สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
กลยุทธพวกนี้เห็นนำมาประยุกต์ใช้ได้ในยุคปัจจุบันอยู่บ่อยๆ เช่นออกข่าวนโยบายแปลกๆให้เป็นกระแสขึ้นในสังคม ให้สังคมให้ความสนใจข่าวในกระแสนั้นเป็นช่วงๆ แต่หลังฉากหนึ่งก็ไปออก พรบ. ไปจัดซื้อ-จัดจ้างต่างๆแบบเงียบๆโดยที่ประชาชนไม่ทันได้สงสัยหรือคัดค้าน หรือแม้กระทั่งมีข่าวทางด้านลบของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในคณะทำงานของตัวเองที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่อย่างหนักทางสังคมที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์อย่างรุนแรงของคณะทำงานของตัวเอง ก็ออกนโยบายต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากกระแสตัวบุคคลนั้นให้มุ่งตรงมาที่กระแสใหม่แทน ยกตัวอย่างเท่าที่พอนึกได้ในตอนนี้เช่นกรณีรถกะบะ-ห้ามนั่งท้าย-ห้ามนั่งแคป ให้เกิดกระแสดราม่าหนักทางสังคม ในขณะที่อีกมุมหนึ่งที่เป็นไปเงียบๆคือ รัฐธรรมนูญ ถูกประกาศใช้ หรือเพื่อกลบข่าวการขาดประชุมบ่อยๆของ สนช คนหนึ่งเป็นต้น
เห็นด้วยกับบทวิเคราะห์นะ การขาดเสรีภาพในการแสดงความเห็นอยู่บ่อยๆจนเป็นความเคยชิน เห็นเป็นเรื่องเล้กน้อย ไม่เป้นผลดีในระยะยาวแน่
รออ่านภาคต่อของชุนเทียนนะ ชอบเรื่องกลยุทธ+กลศึก
เห็นด้วยกับบทวิเคราะห์นะ การขาดเสรีภาพในการแสดงความเห็นอยู่บ่อยๆจนเป็นความเคยชิน เห็นเป็นเรื่องเล้กน้อย ไม่เป้นผลดีในระยะยาวแน่
รออ่านภาคต่อของชุนเทียนนะ ชอบเรื่องกลยุทธ+กลศึก
ความคิดเห็นที่ 19
อ่านสนุกมาก และมีเรื่องแถมครับ 
เรื่องของ "ฉินฮุ่ย" มีเกร็ดเล็กน้อยอยากเสริมครับ เกี่ยวข้องกับของกินชนิดหนึ่งคือ "ปาท่องโก๋" (ท่านที่ทราบแล้วก็ผ่านเม้นท์นี้ไปก็ได้ครับ)
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง(ราชวงศ์ซ้องเหนือ ระหว่างปี ค.ศ.960 - ค.ศ.1127) ชนชาติจีนซึ่งอยู่ทางเหนือรุกรานลงใต้ ยึดแผ่นดินของราชวงศ์ซ่งไปครองได้ถึงกึ่งหนึ่ง (อพยพลงใต้ เป็น ราชวงศ์ซ่งใต้ ค.ศ.1127-1279)
มีแม่ทัพของราชวงศ์ซ่งคนหนึ่งชื่อ เยว่เฟย (岳飛) หรือที่เรารู้จักกันดีว่า แม่ทัพงักฮุย (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ปี ค.ศ.1103-1142 ) นำกองทัพออกต่อต้านชนชาติจิน (金 ค.ศ.1115-1234) อย่างสุดความสามารถ ตีทัพชนชาติจินพ่ายแพ้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ราชวงศ์ซ่ง มีฮ่องเต้อยู่พระองค์หนึ่ง พระนามว่า ซ่งเกาจง (宋高宗) พระองค์ทรงพระประสงค์แต่เพียงให้สามารถครองราชย์บัลลังก์อยู่ได้ตลอดไปเท่านั้น แม้จะต้องสูญเสียดินแดนไปเรื่อย ๆ พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ซ้ำยังทรงรับฟังคำเพ็ดทูลของ ฉินไคว่ หรือ ฉินฮุ่ย (秦檜) คนขายชาติ ส่งป้ายทองไปเรียกตัวเยว่เฟยหรืองักฮุยกลับจากสมรภูมิรบในแนวหน้าถึง 12 ครั้ง
ต่อไปนี้จะขอใช้ชื่อเรียกตามภาษาแต้จิ๋วนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องของ จขกท. ในตัวอย่างเหตุการณ์ที่ 2.
