ซ้ำไปซ้ำมา
ต้นไม้สูงขึ้นรกชัฏตลอดสองข้างทางของถนนลาดยางขนาดสองช่องจราจร ที่คดเคี้ยวไปตามเชิงเขาสูงใหญ่ เป็นทัศนียภาพเดียวที่ผมกับก้องเพื่อนสนิทได้พบเห็น หลังจากนั่งรถสองแถวออกจากตัวอำเภอมาราวครึ่งชั่วโมง บริเวณนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ เพราะคนในพื้นที่ต้องการคงสภาพทุกอย่างไว้ให้เหมือนเดิมมากที่สุด เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่นี่จึงยังดูเป็นธรรมชาติอยู่มาก
“ไอ้เดช ใกล้ถึงแล้ว มัวแต่เหม่ออะไรของเอ็ง” ริมถนนเริ่มจะมีบ้านคนให้เห็นบ้างแล้ว นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้ก้องรู้ว่า หมู่บ้านอันเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่อีกไม่ไกลนัก
“เออ...รู้แล้วน่า ดูเอ็งจะตื่นเต้นน้อยไปหน่อยนะ” ระดับเสียงและท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ผมอดสัพยอกไม่ได้ ดีที่บนรถมีแค่เราสองคน ไม่อย่างนั้นผู้โดยสารคนอื่นคงหันมามองจนได้อายกันบ้างล่ะ
รถสองแถวจอดส่งเราลงที่ทางเข้าหมู่บ้านตรงตีนเขาสูงตระหง่าน ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งหมดล้วนต้องการมาชมธรรมชาติอันสวยงามของที่นี่ โดยเฉพาะพระอาทิตย์ตกดินบนทะเลเมฆอันเลื่องชื่อบนยอดเขา
ภาพที่เห็นมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวเมื่อครั้งก่อน...
“เมย์...ก้องมีอะไรจะให้” หญิงสาวหันไปสบตาคนพูดที่นั่งคู่กันด้วยแววตาสงสัย แม้ว่าผมและทั้งคู่จะกำลังนั่งสังสรรค์บนเสื่อผืนเดียวกัน เพื่อรอคอยเก็บภาพพระอาทิตย์ตกบนทะเลเมฆ แต่ผมกลับรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ล่องหนไปจากตรงนี้ทุกครั้ง ที่สองคนตรงหน้าพูดคุยกัน
“ก้องจะให้อะไรเมย์เหรอ” อันที่จริงแม้ผมจะรู้สึกไร้ตัวตน แต่ก็อยากรู้เรื่องราวต่างๆ ที่สองหนุ่มสาวเขาคุยกันในทุกประโยคทุกถ้อยคำ มันเป็นความสุขแบบแปลกๆ แปลว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่สำหรับการมาเป็นไม้กันหมาให้เพื่อน อย่างน้อยก็ได้มานั่งดื่มท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้ล่ะนะ
“อยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะ งั้นเมย์ต้องหลับตาก่อน” เจ้าก้องใช้แขนขวาโอบหญิงสาวเข้าไปชิดตัว แล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างปิดตาของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ประคองเธอเดินไปที่ริมหน้าผา
“ทีนี้กำมือไว้แล้วยื่นออกไปข้างหน้า” มือขวาของก้องเปลี่ยนเป็นกุมข้อมือของเมย์เอาไว้ แล้วค่อยๆ ยกชี้ไปข้างหน้าจนได้ระดับเสมอหัวไหล่ของหญิงสาว
“ก้องจะทำอะไร” คนถูกปิดตาดูจะขัดขืนอยู่เล็กน้อย
“ทีนี้ค่อยๆ ลืมตาแล้วแบมือพร้อมๆ กัน”
แม้จะมองทั้งคู่จากด้านหลัง แต่ผมก็รู้ว่าฝ่ายหญิงกำลังงุนงงกับสิ่งที่เพื่อนรักของผมทำ แต่เธอก็ทำตามอย่างเสียไม่ได้
