ขนสีน้ำตาลอ่อนชี้แข็งเป็นสังกะตังไปทั้งตัว
หัวมูบติดพื้นไม่มีแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ตามันปิด ตัวสั่นเทิ้ม
สองมือลูบไล้แผ่วเบาตามแนวขน
เจ้าหมาน้อยก็ครางหงิงๆหายใจสั้นถี่ซี่โครงบาน
มันคงอุ่นใจแล้วออดอ้อนกินนมเหมือนอยู่กับแม่มันกระมัง
หมาน้อยตัวนี้ทำไมถึงอยู่ที่นี่ตัวเดียวนะ
หรือมันถูกแม่ทิ้ง
ไม่สิ
ดูท่าทางจะไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
แม่มันอาจบาดเจ็บหรือตายไปแล้วก็ได้
อยู่กลางป่ากลางดง อาจถูกงูฉกหรือเสือหมีทำร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ลูกมันเลยอดอยากอยู่ใต้กอไผ่นี้แต่เพียงลำพัง
เอาเถิด อาหารจากบิณฑบาตยังพอมี
เช้านี้ได้ปลาปิ้งจากคนดอยเฝ้าไร่
แบ่งให้เจ้าหมาน้อยนี้บ้างจะเป็นไรไป
จัดการแกะเนื้อปลาขยำกับข้าวบนใบตองตึง
พอเข้ากันดีแล้วก็เอาไปวางไว้ตรงหน้าเจ้าหมากำพร้า
มันทำจมูกฟุดฟิด แล้วค่อยๆยืดคอสั่นดิกมาเล็มเลีย
ฉันก็ช่วยได้เท่านี้นะหมาน้อย
ฉันพาแกไปด้วยไม่ได้จริงๆ
"เอ้าเณร ฉันเสร็จหรือยัง รีบๆเข้า หมู่บ้านยังอีกไกลเดี๋ยวจะมืดกลางทางเสียก่อน"
"ครับ ครูบา"
เก็บข้าวของเร่งรีบ แล้วเดินตามหลังครูบาซึ่งนำหน้าไปก่อนแล้ว
ท่านเดินเร็ว บอกจะไปคือไปเดี๋ยวนั้นไม่รีรออะไรทั้งนั้น
หวังว่าคงไม่เป็นไรนะ หมาน้อย
.................
ลมหวนตีฝุ่นคละคลุ้งขึ้นฟ้า
ครูบาเฒ่ารีบเอาผ้าปิดจมูกกันฝุ่น
กลดบนบ่าก็อันเท่าเดิม แต่เหมือนน้ำหนักมันเพิ่มขึ้น
เรี่ยวแรงถดถอยลงไปมาก
นับตั้งแต่ครูบาพ่อจากไปได้หลายสิบปี
เราเองก็ไม่ได้ละคลองปฏิบัติอันท่านเคยสั่งสอนมาแต่สมัยเป็นเณร
ยังคงถือธุดงค์เป็นปกติเสมอมา
เว้นเสียแต่ยามเข้าวัสสา ก็น้อยนักที่จะอยู่ประจำอาราม
ตามคำนิมนต์ของศรัทธาหลายบ้าน
สังขารนั้นร่วงโรยแล้ว แต่กิเลสยังมี
ยิ่งไม่ควรประมาทวางใจเลย
ปักกลดอยู่โคนไม้กลางป่า ไม่ให้ทับทางเดินสัตว์ทั้งหมู่ล่าเนื้อและลูกไม้หัวมัน
มืดค่ำตะวันต่ำตกดิน
ครูบาเฒ่าก็ยินดีเฝ้าดูลมอัสสาสะ ปัสสาสะ อยู่ในกลด
แล้วดิ่งลึกลงสงบด้วยความชำนาญ
"ครูบา อันตราย!"