งักฮุย เกิดความท้อแท้ ทอดถอนใจ รำพึงกับตัวเองด้วยความสุดแสนช้ำใจว่า ความพากเพียร 10 ปีของตน กลับกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีในพริบตา
เมื่องักฮุยปฏิบัติตามพระบัญชา ถอนทัพกลับมายังเมืองหลวง
ฉินฮุ่ย ก็ใส่ร้ายอีก ว่า งักฮุย มักใหญ่ใฝ่สูง คิดการณ์ใหญ่ จะก่อกบฎล้มล้างราชสำนัก
งักฮุย ได้ฟังดังนั้น ก็ไม่โต้ตอบอะไร ถอดชุดท่อนบนของตนออก เผยให้ฉินฮุ่ยเห็นอักษร 4 ตัว คือ 尽忠报国 (จิ้นจงเป้ากว๋อ = จงรักภักดี พลีชีพเพื่อชาติ) ที่มารดาสลักไว้ด้านหลัง ขุนนางกังฉินเมื่อเห็นดังนั้นก็ชะงัก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
อย่างไรก็ตาม ฉินฮุ่ยก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามในการใส่ร้ายป้ายสีงักฮุยต่างๆ นานา แม้จะตรวจไม่พบความผิดใดๆ ก็ตาม แต่ในที่สุด ฉินฮุ่ย ก็ปั้นน้ำเป็นตัวจนทำให้งักฮุยต้องถูกโทษประหารจนได้
พอมีขุนนางฝ่ายงักฮุยคนอื่นๆ ทักท้วง และตั้งคำถามฉินฮุ่ยว่า มีหลักฐานในการกล่าวโทษงักฮุยหรือไม่ ฉินฮุ่ยตอบว่า 莫须有 (ม่อซวีโหย่ว = อาจจะมีก็ได้)
คำตอบของฉินฮุ่ยนี้ ภายหลัง กลายเป็นศัพท์ที่ถูกจารึกไว้ต่อๆ มาว่า แปลว่า ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
ประชาชนรับทราบข่าวนี้ด้วยความเดือดแค้น ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ อาลัยรักงักฮุยกันทั่วหน้า
และด้วยความโกรธแค้น พวกเขา นำแป้งสาลีมาปั้นเป็นรูปของฉินฮุ่ยกับภรรยา แล้วประกบติดกันเป็นคู่ นำไปทอดในกระทะน้ำมันเพื่อเอามาเคี้ยวกินให้หายแค้น !!!
แป้งทอดนี้ เรียกว่า อิ๋วจ้าฮุ่ย 油炸桧 แปลว่า “ฉินฮุ่ยทอดน้ำมัน” เมืองไทยสมัยก่อน คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า อิ้วจาก้วย / อิ่วเจี่ยโก้ย ต่อมาเรียกเป็น "ปาท่องโก๋" (= 白糖糕 = ป๋ายถางเกา, ภาษาจีนกลาง), แต่ทางใต้ยังคงเรียก จาก้วย / เจี่ยโก้ย เหมือนเดิม
(เครดิต : ข้อมูล จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/songlink/2011/02/05/entry-1 ผมเรียบเรียงใหม่ ตัดแต่งเสริมเล็กน้อย)
และที่สำคัญ อีกอย่างหนึ่ง คือ ชื่อของ ฉินฮุ่ย คือ อักษร "ฮุ่ย" 檜
อักษร "ฮุ่ย" 檜 ถูกรังเกียจ เกลียดชังจากชาวจีนที่เคียดแค้น จนไม่ยอมขีดเขียนอักษรตัวนี้เลยครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ป.ล.แก้ไขที่ผิด จาก อักษรฉิน 秦 ที่โพสต์ทีแรก เป็นอักษร 檜 และแก้ไขเรื่องชาวจีนที่ไม่มีใครใช้อักษร "ฮุ่ย" 檜 อีกเลยหลังจากนั้น ตามที่ท่านสมาชิก 3812627 คคห.19-1 ช่วยกรุณาทักท้วง และเสริมเพิ่มเติมมาให้ครับ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
และขออภัยสำหรับความผิดพลาดปล่อยไก่ของกระผมด้วยครับ 
แฮะๆ
พฤษภเสารี

เรื่องของ "ฉินฮุ่ย" มีเกร็ดเล็กน้อยอยากเสริมครับ เกี่ยวข้องกับของกินชนิดหนึ่งคือ "ปาท่องโก๋" (ท่านที่ทราบแล้วก็ผ่านเม้นท์นี้ไปก็ได้ครับ)
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง(ราชวงศ์ซ้องเหนือ ระหว่างปี ค.ศ.960 - ค.ศ.1127) ชนชาติจีนซึ่งอยู่ทางเหนือรุกรานลงใต้ ยึดแผ่นดินของราชวงศ์ซ่งไปครองได้ถึงกึ่งหนึ่ง (อพยพลงใต้ เป็น ราชวงศ์ซ่งใต้ ค.ศ.1127-1279)
มีแม่ทัพของราชวงศ์ซ่งคนหนึ่งชื่อ เยว่เฟย (岳飛) หรือที่เรารู้จักกันดีว่า แม่ทัพงักฮุย (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ปี ค.ศ.1103-1142 ) นำกองทัพออกต่อต้านชนชาติจิน (金 ค.ศ.1115-1234) อย่างสุดความสามารถ ตีทัพชนชาติจินพ่ายแพ้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ราชวงศ์ซ่ง มีฮ่องเต้อยู่พระองค์หนึ่ง พระนามว่า ซ่งเกาจง (宋高宗) พระองค์ทรงพระประสงค์แต่เพียงให้สามารถครองราชย์บัลลังก์อยู่ได้ตลอดไปเท่านั้น แม้จะต้องสูญเสียดินแดนไปเรื่อย ๆ พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ซ้ำยังทรงรับฟังคำเพ็ดทูลของ ฉินไคว่ หรือ ฉินฮุ่ย (秦檜) คนขายชาติ ส่งป้ายทองไปเรียกตัวเยว่เฟยหรืองักฮุยกลับจากสมรภูมิรบในแนวหน้าถึง 12 ครั้ง
ต่อไปนี้จะขอใช้ชื่อเรียกตามภาษาแต้จิ๋วนะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องของ จขกท. ในตัวอย่างเหตุการณ์ที่ 2.

