เรื่องราวความรักของเรา มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2558 ตอนนั้นเราทำงานเป็น ผจก. อยู่ที่ บ.แห่งหนึ่งใน ตจว. ทำไปทำมามีลูกน้องเราคนนึงลาออก เราเลยมีความคิดว่า อยากได้ผู้ชายในแผนกของเราสักคนนึง เอามาใช้แรงงานโดยเฉพาะ เพราะแผนกที่เรารับผิดชอบจะมีแต่ผู้หญิงไง คือแล้วต้องมายกของเองก็จะดูแมนเกินไป เพราะแผนกเราต้องเน้นสวยๆ เลิศ ๆ เป็นหน้าเป็นตาของบริษัทอ่ะนะ ซึ่งเราก็สรรหาลูกน้องผู้ชายในแผนกมาน๊านนานนนน สัมภาษณ์ใครก็ไม่ถูกใจ จนมาวันนึงมีน้องคนนึงในบริษัทแนะนำว่า มีเพื่อนเค้าคนนึงเป็นผู้ชายกำลังสนใจหางานในตำแหน่งที่เรารับสมัครอยู่ หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ ฝ่ายบุคคลก็นัดน้องคนนี้มาสัมภาษณ์งาน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรา 2 คน........
เนื่องจากเราเป็นคนชอบจำรายละเอียด เลยทำให้เรายังจำวันที่เค้า ซึ่งเราขอเรียกว่า แอล แล้วกันเนอะ เรายังจำวันที่แอลมาสัมภาษณ์งานกับเราได้ดี จำได้ว่า วันแรกแอลมาในลุคแบบเรียบร้อยเต็มที่ สร้างภาพมาสุดพลัง แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตา ผจก. อย่างเราได้ อย่างแรกที่สังเกตุได้ คือ แอลเป็นผู้ชายเจาะหู ซึ่งต่างหูคงเพิ่งเอาออกเมื่อเช้าก่อนมาสัมภาษณ์ เล็บมือยาวไปนิดนึง ใส่น้ำหอมแรงไปหน่อย เบื้องต้นคือไม่ค่อยผ่าน แต่นั่นแหละ อยากได้แรงงานผู้ชายในแผนกไง เลยมองข้าม ลองสัมภาษณ์ดู พอได้คุยกันไปมา เราเลยได้รู้ว่า แอลเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องได้ลอง ได้เรียนรู้เราประทับใจในความคิดเค้า ยังเด็กคิดได้ขนาดนี้คิดอะไรได้ตั้งเยอะ (แอลเด็กกว่าเรา 5 ปี) เราเลยโอเค รับเข้าทำงานจ้า
แอลมาทำงานเดือนแรก บอกเลยว่า เราไม่ค่อยได้สนใจสอนงานอะไรมากมาย เพราะเรามีประชุมทุกเช้า มีประชุมข้างนอกบ่อยมาก สิ่งที่เราได้คุยกับแอลที่จะบ่อยหน่อย คือ เรียกมาด่า เพราะชอบพิมพ์จดหมายเอกสารต่างๆ มาส่งเราผิดเยอะมากถึงมากที่สุด 555 เชื่อว่าตอนนั้นแอลคงแอบด่าเราลับหลังเหมือนกัน สุดท้ายทำงานเดือนแรกผ่านไป คือ เรากับแอลแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยจ้า นอกจากเรียกมาด่าเรื่องงาน
เดือนที่ 2 ของการทำงานของแอล เรารู้สึกว่า แอลทำงานแย่ลง ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ดูลอยๆ เลยไปถามกับน้องคนอื่นในแผนก แล้วก็ได้รู้ว่า แอลมีปัญหากับแฟน น่าจะเลิกกัน และถ้าเลิกกัน คือ แอลคงจะลาออกเพื่อกลับไปอยู่และทำงานที่ กทม. เหมือนเดิม ตอนนั้น สารภาพเลย สิ่งที่คิดอย่างเดียวคือ ถ้าเมิงออก ละตูก็ต้องหาลูกน้องผู้ชายใหม่อีกอ่ะดิ มันหายากนะเฟ้ย ด้วยความคิดที่แสนชั่วร้าย ตรงข้ามกับหน้าตาที่แสนดีของเรา (สะบัดบ๊อบ) เราเลยสวมบท หัวหน้าผู้อารี และจิตใจแสนดี ทักไลน์ไปถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเรายังจำบทสนทนาได้ดี เสียดายเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ เลยไม่มีแชทไลน์มาให้อ่าน แต่ที่พอจำได้คือ
