เปิดความเห็นแย้ง ตุลาการเสียงข้างน้อย คดี ”ยิ่งลักษณ์” ขอทุเลาบังคับ คำสั่งชดใช้ 3.5 หมื่นล้าน

กระทู้คำถาม
นายภานุพันธ์ ชัยรัต   รองอธิบดีศาลปกครองกลาง

...ผู้ฟ้องได้อ้างถึงคำสั่งกระทรวงการคลังให้ชดใช้ค่าเสียหาย 35,717,273,028.23 บาท ภายใน30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวกระทรวงการคลังจะดำเนินมาตรการบังคับทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ที่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน

การใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนั้น
มีขั้นตอนตามปรกติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
หรือ กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่ตราโดยรัฐสภา
แต่กรณีโครงการรับจำนำข้าว นายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องที่ 1 เลือกใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44
กำหนดความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับมอบหมายตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ให้ดำเนินการต่อผู้กระทำผิด
และกำหนดให้กรมบังคับคดีเป็นเจ้าหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

แสดงให้เห็นว่า
นายกฯผู้ถูกฟ้องที่ 1 กับพวก ประสงค์จะดำเนินการและพร้อมจะดำเนินการกรณีโครงการรับจำนำข้าวเป็นกรณีพิเศษ แตกต่างไปจากกรณีปรกติ


โดยเมื่อผู้ฟ้องไม่ชำระเงินตามเวลาที่กำหนดในคำสั่งทางปกครอง กระทรวงการคลังได้มีหนังสือลับ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 4 มกราคม 60
แจ้งเตือนให้ชดใช้ค่าสินไหม โดยระบุในหนังสือว่า เมื่อไม่ชำระเงิน
เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน

ขณะที่ข้อเท็จจริงที่รับฟังตามคำสั่งกระทรวงการคลัง นายกฯผู้ถูกฟ้องที่ 1 กับพวกกล่าวอ้างในคำสั่งว่า
จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ถือได้ว่าผู้ฟ้องจงใจกระทำละเมิดเป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหายเป็นเงิน 178,586,365,141.17 บาท
จึงให้ผู้ฟ้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนการกระทำของตน ในอัตรารอยละ 20 ของความเสียหายซึ่งคิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 และ 10

ทั้งนี้หากทางราชการมีการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555 /26 และปีการผลิต 2556/57
ได้ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่ผ่านมาของรัฐบาล
ก็ให้นำมาคำนวณเป็นมูลค่าสินค้าคงเหลือ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 57 และนำมาหักคืนแก่ผู้ฟ้อง ตามสัดส่วนที่ได้ชำระไว้ต่อไป
จึงเห็นว่าจำนวนเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ที่ผู้ฟ้องกับพวกกล่าวอ้างในคำสั่งกระทรวงการคลังที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี
เป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่ยุติเป็นที่สุด เพราะอาจมีเงินจำนวนหนึ่งที่ต้องนำคืนแก่ผู้ฟ้องในภายหลังตามที่ระบุไว้ในคำสั่งทางปกครองนั้น

ขณะที่ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ยุติเป็นที่สุด
รวมทั้งหากนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวไม่ชอบและทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
(*จขกท. นโยบายจำนำข้าวชอบด้วยกฎหมาย)
ยังมีประเด็นการเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้รับไปจากนโยบายของรัฐบาลในฐานะลาภที่ไม่ควรได้ด้วย

ดังนั้นเมื่อยังมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยการกำหนดค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่แน่นอน
ซึ่งผลการวินิจฉัยอาจส่งผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของค่าเสียหายที่จะสั่งให้รับผิดชดใช้

เมื่อสาระสำคัญของคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดียังไม่ยุติเป็นที่สุดจึงน่าจะมีปัญหาเรื่องความไม่ชอบของคำสั่ง
และเมื่อคำสั่งนั้นแจ้งให้ต้องรับผิดชดใช้เป็นจำนวนเงินที่สูงมาก
หากมีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดให้ครบตามจำนวนทั้งที่ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติเป็นที่สุด
ก็ย่อมเกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้ฟ้อง รวมทั้งบริวารที่มีธุรกรรมเกี่ยวข้องกับผู้ฟ้อง ในความเสียหายต่อสิทธิทรัพย์สินของบุคคล