งักฮุย เกิดความท้อแท้ ทอดถอนใจ รำพึงกับตัวเองด้วยความสุดแสนช้ำใจว่า ความพากเพียร 10 ปีของตน กลับกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีในพริบตา
เมื่องักฮุยปฏิบัติตามพระบัญชา ถอนทัพกลับมายังเมืองหลวง
ฉินฮุ่ย ก็ใส่ร้ายอีก ว่า งักฮุย มักใหญ่ใฝ่สูง คิดการณ์ใหญ่ จะก่อกบฎล้มล้างราชสำนัก
งักฮุย ได้ฟังดังนั้น ก็ไม่โต้ตอบอะไร ถอดชุดท่อนบนของตนออก เผยให้ฉินฮุ่ยเห็นอักษร 4 ตัว คือ 尽忠报国 (จิ้นจงเป้ากว๋อ = จงรักภักดี พลีชีพเพื่อชาติ) ที่มารดาสลักไว้ด้านหลัง ขุนนางกังฉินเมื่อเห็นดังนั้นก็ชะงัก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
อย่างไรก็ตาม ฉินฮุ่ยก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามในการใส่ร้ายป้ายสีงักฮุยต่างๆ นานา แม้จะตรวจไม่พบความผิดใดๆ ก็ตาม แต่ในที่สุด ฉินฮุ่ย ก็ปั้นน้ำเป็นตัวจนทำให้งักฮุยต้องถูกโทษประหารจนได้
พอมีขุนนางฝ่ายงักฮุยคนอื่นๆ ทักท้วง และตั้งคำถามฉินฮุ่ยว่า มีหลักฐานในการกล่าวโทษงักฮุยหรือไม่ ฉินฮุ่ยตอบว่า 莫须有 (ม่อซวีโหย่ว = อาจจะมีก็ได้)
คำตอบของฉินฮุ่ยนี้ ภายหลัง กลายเป็นศัพท์ที่ถูกจารึกไว้ต่อๆ มาว่า แปลว่า ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
ประชาชนรับทราบข่าวนี้ด้วยความเดือดแค้น ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ อาลัยรักงักฮุยกันทั่วหน้า
และด้วยความโกรธแค้น พวกเขา นำแป้งสาลีมาปั้นเป็นรูปของฉินฮุ่ยกับภรรยา แล้วประกบติดกันเป็นคู่ นำไปทอดในกระทะน้ำมันเพื่อเอามาเคี้ยวกินให้หายแค้น !!!
แป้งทอดนี้ เรียกว่า อิ๋วจ้าฮุ่ย 油炸桧 แปลว่า “ฉินฮุ่ยทอดน้ำมัน” เมืองไทยสมัยก่อน คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า อิ้วจาก้วย / อิ่วเจี่ยโก้ย ต่อมาเรียกเป็น "ปาท่องโก๋" (= 白糖糕 = ป๋ายถางเกา, ภาษาจีนกลาง), แต่ทางใต้ยังคงเรียก จาก้วย / เจี่ยโก้ย เหมือนเดิม
(เครดิต : ข้อมูล จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/songlink/2011/02/05/entry-1 ผมเรียบเรียงใหม่ ตัดแต่งเสริมเล็กน้อย)
และที่สำคัญ อีกอย่างหนึ่ง คือ ชื่อของ ฉินฮุ่ย คือ อักษร "ฮุ่ย" 檜
อักษร "ฮุ่ย" 檜 ถูกรังเกียจ เกลียดชังจากชาวจีนที่เคียดแค้น จนไม่ยอมขีดเขียนอักษรตัวนี้เลยครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ป.ล.แก้ไขที่ผิด จาก อักษรฉิน 秦 ที่โพสต์ทีแรก เป็นอักษร 檜 และแก้ไขเรื่องชาวจีนที่ไม่มีใครใช้อักษร "ฮุ่ย" 檜 อีกเลยหลังจากนั้น ตามที่ท่านสมาชิก 3812627 คคห.19-1 ช่วยกรุณาทักท้วง และเสริมเพิ่มเติมมาให้ครับ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ




พฤษภเสารี
แสดงความคิดเห็น