เรา : แอล เป็นไรป่าว ช่วงนี้ดูเหมือนมีไรไม่สบายใจนะ บอกได้
แอล : ไม่มีไรครับ พี่แนน
เรา : มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้นะ พี่เป็นห่วง คือ พี่ก็ไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกับเราเท่าไหร่ แต่มีอะไร
บอกได้เลย ถึงพี่จะไม่ค่อยเคยให้คำปรึกษากับผู้ชายเท่าไหร่ แต่พี่ก็จะพยายามละกัน
แอล : คือ น้องเป็น......ตุ๊ด
เรา : €*(฿£€€___%%==££฿₩ แอบคิดในใจ (กวนต_อี_น ตูละ) 555
หลังจากคุยกันวันนั้น เราก็ไม่ได้สนใจอะไรกับแอลอีก เพราะมโนว่า ชั้นทำหน้าที่หัวหน้าที่ดี ได้สมบูรณ์แบบเรียบร้อยละ จบเรื่อง ปิดงานได้สวยงามมากจ้า ผู้จัดการดีเด่น สวย รวย ใจดี๊ใจดี (คิดเอาเอง แต่ก็ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงสูงมาก) เราก็ยังคงเรียกแอลมาบ่นเรื่องงาน โดยเฉพาะเรื่องพิมพ์เอกสารอย่างต่อเนื่องต่อไป แต่หารู้ไม่ ว่าจุดเปลี่ยนของสถานะของเรา 2 คน มันใกล้เข้ามาแล้ว เราจะมีเวลาบ่น ด่า เค้าอีกได้ไม่นานแล้ว (เรื่องนี้ คือ เศร้าที่สุดที่ตรงนี้แหละ) หลังจากที่เราทักไลน์ไปคุยกับแอล ได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ จุดเปลี่ยนของเรา 2 คนก็มาถึง แล้วจุดเปลี่ยนสถานะของเรา มันคือ อะไรน่ะเหรอ เหอ ๆๆๆๆ ต้องบอกว่า จุดเปลี่ยนระหว่างเรา 2 คน มัน คือ "สติกเกอร์ไลน์" แค่ตัวเดียว แค่สติกเกอร์ไลน์แค่ตัวเดียวจริง ๆ 😄😄😄
เมื่อเรา 2 คน เปลี่ยนสถานะจากหัวหน้า (หญิง) กับลูกน้อง (ชาย) มาเป็นแฟนกัน
เนื่องจากเราเป็นคนชอบจำรายละเอียด เลยทำให้เรายังจำวันที่เค้า ซึ่งเราขอเรียกว่า แอล แล้วกันเนอะ เรายังจำวันที่แอลมาสัมภาษณ์งานกับเราได้ดี จำได้ว่า วันแรกแอลมาในลุคแบบเรียบร้อยเต็มที่ สร้างภาพมาสุดพลัง แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตา ผจก. อย่างเราได้ อย่างแรกที่สังเกตุได้ คือ แอลเป็นผู้ชายเจาะหู ซึ่งต่างหูคงเพิ่งเอาออกเมื่อเช้าก่อนมาสัมภาษณ์ เล็บมือยาวไปนิดนึง ใส่น้ำหอมแรงไปหน่อย เบื้องต้นคือไม่ค่อยผ่าน แต่นั่นแหละ อยากได้แรงงานผู้ชายในแผนกไง เลยมองข้าม ลองสัมภาษณ์ดู พอได้คุยกันไปมา เราเลยได้รู้ว่า แอลเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องได้ลอง ได้เรียนรู้เราประทับใจในความคิดเค้า ยังเด็กคิดได้ขนาดนี้คิดอะไรได้ตั้งเยอะ (แอลเด็กกว่าเรา 5 ปี) เราเลยโอเค รับเข้าทำงานจ้า
