Believe me, it’s not worth your vacation!
“We are not responsible for anything. You go contact your insurance, ” said Scoot representative at Narita Airport.
According to our trip, travel insurance would not be enough to keep you safe from Scoot Experience!
เล่าประสบการณ์นักเดินทางที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง VS สายการบินที่ไม่มีความรับผิดชอบ
กับการเดินทาง 6 วันในต่างแดนที่ไม่เคยไปเองมาก่อน แล้วต้องเสียเวลารอกระเป๋าเดินทาง 3 วัน และต้องเสียเงินอีก 60,000 บาท+ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ต่อเพื่อชดเชยตารางการท่องเที่ยวที่กระเป๋าเดินทางล่าช้าของ Scoot เป็นต้นเหตุ และได้รับคำตอบจาก Scoot ว่า call center เมืองไทยไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แค่ส่งเรื่องไปสิงคโปร์ทางอีเมลและรอคำตอบ หากลูกค้ารีบให้โทรไปเบอร์ call center ที่สิงคโปร์เพื่อร้องเรียนเอง หรือไปเขียนร้องเรียนหน้าเว็บไซต์เอาเอง
สามีและเราวางแผนเดินทางไปเที่ยวที่โตเกียวแบบเที่ยวเองเป็นครั้งแรก เคยไปโอซาก้าและฮอกไกโดกับทัวร์มา 2 ครั้ง ครั้งนี้ตัดสินใจไป 8-14 เม.ย. เนื่องจากสามารถลางานได้ และถือว่าไป 6 วันก็พอดีกับแผนการท่องเที่ยวที่วางไว้ เลยเลือกซื้อตั๋ว Scoot ด้วยเหตุผลที่ว่าบินออกจากสนามบินดอนเมืองซึ่งใกล้บ้าน และมีไฟลท์บินตรง โดยไม่ได้เช็กสายการบินอื่นที่บินออกจากสุวรรณภูมิ สำหรับราคาตั๋วที่ได้มา ถ้าเทียบว่าเป็นการบินกับ low cost airline มันก็ไม่ได้ถูกแล้วล่ะ และก็ยอมจ่ายค่าจองที่นั่งทั้งขาไปและกลับเนื่องจากเพื่อนหลายคนบอกว่า Scoot ชอบขายตั๋วเกิน และอาจไม่ได้บิน รวมทั้งจ่ายค่ากระเป๋าเพิ่ม 20 กก. ขาไป และ 40 กก. หรือ 2 ใบขากลับ
การบินกับ Scoot ครั้งนี้ เป็นการบินครั้งแรกที่บิน low cost airline ออกนอกประเทศ ซึ่งพอเข้าใจว่าเป็น low cost airline ก็เตรียมตัวในการบินมาค่อนข้างพร้อมโดยซื้อประกันเดินทาง และซื้อตั๋วด้วยบัตรเครดิตที่มีประกันให้ถ้าใช้บัตรรูดซื้อซึ่งก็รู้สึกว่าเราได้จ่ายเงินเพื่อซื้อความอุ่นใจในการบิน low cost airline ของเราครั้งนี้ไว้ครบทุกทางที่มีคนเตือนๆ ให้ระวังมาแล้ว และก็กังวลเหมือนกันว่าหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ Scoot จะรับผิดชอบอะไรไหม
ประสบการณ์ด่านแรกที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งเราและสามีมาถึงก่อนเวลานานพอสมควรเพราะเป็นวันศุกร์ของช่วงหยุดยาวจึงกลัวว่าคนจะเยอะ เลยมาก่อน เลยต้องยืนรอเคาน์เตอร์เปิด โดยไม่เห็นป้ายบอกเลยว่า Scoot จะเปิดเคาน์เตอร์ที่ row ไหน แต่ลองถามๆ ดู เจ้าหน้าที่แถวนั้นบอกให้มารอตรงแถวที่รออยู่ แล้วปรากฎว่าก็ผิดแถว เลยต้องไปต่อท้ายแถวเช็กอินซึ่งยาวมากๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะคิดว่าคงไม่ใช่เครื่องใหญ่แล้วเห็นเปิด 4-5 เคาน์เตอร์ จากประสบการณ์บินมาทั้งชีวิต เปิดเยอะขนาดนี้ไม่ควรช้า แล้วผลก็คือ รอเช็กอินนานมากกกกก จนพอมาถึงคิว ถึงได้เข้าใจว่าทำไม เจ้าหน้าที่หลายเคาน์เตอร์จริง แต่แทบทุกเคาน์เตอร์ไม่สามารถเช็กอินได้รวดเร็ว และเห็นยกโทรศัพท์โทรตลอดเวลา เรากับสามีวางกระเป๋าไว้บนเคาน์เตอร์ 2 ใบเพราะเข้าใจว่าซื้อน้ำหนักกระเป๋ามาแล้ว 2 ใบ ทั้งขาไปและกลับ ตามที่ขึ้นโชว์ใน confirmation ว่า 2 baggage แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าระบบขึ้นว่าซื้อน้ำหนักมาแค่ใบเดียว เราเอาหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู เค้าก็งงๆ ว่าทำไมหน้าจอเราขึ้น 2 ใบ เจ้าหน้าที่เลยโทรถาม call center และได้รับคำตอบว่า 2 ใบแปลว่า 1 ใบ ขาไป และ 1 ใบ ขากลับ รวมเป็น 2 ใบ เราเลยถามว่าแล้วต้องทำยังไง เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องออกไปที่เคาน์เตอร์ด้านนอกเพื่อจ่ายค่ากระเป๋าอีกใบ 2,650 บาท และสำหรับขากลับจากญี่ปุ่นต้องไปลุ้นเอาเองว่าสนามบินญี่ปุ่นจะ charge ค่าน้ำหนักเท่าไร… เรารีบวิ่งออกไปที่เคาน์เตอร์ด้านนอกเพื่อถามข้อมูลก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกัน เราเห็นว่าขาไป เราคงทำอะไรไม่ได้ แต่จะไม่ยอมไปลุ้นขากลับที่ญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะรู้ว่าเราต้องช้อปเยอะแยะมากมาย เคาน์เตอร์เลยยื่นเบอร์ call center ให้ติดต่อเอาเอง
พอโทรเข้า call center เจ้าหน้าที่บอกว่า ลูกค้าสามารถซื้อน้ำหนักขากลับทางโทรศัพท์ได้ ไม่ต้องตกใจ และราคา 1,350 บาท และน้ำหนักนับเป็นกิโลกรัม ไม่ได้นับเป็นจำนวนใบกระเป๋า พอได้ยินเจ้าหน้าที่พูดแบบนี้จึงจ่ายเงินซื้อน้ำหนักขากลับ และคิดได้ว่า กระเป๋าที่กำลังชั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์เช็กอินน้ำหนักไม่เกิน 20 กก นี่นา จึงวิ่งกลับไปที่เช็กอินแล้วบอกว่าก็โหลดกระเป๋าไปเลยเพราะน้ำหนักไม่เกินที่ซื้อไว้แล้ว 20 กก เจ้าหน้าที่บอกได้ (แล้วเมื่อกี๊ที่ให้วิ่งไปจ่ายค่าน้ำหนัก 2,650 บาท คืออะไรคะ?????) อะโหลดไป
ขอเล่าเพิ่มนิดหนึ่งว่า ตอนที่วางสายจาก call center หลังจากซื้อน้ำหนักขากลับเสร็จ มีผู้ชายคนนึงวิ่งมาที่เคาน์เตอร์ด้านนอกแล้วพูดว่า ผมซื้อน้ำหนักมาแล้ว ทำไมในระบบไม่ขึ้น นั่นไง นึกว่าเราอ่านแอพมันแล้วงงคนเดียวซะอีกว่าเราซื้อน้ำหนักมาแล้ว 40 กก ทั้งขาไปและกลับ ดันกลายเป็นว่า มันขึ้น 2 ใบ แปลว่าไปใบนึง กลับไปนึง บ้าแล้ว
หลังจากเสียเวลาต่อแถวและเช็กอินนานมาก ก็รีบวิ่งไปผ่าน security เพื่อไป gate โดยไม่รู้ตัวว่าคุณน้องที่เคาน์เตอร์เช็กอินให้ tag สำหรับเคลมกระเป๋ามาแค่ 1 อัน ระบุน้ำหนัก 9 กก จนกระทั่งลงที่ญี่ปุ่นแล้วรู้ว่ากระเป๋าดีเลย์และต้องใช้เลขนั้นเพื่อระบุในเอกสารนำกระเป๋าออกจากตม ญี่ปุ่นตอนกระเป๋ามาและเพื่อให้เค้าหยิบกระเป๋าถูกใบมาส่งให้เรา เดชะบุญรื้อเอกสารของตัวเองไปมา ไปดู boarding pass แล้วเห็นเลขยาวๆ 2 ชุด เลยเอาให้เจ้าหน้าที่ (ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไง) ช่วยดูให้ว่าไอ้ยาวๆ นี่ใช้เลข track กระเป๋าไหม ซึ่งสีหน้าของเจ้าหน้าที่เองตอนที่เห็นว่า เรามี tag สำหรับเคลมกระเป๋ามาอันเดียว ทั้งที่โหลดมา 2 ใบ 20 กก ก็ตกใจเหมือนกัน