**ห้องเรียนคนรากหญ้า: "ปิดฟ้าข้ามทะเล" กลยุทธ์ที่ 1 ใน 36 กลยุทธ์** (ชุนเทียน)
มาแล้วค่ะ "ห้องเรียนคนรากหญ้า เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา"
กระทู้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นกับเพื่อนๆ สมาชิก ในห้องนี้
ตั้งใจว่าจะทยอยนำเสนอกระทู้เรื่อง 36 กลยุทธ์ ไล่จากกลยุทธ์ที่ 1 ไปจนครบ ก็ไม่รู้จะสำเร็จดังที่ตั้งใจไหม จะพยายามค่ะ
จขกท.ก็ไม่ชำนาญนัก จึงอยากเชิญเพื่อนๆ มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กัน
36 กลยุทธ์ตำราพิชัยสงคราม
หลายคนรู้จักกันดี เป็นการรวบรวมกลยุทธ์เพื่อชนะศึก ต่อมาภายหลังมีการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน องค์กร และภาคธุรกิจ เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย หรืออย่างน้อยที่สุด "รู้ไว้ใช่ว่า" ถือว่าเป็นการประดับความรู้ เพื่อให้รู้เท่าทันผู้อื่นหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
กลยุทธ์ที่ 1 ปิดฟ้าข้ามทะเล 瞞天過海 หมานเทียนกว้อไห่
หรือภาษาอังกฤษว่า Deceive the heavens to cross the ocean เป็นหนึ่งในประเภทกลยุทธ์ชนะศึก
"เมื่อเตรียมพร้อมก็ประมาท เมื่อเห็นบ่อยก็มิสงสัย
มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง สว่าง มืด
เมื่อเตรียมพร้อมก็ประมาท เมื่อเห็นบ่อยก็มิสงสัย
มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง สว่าง มืด"
"ปิด" ในที่นี้คือ ทำให้ไม่เห็น หรือทำให้ไม่ทราบ หรือสร้างภาพลวงเพื่อปกปิด
"ข้าม" ในที่นี้หมายถึง ทำภารกิจให้ลุล่วงไปได้
"ปิดฟ้าข้ามทะเล" จึงหมายถึง การสร้างภาพลวง สร้างสถานการณ์หลอก โดยปกปิดความจริงบางประการ ทำให้ข้าศึกเกิดความคุ้นชิน จนเกิดความละเลยหละหลวม ไม่เตรียมการป้องกัน ไม่ระวังตัว เพื่อฉวยโอกาสในการโจมตี หรือเพื่อบรรลุผลบางประการ
ตัวอย่างเหตุการณ์
1. ในประวัติศาสตร์จีนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำคือ พวกขันที หรือเหล่าขุนนางกังฉิน ที่ไร้ความสามารถ ได้แต่ประจบสอพลอ มักจะสร้างเรื่องเท็จเป่าหูฮ่องเต้ ใส่ร้ายคนดี คอยปิดหูปิดตาฮ่องเต้ไม่ได้ทราบถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่แท้จริง ตรงนี้คือการ "ปิดฟ้า" เพื่อให้พวกตนเองได้บรรลุประโยชน์ ก็คือ "ข้ามทะเล" เช่น กำจัดขุนนางตงฉิน ขูดรีดประชาชน รับประโยชน์ ทำให้ประเทศต้องเสียหาย และหลายครั้งถึงขั้นราชวงศ์ล่มสลาย
2. สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือมีแม่ทัพตงฉิน ซื่อสัตย์ เสียสละเพื่อชาติ ชื่อ งักฮุย ได้ถูกขุนนางกังฉินชื่อฉินฮุ่ยเป็นคนขายชาติ ใส่ร้ายป้ายสีต่อฮ่องเต้ซ่งเกาจงว่า
“งักฮุยนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง คิดการณ์ใหญ่จะก่อกบฏ ล้มล้างราชสำนัก” ทำให้ฮ่องเต้ระแวง เมื่องักฮุยนำทัพไปปราบข้าศึก ก็โดนเรียกตัวกลับเมืองหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า จนถูกประหารในที่สุด ฉินฮุ่ย ถือว่า "ปิดฟ้า" คือ ใส่ร้ายงักฮุย ยุยงฮ่องเต้ แล้ว "ข้ามทะเล" คือ กำจัดงักฮุย ได้สำเร็จ
3. "สุยเหวินตี้" ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์สุย ยึดดินแดนทางเหนือได้หมดแล้ว เหลือแต่ "แคว้นเฉิน" ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงเท่านั้น กุนซือจึงแนะนำกลศึกให้ว่า ... ให้เอาเรือรบดีๆ ไปซ่อนไว้ แล้วเอาเรือเก่าๆ ผุๆ มาทำทีเตรียมกำลังอยู่ริมชายฝั่ง ราวกับจะยกทัพข้ามน้ำไปตีแคว้นเฉินอยู่ในวันนี้วันพรุ่ง อ๋องแคว้นเฉินเห็นดังนั้นก็รีบสั่งทหารเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง จัดเวรยามเข้มงวด แต่แล้วฝ่ายสุยก็ไม่เคลื่อนพลสักที ทำเช่นนี้ซ้ำๆ สร้างภาพหลอกล่ออยู่เป็นเดือนๆ แรกๆ แคว้นฉินก็ตื่นเต้น หลังๆ เริ่มชินชา คิดว่าสุยคงไม่กล้าบุก ก็ละเลยการป้องกัน จนสุยได้โอกาส ก็ยกทัพข้ามน้ำมายึดเฉินได้สำเร็จ สุย "ปิดฟ้า" คือ สร้างภาพจะบุกแต่ไม่บุก ให้ฝ่ายตรงข้ามชาชิน ประมาท แล้ว "ข้ามทะเล" คือ เข้ายึดเมืองได้สำเร็จ
ที่มาของกลยุทธ์
Thirty-Six Strategies-To Deceive a God in order to Cross the Sea 三十六计-瞒天过海 36 กลยุทธ์ ปิดฟ้าข้ามทะเล
https://www.youtube.com/watch?v=B-Y0w7y-yHE
ฮ่องเต้ถังไท่จง ต้องการเสด็จไปโกกุเรียว (เกาหลี) โดยเลือกเดินทางทางน้ำ ไปตามแม่น้ำหวงเหอ (แม่น้ำเหลือง) เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับหัวเมืองรายทาง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระองค์ก็อายุมากแล้วในตอนนั้น ระยะทางก็หลายพันลี้ พอพระองค์เสด็จมาถึงปากแม่น้ำ ทอดพระเนตรเห็นผืนน้ำสุดลูกหูลูกตา คลื่นลมกระหน่ำไม่ได้หยุด ก็ทรงท้อพระทัย
"ซิยิ่นกุ้ย" ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงทหารเลวได้ออกอุบายดังนี้ ...
ซิยิ่นกุ้ยปลอมตัวเป็นเศรษฐีพื้นเมือง มาเข้าเฝ้าว่าต้องการถวายเสบียงมากมายแก่กองทัพ และจัดงานเลี้ยงต้อนรับพระองค์ ขอทูลเชิญฮ่องเต้ไปที่หมู่บ้านตน
ถังไท่จงก็เสด็จไปตามคำเชิญ ทรงทอดพระเนตรเห็นหมุ่บ้านตกแต่งอย่างสวยงาม งานเลี้ยงอลังการ อาหารดี ดนตรีเพราะ นางรำงดงาม ทรงพระเกษมสำราญมาก ประทับจนแทบไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ผ่านไปเป็นสัปดาห์
อยู่มาวันหนึ่ง ทรงรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว บ้านโคลงเคลง ถ้วยชามตกแตก
