล้ามเนื้อใบหน้าของแม่เฒ่ากระตุกไปมาด้วยความรู้สึกเร้นปะทุภายใน ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแสนนานขนาดไหน ไม่ว่าจะชราภาพไปเช่นไร นางไม่มีวันลืม คนเรามีบางอย่างต่อให้กดอัดลึกลงในพื้นที่หัวใจที่พระเจ้าลืมเลือนทอดทิ้งเท่าใดก็ตาม แต่ตัวเองกลับไม่อาจลืม เพียงรอเวลาปะทุลาวาแห่งความทรงจำเท่านั้น
กาลก่อนเป็น ไอ้หนุ่มไข่เยี่ยวม้า วันนี้เป็นเฒ่านักบวชไข่เยี่ยวม้า
นานมาแล้ว ไอ้หนุ่มไข่เยี่ยวม้าหลบลี้หนีเตลิดเมื่อแม่นางยาดองธาตุสุราแตกซ่าน หลายคนคิดว่ามันไม่อาจสู้ความจริง ไม่คาดว่าหวนกลับมาอีกครั้ง
“เป็นท่าน.....” แม่เฒ่าเอ่ยปากอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง พริบตานั้นความรักความแค้นความโศกเศร้าความหดหู่สลดใจประเดประดังจนยากต่อการบรรยาย
“เป็นข้า...” นักบวชเฒ่าขานรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเปี่ยมเมตตา
“ท่านมาทำไม ไปแล้วทำไมยังมีหน้ากลับมาอีก”
“ข้าไปก็เพราะท่าน ข้ามาก็เพราะท่าน มิใช่มาเพียงหน้า ยังมาทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนครบครันไม่ขาดหาย”
“เหลวไหล ท่านไปด้วยไม่บอกสักคำ อย่ามาอ้าง” แม่เฒ่าชี้หน้าตวาดก้องสีหน้าเริ่มปรากฏแววสะท้านเดือดดาล ท่าทางความรักความแค้นจะได้สะสางในไม่ช้า แต่นักบวชเฒ่ายังคงทีท่าสงบนิ่ง ทั้งกล่าวต่อไปช้าๆว่า
“ข้าไปเพราะเห็นท่านธาตุยาดองในร่างกายแตกซ่าน พูดจาไม่รู้เรื่อง จึงออกไปหาทางช่วยเหลือท่าน ด้นดั้นเสาะหาหน่อไม้หิมะบนเทือกเขาหิมาลัย บุกป่าผ่าดงไปหาเห็ดระโงกทิพย์ในป่าดงดิบ มุ่งหน้าสู่เทือกเขาพระศิวะค้นหากุดจี่วิเศษ ลงมหาสมุทรสุดลึกค้นหาอึ่งอ่างทะเล เพื่อผสมเป็นตัวยารักษาท่าน แต่ไร้ผล สุดท้ายกลับไปสิ่งหนึ่งมาโดยไม่คาดฝัน”
“เช่นไร” แม่เฒ่าตวาดอย่างไม่ยินยอมแต่เสียงเริ่มแผ่วลง เมื่อนึกว่าอีกฝ่ายเหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสเพียงไรในการมุ่งมั่นเดินทางเพียงใด
“ธุลีในสายลม คำตอบเรื่องนี้อยู่ที่ธุลีในสายลม”
“เช่นไร”
“แม่เฒ่ายาดองเหอเหอเอย...สรรพสิ่งล้วนไม่เทียงแท้แน่นอน ราวธุลีในสายลมที่เราหลับตาลงเพียงชั่วครู่และเพียงชั่วครู่นั้นก็พัดผ่านหายไป ทั้งหมดที่มันเป็นคือฝุ่นในสายลม เป็นแค่น้ำหยดหนึ่งในทะเลไร้ขอบเขต ทั้งหมดที่เราจะเป็นก็คือสูญสลายลงสู่ดินแม้เราปฏิเสธมันก็ตาม”
“ท่านเล่นง่ายมาก เล่นดัดแปลงมาเลย เหอเหอ...”
“หาไม่....” นักบวชเฒ่ายังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแห่งแววสงบเยือกเย็น
“ท่านเพียงเข้าใจ ก็จะเข้าใจ ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ท่านไม่จำเป็นต้องเสนอหน้าออกมาต่อสู้กับผู้ใด อย่ายึดติดเลย ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนไปตลอดศัตรูสำคัญที่สุดของท่านคือตัวท่านเอง ถ้าจะต่อสู้ควรต่อสู้กับตัวท่านเอง ต่อสู้กับความอยาก สู้กับกิเลส และเอาชนะมัน หรือไม่ก็อยู่กับมันอย่างศานติ..เหอเหอ...เอ้ย..ไม่ๆ...ไม่เหอเหอ”
แม่เฒ่านิ่งเนิ่นนาน นานจนตะวันเริ่มลมแมกไม้ทิวเขา ท่าทีค่อยผ่อนคลายลงทีละน้อย สุดท้ายสูดลมหายใจยาวส่งเสียงคล้ายคนละเมอว่า
“เหอเหอเหอ...ข้าควรทำเช่นไร...เหอเหอ”
“ท่านควรเลิก เหอเหอเหอ เสียที ข้าฟังแล้วเกรงว่าจะ เหอเหอ ตามท่านตลอดไป และควรทำจิตใจเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติหรือธรรมะ”
.