หลังจากในตอนแรกที่คิดว่าจ่ายเงินเพื่อความอุ่นใจในการเดินทางครบถ้วนแล้วก่อนขึ้นบิน Scoot และหลังจากได้วิ่งเล่นระหว่างเคาน์เตอร์เช็กอินที่ดอนเมืองกับเคาน์เตอร์บริการลูกค้าซึ่งอยู่ด้านนอกแล้ว และโทรเข้า call center เพื่อซื้อน้ำหนักกระเป๋าแล้ว ก็ยังมาเจอสิ่งที่คาดไม่ได้และควบคุมไม่ได้คือกระเป๋าไม่ได้มากับ flight ที่สนามบินนาริตะจ้า แล้วจริงๆ แล้วไม่มีใครบอกนะ แค่ยืนรอกระเป๋า 30 นาทีแล้ว belt นั้นมีกระเป๋าลงไฟลท์เดียว ซักพักคนเริ่มหาย เหลือคนอยู่กลุ่มเล็กๆ มุงโต๊ะอยู่ สามีเลยเดินไปถาม แล้วเดินมาบอกว่า scoot ลืมตู้กระเป๋าไว้ที่ดอนเมือง กรี๊ดเลยจ้า แต่อะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องทำยังไงบ้าง พอสะกิดเจ้าหน้าที่ 1 ใน 3 คนที่กำลังหมุนไปหมุนมาตอบคำถามเพราะไม่มีการเปิดโต๊ะกรอกเอกสารอย่างเป็นระบบ นางพูดมาเลยประโยคแรกที่ทำให้ปรี๊ดมาก ทั้งที่แค่จะไปถามว่าจะต้องกรอกเอกสารอะไรยังไงจะได้รีบออกจากสนามบินเพราะมีนัดเพื่อน 11 โมง ตอนนั้นเวลาล่วงเลยไป 9.30 น. แล้ว เจ้าหน้าที่พูดใส่หน้าเลยว่า “we are not responsible for anything, you go contact your insurance.” แปลว่า “เราไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ไปติดต่อประกันของตัวเองเอาเอง” โอ๊ะ สนุกสิคะทีนี้ เราเป็นคนไม่เรียกร้องอะไรที่เราทำใจมาแล้วแต่จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเราเด็ดขาด กรณีนี้คือ เราทำใจมาแล้วหลังจากดันซื้อตั๋วไปแล้วว่ามีเพื่อนๆ หลายคนมีประสบการณ์ไม่ดีกับ Scoot เราก็เลยเตรียมจ่ายส่วนเพิ่มซื้อโน่นนี่นั่นจนครบ แล้วตอนจะขึ้นเครื่องก็ซื้อน้ำเปล่าพกไว้เอง เพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะมีอะไรบริการบนเครื่อง และยังเตรียมเสื้อแจ็คเกตมาแทนผ้าห่มเพราะไม่คิดว่า scoot จะแจกอะไรให้ คือการไม่มีผ้าห่มบนไฟลท์กลับจากญี่ปุ่นโดยการบินไทย (เค้าอ้างว่ามีผู้โดยสารขอ 2 ผืน ซึ่งความจริงคือสายการบินน่าจะโหลดผ้าห่มไม่พอกับจำนวนผู้โดยสารเพื่อประหยัด) ทำให้ป่วยมาแล้วครั้งนึง เลยไม่อยากป่วยอีก อะก็ถือว่าเตรียมพร้อมบิน low cost airline แล้วนะ
กลับมาที่เจ้าหน้าที่ Scoot ที่สนามบิน ที่หลังจากรอจนคนอื่นเค้าไปหมดแล้ว เพราะเราได้รับความช่วยเหลือเรื่องเอกสารช้าเพราะรู้ตัวช้า เลยไปรวมกลุ่มกับเค้าช้า ก็ได้เจ้าหน้าที่คนนึงมาช่วยกรอกเอกสารและบอกให้เราทำใจไว้ว่า ไม่รู้เลยนะว่ากระเป๋าจะได้ 1 หรือ 2 วัน แต่ที่แน่ๆ วันนี้ไม่ได้แน่ และกระเป๋าจะมากับไฟลท์พรุ่งนี้เวลาเดียวกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะส่งให้ได้เลยในวันเดียวกันไหม เรากะสามีมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าอะ อย่างน้อยยังดีที่พักโตเกียวไม่ได้ย้ายไปไหนและพกที่อยู่มาด้วย เพราะได้ยินคนอื่นบอกว่า เค้าเปลี่ยนที่พักไปทุกวันตลอดการเที่ยว ไปฟูจิมั่ง ฮ็อกไกโดมั่ง สาหัสเลย ของเราก็เลยถามน้องเค้าไปว่าเราขอรอบสุดท้ายที่จะส่งได้ได้ไหม เพื่อที่เราจะได้กลับที่พักมารอรับกระเป๋า เพราะเราไม่ได้พักโรงแรม จะไม่มีเจ้าหน้าที่รับให้ น้องบอกว่าได้ รอบสุดท้ายเราส่ง 3 ทุ่ม (พูดคอนเฟิร์มกัน 3 ครั้ง น้องจดยิกๆ ลงในใบงานสำหรับคนส่งกระเป๋า) พร้อมทั้งให้เบอร์มือถือเรา (ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เปิด Roaming มาเลยให้น้องช่วยติดต่อทรูเปิดให้) และเบอร์มือถือคนญี่ปุ่นเผื่อเอาไว้ วันแรกที่โตเกียวจึงเสียเวลาครึ่งเช้ากรอกเอกสารเรื่องกระเป๋า พลาดนัด 11 โมง และกว่าจะนั่งรถไฟ Narita Express ซึ่งซื้อตั๋วไปกลับไว้ เข้าโตเกียวก็ปาไปบ่ายโมงแล้ว ไปที่พักเพื่อเก็บ carry on แล้วใช้เวลาตอนบ่ายงมหาร้านขายยาและร้านเสื้อผ้า ซึ่งก็เลือก uniqlo และ มัตสึโมโต้ เพื่อให้จบในที่เดียวและรีบซื้อของจำเป็นแล้วเอาไปเก็บที่ที่พัก แล้วออกไปหาอะไรกิน ซึ่งตอนแรก บ่ายวันแรก วางแผนเก็บกระเป๋าแล้วนั่งรถไฟออกนอกเมืองไป 30 นาทีเพื่อไป Yokohama เพื่อเที่ยวพิพิธภัณฑ์ราเม็ง และอื่นๆ แผนวันแรกจึงพังไป