เมื่อนิ้วมือถูกคลายออกจากการกำ ดวงอาทิตย์สีส้มสุกใสก็คล้ายกำลังลอยอยู่บนฝ่ามือของหญิงสาว “นี่แหละสิ่งที่ก้องให้ สวยไหม”
“แหวะ...มุกเสี่ยวขนาดนี้ยังกล้าเล่นเน๊อะคนเรา” เมย์สะบัดตัวออกจากก้องเหมือนจะไม่พอใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มทำ แต่อมยิ้มกับแววตาดูจะบอกไปอีกอย่าง
เรื่องราวทั้งหมดยังอยู่ในหัวของผมไม่เคยจางหายไป และแน่นอนว่าก้องเองก็คงยังเห็นภาพนี้ชัดเจนไม่ต่างกัน และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เราทั้งคู่ต้องมาที่แห่งนี้ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี มาเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเมย์
“ไอ้ก้องเอ็งว่าพวกเราจะเจอเมย์ไหมวะ”
“ถ้าเขามาก็ได้เจอล่ะ” เจ้าก้องเอาแต่จ้ำไปข้างหน้าอย่างเดียว แม้แต่ตอบคำถามยังไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ
“แล้วถ้าเขาไม่มาล่ะวะ” เมื่อคำตอบยังไม่ชัดเจนผมจึงย้ำไปอีกที
“เอ็งกลัวเขามาหรือกลัวไม่มากันแน่วะ” ก้องหันมาตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ พร้อมกับสายลมแรงที่อยู่ๆ ก็พัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ข้า...ก็ไม่รู้ว่ะ” ผมรำพึงเบาๆ เพราะรู้ว่าคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากผมแม้แต่น้อย
ทันทีที่ขึ้นมาถึงยอดเขา ผมรู้สึกถึงไอร้อนของอากาศที่แผ่อบอวลไปทั่วพื้นที่ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงอุณหภูมิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น กลิ่น...มันเป็นไอร้อนของกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายกับซากสัตว์ตาย
“ไอ้ก้อง!...เอ็งรู้สึกแปลกๆ เหมือนข้าไหมวะ ข้ารู้สึกเหม็นเน่าอะไรไม่รู้ว่ะ” ผมขอความเห็นจากเพื่อนสนิทที่เดินไปหยุดอยู่ตรงริมผา
“เอ็งก็รู้สึกแบบนี้อยู่ทุกปี ยังไม่ชินอีกเหรอวะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมความเย็นยะเยือก
“เอ็งหมายความว่าไง เมย์กำลังจะมาแล้วเหรอวะ” ผมมองสำรวจรอบๆ ตัว และเริ่มลนลานกับต้นไม้ใบไม้ที่โยกไหวอย่างหนักทั่วบริเวณ
“เมย์...ไม่มาที่นี่อีกแล้ว มีแต่เอ็งนั่นแหละที่มาทุกปี” คำพูดชวนงุนงงของก้องถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ
“พูดบ้าอะไรของเอ็ง เอ็งมานี่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเมย์ ก่อนเมย์ตายไม่ใช่เหรอ มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลย” ใช่...ผมแค่มาเป็นเพื่อนมัน ผมไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เลยสักนิด
“ข้าไม่ได้อยากมาที่นี่ สัญญาของข้ากับเมย์มันจบลงไปตั้งนานแล้ว เมย์ไปเกิดตั้งนานแล้ว คนที่อยากมาที่นี่คือเอ็งไอ้เดช เพราะเอ็งไม่เคยจำได้ว่าเมย์ไปเกิดแล้ว”
“เอ็งพูดบ้าอะไรวะไอ้ก้อง!”