เสียงในภวังค์ดังลั่นจนจิตเคลื่อนออกจากสมาธิ
พอลืมตาขึ้นเท่านั่น
แสงสีเหลืองร้อนผ่าวก็สว่างไสวอยู่รอบตัว
เราอยู่กลางวงล้อมทะเลเพลิงหรือนี่
ก็ช่างมันสิ
จนป่านนี้แล้วจะกลัวอะไรกับความตาย
หากถึงที่สุดแล้ว
เราจะขอตายอย่างสมศักดิ์ศรีพระธุดงค์ก็แล้วกัน
ตั้งท่าจะหลับตาลงอีกครั้ง ก็มีเสียงดังขึ้นมาข้างๆว่า
"รีบหนีไป ครูบา"
เมื่อเหลียวมอง ก็พบกับชายหนุ่มในเสื้อผ้าสีหม้อห้อมคนหนึ่ง
กำลังคุกเข่าพนมมือ
"รีบตามผมมาเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์"
ชายคนนั้นรีบคว้ากลดคว้าย่าม แล้วเดินนำครูบาเฒ่าไปทางทะเลเพลิง
"เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม แล้วจะให้หนีไปทางไหน มีแต่ไฟล้อมเต็มไปหมด"
"ทางนั้นครูบา"
เขาชี้ไปทางไฟป่าที่ลุกโชนเป็นกำแพง แต่แล้วก็เหมือนจะมีช่องๆหนึ่ง พอให้แทรกหนีออกไปได้ แต่ถ้าช้าจนไฟลามมาชนกัน
ก็หมดโอกาสที่จะรอดอย่างแน่นอน
"เร็วเถิดครูบา"
เขาเดินนำรวดเร็วไปสู่ทางนั้น ทันทีที่ก้าวผ่านช่องทางอันเหลือน้อยนิดนั้น
ความร้อนจากเปลวเพลิงก็ดูเหมือนจะลดลง
รู้สึกแปลกใจอยู่อย่างนั้น จนทะลุออกมาได้อย่างปลอดภัย
ห่างจากไฟมามากแล้ว
ชายหนุ่มยังคงเดินสวบสาบนำหน้าเข้าป่าไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงลำห้วยจึงหยุดเดินแล้วหันมาพูดว่า
"คืนนี้ขอครูบาพักริมห้วยนี้ก่อน พอรุ่งเช้าให้ครูบาเดินย้อนลำห้วยนี้ขึ้นไป จะเจอหมู่บ้านที่พอบิณฑบาตอาหารได้"
"ขอบใจมากพ่อหนุ่ม ว่าแต่เอ็งเป็นใครหรือ"
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม แล้วค่อยเดินถอยหลังห่างออกไป
"ขอบคุณครับครูบา"
"มาขอบคุณฉันทำไม ฉันสิต้องขอบคุณเอ็ง"
ร่างของเขาค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น
จากเสื้อผ้าแบบชาวบ้าน
ก็เปลี่ยนเป็นสร้อยสังวาลย์ประดับอยู่พราวแพรว
แสงขาวนวลเย็นตาเปล่งรัศมีออกรอบๆกาย น่าอัศจรรย์นัก
"สำหรับเนื้อปลาคลุกข้าวใต้กอไผ่ในวันนั้น"
ร่างอันวิจิตรนั้นลอยสูงขึ้นพ้นยอดไม้
แล้วกลายเป็นลูกไฟขาวสว่าง ลอยเฉียงขึ้นฟ้าไปจนลิบตา
...ความดี...
หัวมูบติดพื้นไม่มีแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ตามันปิด ตัวสั่นเทิ้ม
สองมือลูบไล้แผ่วเบาตามแนวขน
เจ้าหมาน้อยก็ครางหงิงๆหายใจสั้นถี่ซี่โครงบาน
มันคงอุ่นใจแล้วออดอ้อนกินนมเหมือนอยู่กับแม่มันกระมัง
หมาน้อยตัวนี้ทำไมถึงอยู่ที่นี่ตัวเดียวนะ
หรือมันถูกแม่ทิ้ง
ไม่สิ
ดูท่าทางจะไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
แม่มันอาจบาดเจ็บหรือตายไปแล้วก็ได้
อยู่กลางป่ากลางดง อาจถูกงูฉกหรือเสือหมีทำร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ลูกมันเลยอดอยากอยู่ใต้กอไผ่นี้แต่เพียงลำพัง
เอาเถิด อาหารจากบิณฑบาตยังพอมี
เช้านี้ได้ปลาปิ้งจากคนดอยเฝ้าไร่
แบ่งให้เจ้าหมาน้อยนี้บ้างจะเป็นไรไป
จัดการแกะเนื้อปลาขยำกับข้าวบนใบตองตึง
พอเข้ากันดีแล้วก็เอาไปวางไว้ตรงหน้าเจ้าหมากำพร้า
มันทำจมูกฟุดฟิด แล้วค่อยๆยืดคอสั่นดิกมาเล็มเลีย
ฉันก็ช่วยได้เท่านี้นะหมาน้อย
ฉันพาแกไปด้วยไม่ได้จริงๆ
"เอ้าเณร ฉันเสร็จหรือยัง รีบๆเข้า หมู่บ้านยังอีกไกลเดี๋ยวจะมืดกลางทางเสียก่อน"
"ครับ ครูบา"
เก็บข้าวของเร่งรีบ แล้วเดินตามหลังครูบาซึ่งนำหน้าไปก่อนแล้ว
ท่านเดินเร็ว บอกจะไปคือไปเดี๋ยวนั้นไม่รีรออะไรทั้งนั้น
หวังว่าคงไม่เป็นไรนะ หมาน้อย
.................