วันที่สอง 9 เมษายน 2560 เปลี่ยนแผนจากการจะนั่งรถไฟออกนอกเมือง 2.5 ชม เพื่อไปเที่ยว Nikko เป็นเที่ยวใกล้ๆ ในโตเกียว เพื่อกลับมาที่พัก 20.30 น. ให้ทันเวลานัดคนมาส่งกระเป๋าตอนสามทุ่ม ปรากฎว่ากลับมาแล้วนั่งซักพักเอ๊ะทำไมไม่มีใครมา เลยเดินออกไปเช็กตู้จดหมาย พบ notice 1 ใบที่อ่านไม่ออกเลยเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยให้เพื่อนอ่านและโทรไปถามว่าต้องทำยังไง กลับมาส่งกระเป๋าวันนี้ได้ไหม เพราะพรุ่งนี้ตั้งใจออกแต่เช้าไปฟูจิ (ซึ่งเป็นวันเดียวที่พยากรณ์อากาศฝนไม่ตก ตลอดเวลาทริปที่เหลืออยู่) เค้าบอกว่าส่งให้ไม่ได้ ต้องมาใหม่พรุ่งนี้ และระบุเวลาไม่ได้ด้วยให้เลือกว่าจะเอาเช้าหรือบ่าย ถ้าเช้าก็จะมา 8-12 น. เราเลยเลือกเช้าและขอให้เค้าช่วยมาเช้าถ้าทำได้ เผื่อจะได้ออกไปเที่ยว
วันที่สาม 10 เม.ย. 2560 รอกระเป๋าครึ่งวัน เพราะมา 12.00 น. คือเที่ยงพอดี เลยไม่ได้ออกไปไหนต้องอยู่ในโตเกียว ตารางเที่ยวรวนและมั่วไปหมด ระหว่าง 8-10 น้องชายที่เมืองไทยก็ตามเรื่องกับ Scoot call center ให้ทุกวันเพราะเราตัดสินใจส่งอีเมลไปตั้งแต่เย็นวันที่ 8 ไปอีเมลของ Scoot claim ที่สิงคโปร์เลย เพราะคิดว่าไม่โอเคและควรมีการรับผิดชอบกับการท่องเที่ยวที่ผิดแผนแบบนี้ ขนาดตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะต้องมารอกระเป๋าครึ่งวันวันที่ 10 เมย ด้วยนะ ซึ่งหลังจากส่งอีเมลไป ได้เมลจากระบบอัตโนมัติบอกว่าจะตอบภายใน 5-10 วันทำการ นี่คือยุคไหนแล้ว ใช้อีเมล จะตอบนานขนาดนี้ น้องชายตามที่เมืงอไทย ก็ได้รับคำตอบว่าทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่มีอำนาจ (แล้วทุกครั้งที่โทรไป จะได้รับคำตอบประมาณปัดให้โทรไปสิงคโปร์เองทุกครั้ง) แล้วตัวเองเรียกว่า Scoot support center ได้เหรอ ในเมื่อไม่ support อะไรทั้งสิ้น
วันที่ 12 เม.ย. 2560 หลังจากที่น้องชายโทรตามหนักมากแล้วเงียบไป ก็ได้รับคำตอบทางโทรศัพท์ว่าสิงคโปร์ปฎิเสธที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง แม้แต่จะเลื่อนไฟลท์เพื่อให้เราได้เที่ยวต่อเองชดเชยการเสียเวลารอกระเป๋า ตอบมาว่าต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่เองเท่านั้น และจนป่านนี้ Scoot claim ที่สิงคโปร์ก็ยังไม่ตอบอีเมลเรา เพราะข้อนึงที่ต้องให้มาตามที่ขอไปคือหนังสือยืนยันว่ากระเป๋าเรา delay เพื่อเอาไปเคลมประกัน พอติดตามไปอีกทีหลังจากกลับมา ก็ได้เมลบอกว่า จะตอบอีเมลภายใน 5-10 business day ดังนั้นจะตอบเมลเราไม่เกิน 24 เม.ย. ส่วนเราต้องลุ้นเอาเองว่าที่จะตอบมาจะแนบเอกสารเรื่องกระเป๋าล่าช้ามาเลย หรือจะตอบมาบอกว่าต้องรอเอกสารอีกกี่เดือน เพราะเท่าที่ไปอ่านๆ ดู พบว่ามีคนขอเอกสารรับรองไฟลท์ดีเลย์ ให้รอ 21 วัน…
ที่ไม่พอ เดี๋ยวเล่าต่อไปในเม้นนะคะ มือใหม่หัดโพสต์ pantip ค่ะ
Fly Scoot at Your Own Risk! คิดสักนิดก่อนบิน Scoot อ่านแล้วจะรู้ว่าได้ไม่คุ้มเสียแน่นอนค่ะ
“We are not responsible for anything. You go contact your insurance, ” said Scoot representative at Narita Airport.