จึงเห็นว่าหากให้คำสั่งกระทรวงการคลังนั้นมีผลใช้บังคับต่อไป
จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ฟ้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขภายหลัง
ซึ่งถ้าแม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังนี้
นายกฯผู้ถูกฟ้องที่1 ในฐานะหัวหน้า คสช. ยังมีอำนาจพิเศษที่จะสั่งการระงับยับยั้งคำสั่งของศาลปกครองได้ตามมาตรา 44  
จึงเห็นว่าการทุเลาบังคับคำสั่งกระทรวงการคลัง ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ

เมื่อการออกคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุการณ์ฟ้องคดีดำเนินการภายใต้สถานการณ์การใช้กำลังยึดอำนาจการปกครองและมีการใช้อำนาจรัฐ
ศาลปกครองในฐานะองค์กรตุลาการของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมทางปกครอง
ต้องตะหนักและให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ด้วยการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐแทนรัฐ
ให้เป็นไปในฐานะรัฐที่ดีตามรัฐนิติธรรมเพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจ


โดยดำเนินกระบวนพิจารณาคดีปกครองให้ครบตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
จนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นที่สุด เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทางปกครองของประเทศ
ได้ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุในการฟ้องคดีก่อนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินผู้ฟ้อง
เพื่อเป็นหลักประกันในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองแก่ประชาชนและสังคมไทยและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งจะดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามคำสั่งทางปกครอง ที่ไม่ใช่การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลซึ่งเป็นที่สุดแล้ว

เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าคำสั่งกระทรวงการคลังเหตุของการฟ้องคดีมีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้คำสั่งนั้นมีผลบังคับต่อไป
จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ขณะที่หากทุเลาการบังคับคำสั่งนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ
ศาลปกครองจึงมีอำนาจที่จะสั่งทุเลาได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อ 72 วรรค 3 ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543

จึงเห็นสมควรที่ศาลปกครองจะสั่งทุเลาคำสั่งกระทรวงการคลังไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น


นายวชิระ ชอบแต่ง   ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง

...กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องได้โต้แย้งถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการออกคำสั่งทั้งในเรื่องการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องทั้ง 4
ขั้นตอนและวิธีการ ที่เป็นสาระสำคัญและดุลพินิจที่ใช้ในการออกคำสั่งในหลายกรณี
กรณีจึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายซึ่งหากมีผลบังคับใช้ต่อไประหว่างการพิจารณาคดีของศาล
จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ฟ้องที่ยากเกินเยียวยาในภายหลัง
ซึ่งการที่ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 มีหนังสือแจ้งเตือนในวันเดียวกันกับที่ออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ขณะเดียวกันได้มีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.
มอบให้กรมบังคับคดีที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาเป็นผู้ใช้อำนาจในมาตรการบังคับทางปกครอง
โดยให้มีการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว
จึงเป็นที่แน่ชัดว่าหากให้คำสั่งชดใช้ค่าสินไหมใช้บังคับต่อไปผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีจะต้องดำเนินการ
ใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องแล้วนำมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าสินไหมอย่างแน่นอน


ซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐาน
ที่ผู้ฟ้องแสดงต่อศาล ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับ
ว่าจะใช้มาตรการบังคับทางปกครองหากศาลมีคำสั่งไม่ทุเลา (*จขกท. คือหากศาลปกครองไม่คุ้มครอง ก็จะยึดทรัพย์ทันที ไม่รออะไรทังสิ้น)

กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกกฟ้องได้เริ่มกระบวนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว
ขณะที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนและหนังสือชี้แจงของผู้ฟ้องเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 60
พบว่าเมื่อสถานภาพของผู้ฟ้องเปลี่ยนแปลงไปยังมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น
ซึ่งหากนำค่าใช้จ่ายที่ผู้ฟ้องอ้าง กับทรัพย์สินตามที่แจ้งต่อศาลและ ป.ป.ช. มาเปรียบเทียบกับจำนวนเงินที่ผู้ฟ้องจะต้องชดใช้ตามคำสั่งแล้ว
เห็นได้ว่าหากมีการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์ของผู้ฟ้องโดยสิ้นเชิง
ย่อมทำให้ไม่มีทรัพย์ใดๆ เหลืออยู่เลยในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลและย่อมได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยทันที
(*จขกท. หมายความว่า ระหว่างคดียังไม่สิ้นสุด ไม่รู้ผิดหรือไม่ แต่ยึดทรัพย์ไปหมด ย่อมสร้างคามเดือดร้อนอย่างยิ่ง)