แอลมาทำงานเดือนแรก บอกเลยว่า เราไม่ค่อยได้สนใจสอนงานอะไรมากมาย เพราะเรามีประชุมทุกเช้า มีประชุมข้างนอกบ่อยมาก สิ่งที่เราได้คุยกับแอลที่จะบ่อยหน่อย คือ เรียกมาด่า เพราะชอบพิมพ์จดหมายเอกสารต่างๆ มาส่งเราผิดเยอะมากถึงมากที่สุด 555 เชื่อว่าตอนนั้นแอลคงแอบด่าเราลับหลังเหมือนกัน สุดท้ายทำงานเดือนแรกผ่านไป คือ เรากับแอลแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยจ้า นอกจากเรียกมาด่าเรื่องงาน
เดือนที่ 2 ของการทำงานของแอล เรารู้สึกว่า แอลทำงานแย่ลง ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ดูลอยๆ เลยไปถามกับน้องคนอื่นในแผนก แล้วก็ได้รู้ว่า แอลมีปัญหากับแฟน น่าจะเลิกกัน และถ้าเลิกกัน คือ แอลคงจะลาออกเพื่อกลับไปอยู่และทำงานที่ กทม. เหมือนเดิม ตอนนั้น สารภาพเลย สิ่งที่คิดอย่างเดียวคือ ถ้าเมิงออก ละตูก็ต้องหาลูกน้องผู้ชายใหม่อีกอ่ะดิ มันหายากนะเฟ้ย ด้วยความคิดที่แสนชั่วร้าย ตรงข้ามกับหน้าตาที่แสนดีของเรา (สะบัดบ๊อบ) เราเลยสวมบท หัวหน้าผู้อารี และจิตใจแสนดี ทักไลน์ไปถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเรายังจำบทสนทนาได้ดี เสียดายเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ เลยไม่มีแชทไลน์มาให้อ่าน แต่ที่พอจำได้คือ
เรา : แอล เป็นไรป่าว ช่วงนี้ดูเหมือนมีไรไม่สบายใจนะ บอกได้
แอล : ไม่มีไรครับ พี่แนน
เรา : มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้นะ พี่เป็นห่วง คือ พี่ก็ไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกับเราเท่าไหร่ แต่มีอะไร
บอกได้เลย ถึงพี่จะไม่ค่อยเคยให้คำปรึกษากับผู้ชายเท่าไหร่ แต่พี่ก็จะพยายามละกัน
แอล : คือ น้องเป็น......ตุ๊ด
เรา : €*(฿£€€___%%==££฿₩ แอบคิดในใจ (กวนต_อี_น ตูละ) 555
หลังจากคุยกันวันนั้น เราก็ไม่ได้สนใจอะไรกับแอลอีก เพราะมโนว่า ชั้นทำหน้าที่หัวหน้าที่ดี ได้สมบูรณ์แบบเรียบร้อยละ จบเรื่อง ปิดงานได้สวยงามมากจ้า ผู้จัดการดีเด่น สวย รวย ใจดี๊ใจดี (คิดเอาเอง แต่ก็ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงสูงมาก) เราก็ยังคงเรียกแอลมาบ่นเรื่องงาน โดยเฉพาะเรื่องพิมพ์เอกสารอย่างต่อเนื่องต่อไป แต่หารู้ไม่ ว่าจุดเปลี่ยนของสถานะของเรา 2 คน มันใกล้เข้ามาแล้ว เราจะมีเวลาบ่น ด่า เค้าอีกได้ไม่นานแล้ว (เรื่องนี้ คือ เศร้าที่สุดที่ตรงนี้แหละ) หลังจากที่เราทักไลน์ไปคุยกับแอล ได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ จุดเปลี่ยนของเรา 2 คนก็มาถึง แล้วจุดเปลี่ยนสถานะของเรา มันคือ อะไรน่ะเหรอ เหอ ๆๆๆๆ ต้องบอกว่า จุดเปลี่ยนระหว่างเรา 2 คน มัน คือ "สติกเกอร์ไลน์" แค่ตัวเดียว แค่สติกเกอร์ไลน์แค่ตัวเดียวจริง ๆ 😄😄😄