According to our trip, travel insurance would not be enough to keep you safe from Scoot Experience!
เล่าประสบการณ์นักเดินทางที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง VS สายการบินที่ไม่มีความรับผิดชอบ
กับการเดินทาง 6 วันในต่างแดนที่ไม่เคยไปเองมาก่อน แล้วต้องเสียเวลารอกระเป๋าเดินทาง 3 วัน และต้องเสียเงินอีก 60,000 บาท+ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ต่อเพื่อชดเชยตารางการท่องเที่ยวที่กระเป๋าเดินทางล่าช้าของ Scoot เป็นต้นเหตุ และได้รับคำตอบจาก Scoot ว่า call center เมืองไทยไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แค่ส่งเรื่องไปสิงคโปร์ทางอีเมลและรอคำตอบ หากลูกค้ารีบให้โทรไปเบอร์ call center ที่สิงคโปร์เพื่อร้องเรียนเอง หรือไปเขียนร้องเรียนหน้าเว็บไซต์เอาเอง
สามีและเราวางแผนเดินทางไปเที่ยวที่โตเกียวแบบเที่ยวเองเป็นครั้งแรก เคยไปโอซาก้าและฮอกไกโดกับทัวร์มา 2 ครั้ง ครั้งนี้ตัดสินใจไป 8-14 เม.ย. เนื่องจากสามารถลางานได้ และถือว่าไป 6 วันก็พอดีกับแผนการท่องเที่ยวที่วางไว้ เลยเลือกซื้อตั๋ว Scoot ด้วยเหตุผลที่ว่าบินออกจากสนามบินดอนเมืองซึ่งใกล้บ้าน และมีไฟลท์บินตรง โดยไม่ได้เช็กสายการบินอื่นที่บินออกจากสุวรรณภูมิ สำหรับราคาตั๋วที่ได้มา ถ้าเทียบว่าเป็นการบินกับ low cost airline มันก็ไม่ได้ถูกแล้วล่ะ และก็ยอมจ่ายค่าจองที่นั่งทั้งขาไปและกลับเนื่องจากเพื่อนหลายคนบอกว่า Scoot ชอบขายตั๋วเกิน และอาจไม่ได้บิน รวมทั้งจ่ายค่ากระเป๋าเพิ่ม 20 กก. ขาไป และ 40 กก. หรือ 2 ใบขากลับ
การบินกับ Scoot ครั้งนี้ เป็นการบินครั้งแรกที่บิน low cost airline ออกนอกประเทศ ซึ่งพอเข้าใจว่าเป็น low cost airline ก็เตรียมตัวในการบินมาค่อนข้างพร้อมโดยซื้อประกันเดินทาง และซื้อตั๋วด้วยบัตรเครดิตที่มีประกันให้ถ้าใช้บัตรรูดซื้อซึ่งก็รู้สึกว่าเราได้จ่ายเงินเพื่อซื้อความอุ่นใจในการบิน low cost airline ของเราครั้งนี้ไว้ครบทุกทางที่มีคนเตือนๆ ให้ระวังมาแล้ว และก็กังวลเหมือนกันว่าหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ Scoot จะรับผิดชอบอะไรไหม
ประสบการณ์ด่านแรกที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งเราและสามีมาถึงก่อนเวลานานพอสมควรเพราะเป็นวันศุกร์ของช่วงหยุดยาวจึงกลัวว่าคนจะเยอะ เลยมาก่อน เลยต้องยืนรอเคาน์เตอร์เปิด โดยไม่เห็นป้ายบอกเลยว่า Scoot จะเปิดเคาน์เตอร์ที่ row ไหน แต่ลองถามๆ ดู เจ้าหน้าที่แถวนั้นบอกให้มารอตรงแถวที่รออยู่ แล้วปรากฎว่าก็ผิดแถว เลยต้องไปต่อท้ายแถวเช็กอินซึ่งยาวมากๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะคิดว่าคงไม่ใช่เครื่องใหญ่แล้วเห็นเปิด 4-5 เคาน์เตอร์ จากประสบการณ์บินมาทั้งชีวิต เปิดเยอะขนาดนี้ไม่ควรช้า แล้วผลก็คือ รอเช็กอินนานมากกกกก จนพอมาถึงคิว ถึงได้เข้าใจว่าทำไม เจ้าหน้าที่หลายเคาน์เตอร์จริง แต่แทบทุกเคาน์เตอร์ไม่สามารถเช็กอินได้รวดเร็ว และเห็นยกโทรศัพท์โทรตลอดเวลา เรากับสามีวางกระเป๋าไว้บนเคาน์เตอร์ 2 ใบเพราะเข้าใจว่าซื้อน้ำหนักกระเป๋ามาแล้ว 2 ใบ ทั้งขาไปและกลับ ตามที่ขึ้นโชว์ใน confirmation ว่า 2 baggage แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าระบบขึ้นว่าซื้อน้ำหนักมาแค่ใบเดียว เราเอาหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู เค้าก็งงๆ ว่าทำไมหน้าจอเราขึ้น 2 ใบ เจ้าหน้าที่เลยโทรถาม call center และได้รับคำตอบว่า 2 ใบแปลว่า 1 ใบ ขาไป และ 1 ใบ ขากลับ รวมเป็น 2 ใบ เราเลยถามว่าแล้วต้องทำยังไง เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องออกไปที่เคาน์เตอร์ด้านนอกเพื่อจ่ายค่ากระเป๋าอีกใบ 2,650 บาท และสำหรับขากลับจากญี่ปุ่นต้องไปลุ้นเอาเองว่าสนามบินญี่ปุ่นจะ charge ค่าน้ำหนักเท่าไร… เรารีบวิ่งออกไปที่เคาน์เตอร์ด้านนอกเพื่อถามข้อมูลก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกัน เราเห็นว่าขาไป เราคงทำอะไรไม่ได้ แต่จะไม่ยอมไปลุ้นขากลับที่ญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะรู้ว่าเราต้องช้อปเยอะแยะมากมาย เคาน์เตอร์เลยยื่นเบอร์ call center ให้ติดต่อเอาเอง
พอโทรเข้า call center เจ้าหน้าที่บอกว่า ลูกค้าสามารถซื้อน้ำหนักขากลับทางโทรศัพท์ได้ ไม่ต้องตกใจ และราคา 1,350 บาท และน้ำหนักนับเป็นกิโลกรัม ไม่ได้นับเป็นจำนวนใบกระเป๋า พอได้ยินเจ้าหน้าที่พูดแบบนี้จึงจ่ายเงินซื้อน้ำหนักขากลับ และคิดได้ว่า กระเป๋าที่กำลังชั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์เช็กอินน้ำหนักไม่เกิน 20 กก นี่นา จึงวิ่งกลับไปที่เช็กอินแล้วบอกว่าก็โหลดกระเป๋าไปเลยเพราะน้ำหนักไม่เกินที่ซื้อไว้แล้ว 20 กก เจ้าหน้าที่บอกได้ (แล้วเมื่อกี๊ที่ให้วิ่งไปจ่ายค่าน้ำหนัก 2,650 บาท คืออะไรคะ?????) อะโหลดไป
ขอเล่าเพิ่มนิดหนึ่งว่า ตอนที่วางสายจาก call center หลังจากซื้อน้ำหนักขากลับเสร็จ มีผู้ชายคนนึงวิ่งมาที่เคาน์เตอร์ด้านนอกแล้วพูดว่า ผมซื้อน้ำหนักมาแล้ว ทำไมในระบบไม่ขึ้น นั่นไง นึกว่าเราอ่านแอพมันแล้วงงคนเดียวซะอีกว่าเราซื้อน้ำหนักมาแล้ว 40 กก ทั้งขาไปและกลับ ดันกลายเป็นว่า มันขึ้น 2 ใบ แปลว่าไปใบนึง กลับไปนึง บ้าแล้ว
หลังจากเสียเวลาต่อแถวและเช็กอินนานมาก ก็รีบวิ่งไปผ่าน security เพื่อไป gate โดยไม่รู้ตัวว่าคุณน้องที่เคาน์เตอร์เช็กอินให้ tag สำหรับเคลมกระเป๋ามาแค่ 1 อัน ระบุน้ำหนัก 9 กก จนกระทั่งลงที่ญี่ปุ่นแล้วรู้ว่ากระเป๋าดีเลย์และต้องใช้เลขนั้นเพื่อระบุในเอกสารนำกระเป๋าออกจากตม ญี่ปุ่นตอนกระเป๋ามาและเพื่อให้เค้าหยิบกระเป๋าถูกใบมาส่งให้เรา เดชะบุญรื้อเอกสารของตัวเองไปมา ไปดู boarding pass แล้วเห็นเลขยาวๆ 2 ชุด เลยเอาให้เจ้าหน้าที่ (ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไง) ช่วยดูให้ว่าไอ้ยาวๆ นี่ใช้เลข track กระเป๋าไหม ซึ่งสีหน้าของเจ้าหน้าที่เองตอนที่เห็นว่า เรามี tag สำหรับเคลมกระเป๋ามาอันเดียว ทั้งที่โหลดมา 2 ใบ 20 กก ก็ตกใจเหมือนกัน
