ถึงปทุม บัวงาม ตามท้องเรื่อง
นั่งมองเมือง การศึกษา ที่พบเห็น
ทั้งห้างใหญ่ คนมาก ตามที่เป็น
ยิ่งตอนเย็น แน่นขนัด อย่าบอกใคร
ปทุมนี้ อยู่ใกล้ เมืองเทพสร้าง
การเดินทาง ใกล้กรุง อย่าสงสัย
ได้มาถึง หลังเดินทาง มาหลายไมล์
ถึงอำเภอ ไม่ไกลนาม ธัญบุรี
ปทุมเมือง ดูดี และร่มรื่น
และมีผืน ดินกว้างใหญ่ ไม้หลากสี
พื้นที่มาก ตึกก็มาก สมฤดี
มองกี่ที ก็เจริญ ดั่งเมืองกรุง
อันเมืองนี้ แสนงาม นามก็เพราะ
เดินลัดเลาะ ชมบัว กินขนุน
มีเวลา ตริตรองเพลิน ก่อนประชุม
เมืองปทุม ถิ่นบัวสุข ทุกเวลา
อุปมาว่า เมืองนี้ ปทุมชน
ทุกทุกคน คือปทุม คุณบุปผา
ปทุมนี้ มีสี่เหล่า เขาเล่ามา
ซึ่งเขาว่า แตกต่าง ไปตามกาล
เหล่าที่หนึ่ง นั้นโผล่ พ้นน้ำแล้ว
เจ้าคลาดแคล้ว รอวัน ตะวันฉาย
ดั่งมนุษย์ ปัญญาเฉียบ อยู่ในกาย
ใจเป็นนาย ฟังธรรม แล้วเบ่งบาน
เหล่าที่สอง คือวิป-จิตัญญู
ดอกบัวชู ปริ่มน้ำ ที่เล่าขาน
ดั่งมนุษย์ มีสติ ปัญญากลาง
ต้องคิดตาม แล้วจึง เบ่งบานดี
เหล่าที่สาม คือบัว เรียกเนยยะ
มองผิวน้ำ อาจจะ เหมือนเห็นผี
นั่นคือยัง ไม่เห็นพ้น เลยสักที
ต้องเพียรมี จึงพ้นน้ำ ในสักวัน
เหล่าที่สี่ คือบัว ไร้ปัญญา
มองกี่ครา จมธารา ไม่เปลี่ยนผัน
คงต้องเป็น อาหารปลา ในสักครั้ง
ไม่จีรัง ไม่เติบโต จมลำธาร
ทั้งสี่เหล่า นั้นสอน ให้เราคิด
อยากมีฤทธิ์ ปัญญา ฤาอาหาร
มีปัญญา เฉียบคม ดุจบัวบาน
ฤาจะเป็น คนพาล ปัญญาตัน
ปัญญาเรา เข้าใจ ว่าตามเกิด
ไม่อาจเลิศ ดีได้ ดั่งใครฝัน
แต่ถ้าหาก ศึกษา ฟังพระธรรม
ทุกคืนวัน ปัญญา เดี๋ยวมาเอง
---กวีแก้ว พรรณราย---
---นิราศเมืองปทุม---
นั่งมองเมือง การศึกษา ที่พบเห็น
ทั้งห้างใหญ่ คนมาก ตามที่เป็น
ยิ่งตอนเย็น แน่นขนัด อย่าบอกใคร
ปทุมนี้ อยู่ใกล้ เมืองเทพสร้าง
การเดินทาง ใกล้กรุง อย่าสงสัย
ได้มาถึง หลังเดินทาง มาหลายไมล์
ถึงอำเภอ ไม่ไกลนาม ธัญบุรี
ปทุมเมือง ดูดี และร่มรื่น
และมีผืน ดินกว้างใหญ่ ไม้หลากสี
พื้นที่มาก ตึกก็มาก สมฤดี
มองกี่ที ก็เจริญ ดั่งเมืองกรุง
อันเมืองนี้ แสนงาม นามก็เพราะ
เดินลัดเลาะ ชมบัว กินขนุน
มีเวลา ตริตรองเพลิน ก่อนประชุม
เมืองปทุม ถิ่นบัวสุข ทุกเวลา
อุปมาว่า เมืองนี้ ปทุมชน
ทุกทุกคน คือปทุม คุณบุปผา
ปทุมนี้ มีสี่เหล่า เขาเล่ามา
ซึ่งเขาว่า แตกต่าง ไปตามกาล
เหล่าที่หนึ่ง นั้นโผล่ พ้นน้ำแล้ว
เจ้าคลาดแคล้ว รอวัน ตะวันฉาย
ดั่งมนุษย์ ปัญญาเฉียบ อยู่ในกาย
ใจเป็นนาย ฟังธรรม แล้วเบ่งบาน
เหล่าที่สอง คือวิป-จิตัญญู
ดอกบัวชู ปริ่มน้ำ ที่เล่าขาน
ดั่งมนุษย์ มีสติ ปัญญากลาง
ต้องคิดตาม แล้วจึง เบ่งบานดี
เหล่าที่สาม คือบัว เรียกเนยยะ
มองผิวน้ำ อาจจะ เหมือนเห็นผี
นั่นคือยัง ไม่เห็นพ้น เลยสักที
ต้องเพียรมี จึงพ้นน้ำ ในสักวัน
เหล่าที่สี่ คือบัว ไร้ปัญญา
มองกี่ครา จมธารา ไม่เปลี่ยนผัน
คงต้องเป็น อาหารปลา ในสักครั้ง
ไม่จีรัง ไม่เติบโต จมลำธาร
ทั้งสี่เหล่า นั้นสอน ให้เราคิด
อยากมีฤทธิ์ ปัญญา ฤาอาหาร
มีปัญญา เฉียบคม ดุจบัวบาน
ฤาจะเป็น คนพาล ปัญญาตัน
ปัญญาเรา เข้าใจ ว่าตามเกิด
ไม่อาจเลิศ ดีได้ ดั่งใครฝัน
แต่ถ้าหาก ศึกษา ฟังพระธรรม
ทุกคืนวัน ปัญญา เดี๋ยวมาเอง
---กวีแก้ว พรรณราย---