“ไอ้เดช...เอ็งตายไปหลายปีแล้ว เอ็งผูกคอตายที่ห้องเพราะเสียใจที่เมย์รถคว่ำ เอ็งแอบรักเมย์มาตลอด จิตเอ็งเลยยังผูกพันอยู่ที่นี่ ทุกช่วงนี้ของปีเอ็งจะไปวนเวียนรบเร้าให้ข้าพาเอ็งมาที่นี่ตลอด ข้าพาเอ็งมาทุกปีแต่เอ็งก็ไม่เคยจำได้”
ทันทีที่ก้องพูดจบ ผิวหนังของผมเริ่มหลุดร่วงเน่าเปื่อยลงไป ของเหลวสีคล้ำไหลย้อยลงไปที่พื้น กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากร่างของผมค่อยๆ แผ่ออกมาเรื่อยๆ และมันรุนแรงขึ้นทุกทีๆ จนผมสำรอกออกมาเป็นอาเจียนที่เต็มไปด้วยเศษเนื้อและน้ำเหลืองอย่างน่าสะอิดสะเอียด
“มันไม่จริง!!!” ผมกรีดร้องออกไปสุดเสียง
******************
วิชชากาญจน์ วิรุฬห์อักษรากร
ซ้ำไปซ้ำมา
ต้นไม้สูงขึ้นรกชัฏตลอดสองข้างทางของถนนลาดยางขนาดสองช่องจราจร ที่คดเคี้ยวไปตามเชิงเขาสูงใหญ่ เป็นทัศนียภาพเดียวที่ผมกับก้องเพื่อนสนิทได้พบเห็น หลังจากนั่งรถสองแถวออกจากตัวอำเภอมาราวครึ่งชั่วโมง บริเวณนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ เพราะคนในพื้นที่ต้องการคงสภาพทุกอย่างไว้ให้เหมือนเดิมมากที่สุด เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่นี่จึงยังดูเป็นธรรมชาติอยู่มาก
“ไอ้เดช ใกล้ถึงแล้ว มัวแต่เหม่ออะไรของเอ็ง” ริมถนนเริ่มจะมีบ้านคนให้เห็นบ้างแล้ว นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้ก้องรู้ว่า หมู่บ้านอันเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่อีกไม่ไกลนัก
“เออ...รู้แล้วน่า ดูเอ็งจะตื่นเต้นน้อยไปหน่อยนะ” ระดับเสียงและท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ผมอดสัพยอกไม่ได้ ดีที่บนรถมีแค่เราสองคน ไม่อย่างนั้นผู้โดยสารคนอื่นคงหันมามองจนได้อายกันบ้างล่ะ
รถสองแถวจอดส่งเราลงที่ทางเข้าหมู่บ้านตรงตีนเขาสูงตระหง่าน ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งหมดล้วนต้องการมาชมธรรมชาติอันสวยงามของที่นี่ โดยเฉพาะพระอาทิตย์ตกดินบนทะเลเมฆอันเลื่องชื่อบนยอดเขา
ภาพที่เห็นมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวเมื่อครั้งก่อน...
“เมย์...ก้องมีอะไรจะให้” หญิงสาวหันไปสบตาคนพูดที่นั่งคู่กันด้วยแววตาสงสัย แม้ว่าผมและทั้งคู่จะกำลังนั่งสังสรรค์บนเสื่อผืนเดียวกัน เพื่อรอคอยเก็บภาพพระอาทิตย์ตกบนทะเลเมฆ แต่ผมกลับรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ล่องหนไปจากตรงนี้ทุกครั้ง ที่สองคนตรงหน้าพูดคุยกัน
“ก้องจะให้อะไรเมย์เหรอ” อันที่จริงแม้ผมจะรู้สึกไร้ตัวตน แต่ก็อยากรู้เรื่องราวต่างๆ ที่สองหนุ่มสาวเขาคุยกันในทุกประโยคทุกถ้อยคำ มันเป็นความสุขแบบแปลกๆ แปลว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่สำหรับการมาเป็นไม้กันหมาให้เพื่อน อย่างน้อยก็ได้มานั่งดื่มท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้ล่ะนะ
“อยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะ งั้นเมย์ต้องหลับตาก่อน” เจ้าก้องใช้แขนขวาโอบหญิงสาวเข้าไปชิดตัว แล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างปิดตาของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ประคองเธอเดินไปที่ริมหน้าผา
“ทีนี้กำมือไว้แล้วยื่นออกไปข้างหน้า” มือขวาของก้องเปลี่ยนเป็นกุมข้อมือของเมย์เอาไว้ แล้วค่อยๆ ยกชี้ไปข้างหน้าจนได้ระดับเสมอหัวไหล่ของหญิงสาว
“ก้องจะทำอะไร” คนถูกปิดตาดูจะขัดขืนอยู่เล็กน้อย
“ทีนี้ค่อยๆ ลืมตาแล้วแบมือพร้อมๆ กัน”
แม้จะมองทั้งคู่จากด้านหลัง แต่ผมก็รู้ว่าฝ่ายหญิงกำลังงุนงงกับสิ่งที่เพื่อนรักของผมทำ แต่เธอก็ทำตามอย่างเสียไม่ได้