หลังจากในตอนแรกที่คิดว่าจ่ายเงินเพื่อความอุ่นใจในการเดินทางครบถ้วนแล้วก่อนขึ้นบิน Scoot และหลังจากได้วิ่งเล่นระหว่างเคาน์เตอร์เช็กอินที่ดอนเมืองกับเคาน์เตอร์บริการลูกค้าซึ่งอยู่ด้านนอกแล้ว และโทรเข้า call center เพื่อซื้อน้ำหนักกระเป๋าแล้ว ก็ยังมาเจอสิ่งที่คาดไม่ได้และควบคุมไม่ได้คือกระเป๋าไม่ได้มากับ flight ที่สนามบินนาริตะจ้า แล้วจริงๆ แล้วไม่มีใครบอกนะ แค่ยืนรอกระเป๋า 30 นาทีแล้ว belt นั้นมีกระเป๋าลงไฟลท์เดียว ซักพักคนเริ่มหาย เหลือคนอยู่กลุ่มเล็กๆ มุงโต๊ะอยู่ สามีเลยเดินไปถาม แล้วเดินมาบอกว่า scoot ลืมตู้กระเป๋าไว้ที่ดอนเมือง กรี๊ดเลยจ้า แต่อะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องทำยังไงบ้าง พอสะกิดเจ้าหน้าที่ 1 ใน 3 คนที่กำลังหมุนไปหมุนมาตอบคำถามเพราะไม่มีการเปิดโต๊ะกรอกเอกสารอย่างเป็นระบบ นางพูดมาเลยประโยคแรกที่ทำให้ปรี๊ดมาก ทั้งที่แค่จะไปถามว่าจะต้องกรอกเอกสารอะไรยังไงจะได้รีบออกจากสนามบินเพราะมีนัดเพื่อน 11 โมง ตอนนั้นเวลาล่วงเลยไป 9.30 น. แล้ว เจ้าหน้าที่พูดใส่หน้าเลยว่า “we are not responsible for anything, you go contact your insurance.” แปลว่า “เราไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ไปติดต่อประกันของตัวเองเอาเอง” โอ๊ะ สนุกสิคะทีนี้ เราเป็นคนไม่เรียกร้องอะไรที่เราทำใจมาแล้วแต่จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเราเด็ดขาด กรณีนี้คือ เราทำใจมาแล้วหลังจากดันซื้อตั๋วไปแล้วว่ามีเพื่อนๆ หลายคนมีประสบการณ์ไม่ดีกับ Scoot เราก็เลยเตรียมจ่ายส่วนเพิ่มซื้อโน่นนี่นั่นจนครบ แล้วตอนจะขึ้นเครื่องก็ซื้อน้ำเปล่าพกไว้เอง เพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะมีอะไรบริการบนเครื่อง และยังเตรียมเสื้อแจ็คเกตมาแทนผ้าห่มเพราะไม่คิดว่า scoot จะแจกอะไรให้ คือการไม่มีผ้าห่มบนไฟลท์กลับจากญี่ปุ่นโดยการบินไทย (เค้าอ้างว่ามีผู้โดยสารขอ 2 ผืน ซึ่งความจริงคือสายการบินน่าจะโหลดผ้าห่มไม่พอกับจำนวนผู้โดยสารเพื่อประหยัด) ทำให้ป่วยมาแล้วครั้งนึง เลยไม่อยากป่วยอีก อะก็ถือว่าเตรียมพร้อมบิน low cost airline แล้วนะ
กลับมาที่เจ้าหน้าที่ Scoot ที่สนามบิน ที่หลังจากรอจนคนอื่นเค้าไปหมดแล้ว เพราะเราได้รับความช่วยเหลือเรื่องเอกสารช้าเพราะรู้ตัวช้า เลยไปรวมกลุ่มกับเค้าช้า ก็ได้เจ้าหน้าที่คนนึงมาช่วยกรอกเอกสารและบอกให้เราทำใจไว้ว่า ไม่รู้เลยนะว่ากระเป๋าจะได้ 1 หรือ 2 วัน แต่ที่แน่ๆ วันนี้ไม่ได้แน่ และกระเป๋าจะมากับไฟลท์พรุ่งนี้เวลาเดียวกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะส่งให้ได้เลยในวันเดียวกันไหม เรากะสามีมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าอะ อย่างน้อยยังดีที่พักโตเกียวไม่ได้ย้ายไปไหนและพกที่อยู่มาด้วย เพราะได้ยินคนอื่นบอกว่า เค้าเปลี่ยนที่พักไปทุกวันตลอดการเที่ยว ไปฟูจิมั่ง ฮ็อกไกโดมั่ง สาหัสเลย ของเราก็เลยถามน้องเค้าไปว่าเราขอรอบสุดท้ายที่จะส่งได้ได้ไหม เพื่อที่เราจะได้กลับที่พักมารอรับกระเป๋า เพราะเราไม่ได้พักโรงแรม จะไม่มีเจ้าหน้าที่รับให้ น้องบอกว่าได้ รอบสุดท้ายเราส่ง 3 ทุ่ม (พูดคอนเฟิร์มกัน 3 ครั้ง น้องจดยิกๆ ลงในใบงานสำหรับคนส่งกระเป๋า) พร้อมทั้งให้เบอร์มือถือเรา (ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เปิด Roaming มาเลยให้น้องช่วยติดต่อทรูเปิดให้) และเบอร์มือถือคนญี่ปุ่นเผื่อเอาไว้ วันแรกที่โตเกียวจึงเสียเวลาครึ่งเช้ากรอกเอกสารเรื่องกระเป๋า พลาดนัด 11 โมง และกว่าจะนั่งรถไฟ Narita Express ซึ่งซื้อตั๋วไปกลับไว้ เข้าโตเกียวก็ปาไปบ่ายโมงแล้ว ไปที่พักเพื่อเก็บ carry on แล้วใช้เวลาตอนบ่ายงมหาร้านขายยาและร้านเสื้อผ้า ซึ่งก็เลือก uniqlo และ มัตสึโมโต้ เพื่อให้จบในที่เดียวและรีบซื้อของจำเป็นแล้วเอาไปเก็บที่ที่พัก แล้วออกไปหาอะไรกิน ซึ่งตอนแรก บ่ายวันแรก วางแผนเก็บกระเป๋าแล้วนั่งรถไฟออกนอกเมืองไป 30 นาทีเพื่อไป Yokohama เพื่อเที่ยวพิพิธภัณฑ์ราเม็ง และอื่นๆ แผนวันแรกจึงพังไป