ลมหวนตีฝุ่นคละคลุ้งขึ้นฟ้า
ครูบาเฒ่ารีบเอาผ้าปิดจมูกกันฝุ่น
กลดบนบ่าก็อันเท่าเดิม แต่เหมือนน้ำหนักมันเพิ่มขึ้น
เรี่ยวแรงถดถอยลงไปมาก
นับตั้งแต่ครูบาพ่อจากไปได้หลายสิบปี
เราเองก็ไม่ได้ละคลองปฏิบัติอันท่านเคยสั่งสอนมาแต่สมัยเป็นเณร
ยังคงถือธุดงค์เป็นปกติเสมอมา
เว้นเสียแต่ยามเข้าวัสสา ก็น้อยนักที่จะอยู่ประจำอาราม
ตามคำนิมนต์ของศรัทธาหลายบ้าน
สังขารนั้นร่วงโรยแล้ว แต่กิเลสยังมี
ยิ่งไม่ควรประมาทวางใจเลย
ปักกลดอยู่โคนไม้กลางป่า ไม่ให้ทับทางเดินสัตว์ทั้งหมู่ล่าเนื้อและลูกไม้หัวมัน
มืดค่ำตะวันต่ำตกดิน
ครูบาเฒ่าก็ยินดีเฝ้าดูลมอัสสาสะ ปัสสาสะ อยู่ในกลด
แล้วดิ่งลึกลงสงบด้วยความชำนาญ
"ครูบา อันตราย!"
เสียงในภวังค์ดังลั่นจนจิตเคลื่อนออกจากสมาธิ
พอลืมตาขึ้นเท่านั่น
แสงสีเหลืองร้อนผ่าวก็สว่างไสวอยู่รอบตัว
เราอยู่กลางวงล้อมทะเลเพลิงหรือนี่
ก็ช่างมันสิ
จนป่านนี้แล้วจะกลัวอะไรกับความตาย
หากถึงที่สุดแล้ว
เราจะขอตายอย่างสมศักดิ์ศรีพระธุดงค์ก็แล้วกัน
ตั้งท่าจะหลับตาลงอีกครั้ง ก็มีเสียงดังขึ้นมาข้างๆว่า
"รีบหนีไป ครูบา"
เมื่อเหลียวมอง ก็พบกับชายหนุ่มในเสื้อผ้าสีหม้อห้อมคนหนึ่ง
กำลังคุกเข่าพนมมือ
"รีบตามผมมาเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์"
ชายคนนั้นรีบคว้ากลดคว้าย่าม แล้วเดินนำครูบาเฒ่าไปทางทะเลเพลิง
"เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม แล้วจะให้หนีไปทางไหน มีแต่ไฟล้อมเต็มไปหมด"
"ทางนั้นครูบา"
เขาชี้ไปทางไฟป่าที่ลุกโชนเป็นกำแพง แต่แล้วก็เหมือนจะมีช่องๆหนึ่ง พอให้แทรกหนีออกไปได้ แต่ถ้าช้าจนไฟลามมาชนกัน
ก็หมดโอกาสที่จะรอดอย่างแน่นอน
"เร็วเถิดครูบา"
เขาเดินนำรวดเร็วไปสู่ทางนั้น ทันทีที่ก้าวผ่านช่องทางอันเหลือน้อยนิดนั้น
ความร้อนจากเปลวเพลิงก็ดูเหมือนจะลดลง
รู้สึกแปลกใจอยู่อย่างนั้น จนทะลุออกมาได้อย่างปลอดภัย
ห่างจากไฟมามากแล้ว
ชายหนุ่มยังคงเดินสวบสาบนำหน้าเข้าป่าไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงลำห้วยจึงหยุดเดินแล้วหันมาพูดว่า
"คืนนี้ขอครูบาพักริมห้วยนี้ก่อน พอรุ่งเช้าให้ครูบาเดินย้อนลำห้วยนี้ขึ้นไป จะเจอหมู่บ้านที่พอบิณฑบาตอาหารได้"
"ขอบใจมากพ่อหนุ่ม ว่าแต่เอ็งเป็นใครหรือ"
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม แล้วค่อยเดินถอยหลังห่างออกไป
"ขอบคุณครับครูบา"
"มาขอบคุณฉันทำไม ฉันสิต้องขอบคุณเอ็ง"
ร่างของเขาค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น
จากเสื้อผ้าแบบชาวบ้าน
ก็เปลี่ยนเป็นสร้อยสังวาลย์ประดับอยู่พราวแพรว
แสงขาวนวลเย็นตาเปล่งรัศมีออกรอบๆกาย น่าอัศจรรย์นัก
"สำหรับเนื้อปลาคลุกข้าวใต้กอไผ่ในวันนั้น"
ร่างอันวิจิตรนั้นลอยสูงขึ้นพ้นยอดไม้
แล้วกลายเป็นลูกไฟขาวสว่าง ลอยเฉียงขึ้นฟ้าไปจนลิบตา