ซึ่งหากรอให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์ไปก่อนแล้ว
ผู้ฟ้องมีคำขอให้ทุเลา แม้ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟ้องได้รับทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดไปแล้วกลับคืนมา
เพียงแต่ทำให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีไม่อาจมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของผู้ฟ้องต่อไปได้เท่านั้น
หรือหากผู้ฟ้องจะแก้ไขความเดือดร้อนด้วยการฟ้องเป็นคดีใหม่ ขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดและอายัด
ก็จะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขการฟ้องคดีที่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร

อีกทั้ง ถ้าแม้ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาในครั้งนี้
ก็ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองกับทรัพย์สินของผู้ฟ้อง
เพราะผู้ถูกฟ้องและกรมบังคับคดียังมีอำนาจหน้าที่ในส่วนของการเตรียมสืบหาทรัพย์สินต่างๆ ของผู้ฟ้องเพื่อนำไปสู่การยึดและอายัดต่อไป
ดังนั้นถ้าจะสั่งทุเลาจึงไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ

แต่แม้คดีนี้ศาลจะมีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองได้ก็ตาม
แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่มุ่งคุ้มครองคู่กรณีระหว่างการพิจารณาคดีแล้ว
การที่ศาลมีคำสั่งให้ทุเลาคำสั่งทั้งหมดซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดี
ไม่สามารถยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินใดๆ ของผู้ฟ้องได้เลยในระหว่างการพิจารณาของศาล
ก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐตามมาได้
และทำให้ผู้ฟ้องมีสิทธิใช้บรรดาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ได้ตามปรกติเสมือนไม่มีคำสั่งที่ใช้บังคับเลยทั้งๆ ที่ผู้ฟ้องยังคงมีหน้าที่ชดใช้เงินตามคำสั่ง

ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นกับการบริหารงานของรัฐตามมา
กับการพิจารณาถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้ฟ้องจากรายได้ ค่าใช้จ่ายที่สมควรลดลงตามแก่กรณี ความจำเป็น
ในการใช้ที่อยู่อาศัยและการครอบครองเคหะสถานโดยปรกติสุข เกียรติยศชื่อเสียง และพฤติการณ์แห่งคดีของผู้ฟ้องที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว

จึงเห็นสมควรที่จะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังเพียงบางส่วนเท่านั้น
ด้วยการห้ามไม่ให้คำสั่งกระทรวงการคลังมีผลในบ้านและที่ดินเลขที่ 38/9 ซอย นวมินทร์ 111 แขวง นวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กทม.
ที่เป็นบ้านพักอาศัยของผู้ฟ้องและครอบครัว และที่ดินซึ่งเป็นบ้านพักคนงานรวมถึงซึ่งของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านทั้ง 2 หลัง
รวมทั้งบัญชีเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยในธนาคารกรุงเทพฯ สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารเอ รวม 9 บัญชีไว้เป็นการชั่วคราว
จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

http://www.matichon.co.th/news/525631


ตามเนื้อหา
ผู้ถูกฟ้อง 1 ถึง 4  คือนายกฯลุงตู่  รมว.คลัง  รมช.คลัง และปลัดคลัง
ผู้ฟ้อง คือนายกฯยิ่งลักษณ์



การที่ศาลปกครองยกคำร้องขอทุเลาคำสั่งชดใช้
ทำให้กรมบังคับคดีมีอำนาจตาม ม.44  เข้าอายัด และยึดทรัพย์ขายทอดตลาดได้ทันที

ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ตามคำสั่ง คือ 3.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งแน่นอน  กกน. ก็ไม่เหลือ

แล้วหากถึงที่สุด  ปรากฎว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ผิดล่ะ ?
ความเสียหายที่เกิดจากการอายัดและยึดทรัพย์  ใครจะรับผิดชอบ ?

เพราะมีมาตรา 48  รธน.57  นิรโทษกรรมไว้แล้ว




ผมก็แปลกใจครับ
อย่างเรื่องข้าราชการโดนย้าย  เมื่อร้องขอต่อศาลปกครอง ขอทุเลาคำสั่งย้าย  ศาลยังคุ้มครอง

แต่กับการยึดทรัพย์ชนิด กกน. ก็ไม่เหลือนี่   ศาลกลับไม่ทุเลา
บอกว่ายังไม่ถึงขั้นยึดทรัพย์   ทั้งที่มี ม.44 ชัดว่า ยึดได้ทันที
Facepalm
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่