วันที่สอง 9 เมษายน 2560 เปลี่ยนแผนจากการจะนั่งรถไฟออกนอกเมือง 2.5 ชม เพื่อไปเที่ยว Nikko เป็นเที่ยวใกล้ๆ ในโตเกียว เพื่อกลับมาที่พัก 20.30 น. ให้ทันเวลานัดคนมาส่งกระเป๋าตอนสามทุ่ม ปรากฎว่ากลับมาแล้วนั่งซักพักเอ๊ะทำไมไม่มีใครมา เลยเดินออกไปเช็กตู้จดหมาย พบ notice 1 ใบที่อ่านไม่ออกเลยเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยให้เพื่อนอ่านและโทรไปถามว่าต้องทำยังไง กลับมาส่งกระเป๋าวันนี้ได้ไหม เพราะพรุ่งนี้ตั้งใจออกแต่เช้าไปฟูจิ (ซึ่งเป็นวันเดียวที่พยากรณ์อากาศฝนไม่ตก ตลอดเวลาทริปที่เหลืออยู่) เค้าบอกว่าส่งให้ไม่ได้ ต้องมาใหม่พรุ่งนี้ และระบุเวลาไม่ได้ด้วยให้เลือกว่าจะเอาเช้าหรือบ่าย ถ้าเช้าก็จะมา 8-12 น. เราเลยเลือกเช้าและขอให้เค้าช่วยมาเช้าถ้าทำได้ เผื่อจะได้ออกไปเที่ยว
วันที่สาม 10 เม.ย. 2560 รอกระเป๋าครึ่งวัน เพราะมา 12.00 น. คือเที่ยงพอดี เลยไม่ได้ออกไปไหนต้องอยู่ในโตเกียว ตารางเที่ยวรวนและมั่วไปหมด ระหว่าง 8-10 น้องชายที่เมืองไทยก็ตามเรื่องกับ Scoot call center ให้ทุกวันเพราะเราตัดสินใจส่งอีเมลไปตั้งแต่เย็นวันที่ 8 ไปอีเมลของ Scoot claim ที่สิงคโปร์เลย เพราะคิดว่าไม่โอเคและควรมีการรับผิดชอบกับการท่องเที่ยวที่ผิดแผนแบบนี้ ขนาดตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะต้องมารอกระเป๋าครึ่งวันวันที่ 10 เมย ด้วยนะ ซึ่งหลังจากส่งอีเมลไป ได้เมลจากระบบอัตโนมัติบอกว่าจะตอบภายใน 5-10 วันทำการ นี่คือยุคไหนแล้ว ใช้อีเมล จะตอบนานขนาดนี้ น้องชายตามที่เมืงอไทย ก็ได้รับคำตอบว่าทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่มีอำนาจ (แล้วทุกครั้งที่โทรไป จะได้รับคำตอบประมาณปัดให้โทรไปสิงคโปร์เองทุกครั้ง) แล้วตัวเองเรียกว่า Scoot support center ได้เหรอ ในเมื่อไม่ support อะไรทั้งสิ้น
วันที่ 12 เม.ย. 2560 หลังจากที่น้องชายโทรตามหนักมากแล้วเงียบไป ก็ได้รับคำตอบทางโทรศัพท์ว่าสิงคโปร์ปฎิเสธที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง แม้แต่จะเลื่อนไฟลท์เพื่อให้เราได้เที่ยวต่อเองชดเชยการเสียเวลารอกระเป๋า ตอบมาว่าต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่เองเท่านั้น และจนป่านนี้ Scoot claim ที่สิงคโปร์ก็ยังไม่ตอบอีเมลเรา เพราะข้อนึงที่ต้องให้มาตามที่ขอไปคือหนังสือยืนยันว่ากระเป๋าเรา delay เพื่อเอาไปเคลมประกัน พอติดตามไปอีกทีหลังจากกลับมา ก็ได้เมลบอกว่า จะตอบอีเมลภายใน 5-10 business day ดังนั้นจะตอบเมลเราไม่เกิน 24 เม.ย. ส่วนเราต้องลุ้นเอาเองว่าที่จะตอบมาจะแนบเอกสารเรื่องกระเป๋าล่าช้ามาเลย หรือจะตอบมาบอกว่าต้องรอเอกสารอีกกี่เดือน เพราะเท่าที่ไปอ่านๆ ดู พบว่ามีคนขอเอกสารรับรองไฟลท์ดีเลย์ ให้รอ 21 วัน…
ที่ไม่พอ เดี๋ยวเล่าต่อไปในเม้นนะคะ มือใหม่หัดโพสต์ pantip ค่ะ