ก็ให้รู้สึกสงสัย สั่งให้ทหารเลิกม่านออกดูเหตุการณ์ ปรากฎว่าบ้านที่พระองค์ประทับอยู่หลายวันนั้น แท้ที่จริงก็ป็นเรือที่ตกแต่งให้เหมือนบ้าน และขณะนี้ก็กำลังลอยอยู่กลางทะเล
จางเสื้อกุ้ย คิดจะแย่งความดีความชอบจาก "ซิยิ่นกุ้ย" จึงกราบทูลว่า “เป็นอุบายที่ข้าพเจ้าคิดขึ้น เพื่อให้พระองค์คุ้นชินกับการประทับเรือฝ่าคลื่นลมเท่านั้น” ถังไท่จงทอดพระเนตรไปรอบๆ ก็เห็นว่า อุบายนี้ได้ผลจริงๆ เราไม่รู้สึกคลื่นไส้ มึนหัว หรือแพ้เรืออีกต่อไปแล้ว เพราะอยู่มาได้หลายวันแล้ว ชินเสียแล้วนั่นเอง ทั้งทิวทัศน์บนฝั่งก็ค่อยๆปรากฎให้เห็นอยู่รางๆ ก็รู้สึกดีพระทัยนัก ตั้งใจว่าจะปูนบำเหน็จรางวัลแก่จางเสื้อกุ้ยให้สมกับความดีความชอบในครั้งนี้
เมื่อถึงฝั่ง ตาเฒ่าเศรษฐีก็มาขอพระราชทานอภัยโทษที่ได้หลอกลวงพระองค์มาตลอดเวลา ถังไท่จงได้สอบถามรายละเอียด จึงทราบว่าการข้ามทะเลในครั้งนี้ เป็นอุบายของ "ซิยิ่นกุ้ย" จึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองกลับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางฝ่ายบู๊นับแต่นั้นมา จนได้เป็นขุนนางใหญ่โตในภายหลัง ส่วนจางเสื้อกุ้ยนั้น แม้จะมิทรงเอาโทษ แต่ก็มิได้โปรดปราน เยี่ยงเคย
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปและวิเคราะห์
1. ปิดฟ้าข้ามทะเล หมายถึง การปกปิดเรื่องจริง สร้างความเคยชิน จนอีกฝ่ายประมาท ปล่อยปละละเลย ขาดการระวัง เป็นเหตุให้ผู้ปิดฟ้า บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตัวเองต้องการ
บางครั้ง "ปิดฟ้า" หมายถึง ปิดบัง ฮ่องเต้ หรือ ผู้นำ เพื่อทำการบางอย่าง
แต่บางครั้ง "ปิดฟ้า" อาจหมายถึง ปิดประชาชน ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า ใครต้องการปิดใคร จากอะไร เพื่อวัตถุประสงค์อะไร
2. สังคมเราเคยชินกับการถูกปิดฟ้ามาตลอด การห้ามถาม ห้ามสงสัย การพูดความจริงได้แค่ด้านเดียว การขาดเสรีภาพในการแสดงความเห็น หรือแม้แต่พิมพ์เรื่องจริงในนี้แล้วก็ถูกอุ้ม บางครั้งการปิดฟ้าก็แนบเนียน มิดชิด แต่บางครั้งก็ตลกเหมือนปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ รู้เห็นกันทั่ว แต่เราก็ทนๆ อยู่กันไป หากเรายังคงปล่อยปละจนคุ้นชิน จากเรื่องเล็กๆ ก็ส่งผลถึงเรื่องใหญ่ๆ ได้
3. ทุกวันนี้เรากำลังถูก "ปิดฟ้า" อยู่หรือไม่ การละเมิดกติกาอย่างร้ายแรง ของสำคัญหายไป หากเรามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ อีกหน่อยเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะทั้งหมด กว่าจะรู้ตัว เราจะอยู่ในสภาพ "ลอยคอในทะเล" หรือไม่ กลับตัวก็ไม่ได้ จะไปต่อไปก็ไปไม่ถึง และถ้าเรือนั้นไม่ได้ใหญ่โต มั่นคง แข็งแรง ไม่มีอุปกรณ์ เสบียง เครื่องยังชีพ ไม่มีผู้นำทางหรือคนขับเรือเก่งๆ ก็คงทำนายได้ถึงชะตากรรมผู้โดยสารบนเรือ