เมื่อนิ้วมือถูกคลายออกจากการกำ ดวงอาทิตย์สีส้มสุกใสก็คล้ายกำลังลอยอยู่บนฝ่ามือของหญิงสาว “นี่แหละสิ่งที่ก้องให้ สวยไหม”
“แหวะ...มุกเสี่ยวขนาดนี้ยังกล้าเล่นเน๊อะคนเรา” เมย์สะบัดตัวออกจากก้องเหมือนจะไม่พอใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มทำ แต่อมยิ้มกับแววตาดูจะบอกไปอีกอย่าง
เรื่องราวทั้งหมดยังอยู่ในหัวของผมไม่เคยจางหายไป และแน่นอนว่าก้องเองก็คงยังเห็นภาพนี้ชัดเจนไม่ต่างกัน และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เราทั้งคู่ต้องมาที่แห่งนี้ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี มาเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเมย์
“ไอ้ก้องเอ็งว่าพวกเราจะเจอเมย์ไหมวะ”
“ถ้าเขามาก็ได้เจอล่ะ” เจ้าก้องเอาแต่จ้ำไปข้างหน้าอย่างเดียว แม้แต่ตอบคำถามยังไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ
“แล้วถ้าเขาไม่มาล่ะวะ” เมื่อคำตอบยังไม่ชัดเจนผมจึงย้ำไปอีกที
“เอ็งกลัวเขามาหรือกลัวไม่มากันแน่วะ” ก้องหันมาตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ พร้อมกับสายลมแรงที่อยู่ๆ ก็พัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ข้า...ก็ไม่รู้ว่ะ” ผมรำพึงเบาๆ เพราะรู้ว่าคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากผมแม้แต่น้อย
ทันทีที่ขึ้นมาถึงยอดเขา ผมรู้สึกถึงไอร้อนของอากาศที่แผ่อบอวลไปทั่วพื้นที่ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงอุณหภูมิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น กลิ่น...มันเป็นไอร้อนของกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายกับซากสัตว์ตาย
“ไอ้ก้อง!...เอ็งรู้สึกแปลกๆ เหมือนข้าไหมวะ ข้ารู้สึกเหม็นเน่าอะไรไม่รู้ว่ะ” ผมขอความเห็นจากเพื่อนสนิทที่เดินไปหยุดอยู่ตรงริมผา
“เอ็งก็รู้สึกแบบนี้อยู่ทุกปี ยังไม่ชินอีกเหรอวะ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมความเย็นยะเยือก
“เอ็งหมายความว่าไง เมย์กำลังจะมาแล้วเหรอวะ” ผมมองสำรวจรอบๆ ตัว และเริ่มลนลานกับต้นไม้ใบไม้ที่โยกไหวอย่างหนักทั่วบริเวณ
“เมย์...ไม่มาที่นี่อีกแล้ว มีแต่เอ็งนั่นแหละที่มาทุกปี” คำพูดชวนงุนงงของก้องถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ
“พูดบ้าอะไรของเอ็ง เอ็งมานี่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเมย์ ก่อนเมย์ตายไม่ใช่เหรอ มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลย” ใช่...ผมแค่มาเป็นเพื่อนมัน ผมไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เลยสักนิด
“ข้าไม่ได้อยากมาที่นี่ สัญญาของข้ากับเมย์มันจบลงไปตั้งนานแล้ว เมย์ไปเกิดตั้งนานแล้ว คนที่อยากมาที่นี่คือเอ็งไอ้เดช เพราะเอ็งไม่เคยจำได้ว่าเมย์ไปเกิดแล้ว”
“เอ็งพูดบ้าอะไรวะไอ้ก้อง!”
“ไอ้เดช...เอ็งตายไปหลายปีแล้ว เอ็งผูกคอตายที่ห้องเพราะเสียใจที่เมย์รถคว่ำ เอ็งแอบรักเมย์มาตลอด จิตเอ็งเลยยังผูกพันอยู่ที่นี่ ทุกช่วงนี้ของปีเอ็งจะไปวนเวียนรบเร้าให้ข้าพาเอ็งมาที่นี่ตลอด ข้าพาเอ็งมาทุกปีแต่เอ็งก็ไม่เคยจำได้”
ทันทีที่ก้องพูดจบ ผิวหนังของผมเริ่มหลุดร่วงเน่าเปื่อยลงไป ของเหลวสีคล้ำไหลย้อยลงไปที่พื้น กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากร่างของผมค่อยๆ แผ่ออกมาเรื่อยๆ และมันรุนแรงขึ้นทุกทีๆ จนผมสำรอกออกมาเป็นอาเจียนที่เต็มไปด้วยเศษเนื้อและน้ำเหลืองอย่างน่าสะอิดสะเอียด
“มันไม่จริง!!!” ผมกรีดร้องออกไปสุดเสียง