ว่าด้วยเรื่อง ประเด็นที่ไม่ควรพูดถึง การกระทำที่ไม่สมควรกระทำ
บุคคลบางจำพวก ทำตนให้เดือดร้อนนักหนา เพราะความไม่รู้ของตน
แล้วไปสนทนาในข้อที่ไม่ควร
ที่จริงเราไม่ได้ตำหนิในการทำลายมิจฉาทิฏฐิ แต่เราเห็นการกระทำอันของบุคคลบางจำพวกที่ไม่ระวัง ความเดือดร้อนจักไหม้บุคคลทั้งหลายได้
ท่านไม่ควรไปสนทนาในข้อที่ไม่ควร อย่างไร
-สนทนาอันใด ที่ไม่ยังประโยชน์แก่ตน ยังโทษแก่ตน ข้อนั้นไม่ควร
ท่านเห็นสมควรประการใด สนทนาที่ยังความเกลียดชังให้เกิดก็ดี สนทนาที่ยังความทะเลาะเบาะแว้งก็ดี สนทนาแล้วยังเป็นเหตุส่วนหนึ่งให้ทุศีลก็ดี
สนทนาเพื่อยังเบียดเบียนด้วยวาจา นินทาใดๆอยู่ก็ดี
ท่านจะถือว่า สนทนานั้นเรียกได้หรือว่าสมควร เรียกได้หรือว่าควรทำ
อันจริงอยู่ว่า ทำลายมิจฉาทิฏฐิ นั้นเป็นเรื่องที่พอจะสมควรทำ แต่นั้นไม่ใช่ในฐานะของบุคคลบางบุคคลที่ยังไม่เหมาะสม
-แต่ทว่าเมื่อตนยังมีมิจฉาทิฏฐิ ยังไม่ได้ยังโสดาบัน แล้วจะทำลายความเห็นผิดผู้อื่นได้อย่างไร
บางคน ยังไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปปบาท ยังไม่ได้รู้จักว่า ถือศีลเพื่อประโยชน์อะไรอันที่จริงแล้ว ไม่เห็นชัดในหนทางแล้ว ยังไม่ฉลาดในข้อนั้นๆก็ดี
กระทำไปก็ย่อมให้โทษจะบังเกิดได้แก่ตน หากพูดเสียว่า สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นมี ทั้งๆที่ไม่ตรงกับความจริง เห็นคนกระทำถูกแล้วเป็นผิด
เมื่อนั้นก็ทำบาปแก่ตน เพราะความไม่รู้โดยส่วนเดียว กลับกลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าเสียอย่างนั้น
-หรือแม้แต่ การทำลายด้วยการเบียดเบียนทางกายก็ดี วาจาก็ดี ย่อมไม่สมควรเลย
บุคคลแม้รู้น้อย แต่มีศีล ก็ยังดีกว่า บุคคลที่แม้มีรู้มาก แต่ทุศีล เพราะแค่ศีลยังรักษาไว้ไม่ได้เลย กระทำตนให้เดือดร้อนอยู่แล้ว กระทำผู้อื่นให้เดือดร้อนตามด้วย
หากบุคคลนั้นทุศีล ทำตนให้เดือดร้อนนักหนา ไฉนเราจักต้องทำตัวให้เดือดร้อนตามเขาเล่า เพราะด้วยอกุศลธรรม เพราะด้วยอวิชชา
อันที่แท้แล้ว แม้หากว่าพระท่านใด ปฏิบัติไม่ชอบไม่สมควร ท่านควรกล่าวแก่ผู้ที่สามารถพอจัดการได้ เช่น ผู้ที่ให้บรรพชา หรืออย่างอื่น
ไม่ใช่ เอาชนะด้วย การตำหนินินทาก็ดี เอาชนะด้วยการเบียดเบียนทางกายก็ดี
สิ่งบางอย่างไม่อาจตัดได้ด้วย การใช้กำลังเลย ต้องอาศัยปัญญาในการตัด
เรารู้อยู่ว่า ย่อมมีผู้ที่ไม่ฟัง ไม่เห็นด้วย หรือตำหนิเรา ย่อมมีเป็นธรรมดาตามเหตุตามปัจจัย
แต่เพราะเห็นภัยที่จะมีต่อสัตว์ทั้งหลายอันว่า จมอยู่ในมหาสมุทรทุกข์นี้ พาตนให้เดือดร้อน เพราะเพียงแค่ความไม่รู้
ย่อมปราถนาสุข ไม่ปราถนาทุกข์เหมือนกันโดยแท้ แต่สัตว์ทั้งหลายย่อมทำร้ายตนเอง ทำบาปกรรมให้ตนทุกข์ เพราะความไม่รู้ ความไม่ระวังในการกระทำได้
ท่านควรรู้ในอกุศลธรรม และกุศลธรรม รู้ในบาปบุญคุณโทษ ฉลาดในกระทำว่าสิ่งใดควรไม่ควร เพราะข้อนี้ ย่อมยังประโยชน์ให้แก่บุคคลนั้นได้นักหนา
ชื่อว่า รู้ ไม่ใช่รู้แค่ชื่อ บุคคลต้องรู้ในลักษณะก็ดี รู้ในเหตุ รู้ในผล ของธรรมเหล่านั้น ย่อมยังประโยชน์แก่ตนได้
เปรียบเสมือน ยามผู้เฝ้าประตูนครอันใหญ่ รู้ว่าบุคคลนี้เป็นบัณฑิต รู้ว่าบุคคลนี้เป็นเศรษฐี ก็ชักชวน อนุญาติให้เข้าเมือง
รู้ว่าบุคคลใดเล่า มีโจร มีลักษณะอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น จึงกั้นไม่ให้เข้าเมือง อย่างไร
ก็อย่างนั้น บุคคลที่รู้แล้วว่า ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล อกุศล รู้แล้วตลอดในเหตุผล ย่อมยังประโยชน์ให้แก่ตนดั่งการทำให้นครเจริญรุ่งเรือง
ด้วยการ ยังกุศลธรรมให้เกิด ทำลายในอกุศลธรรมให้สิ้นไป เมื่อบุคคลเห็นอยู่
เหตุที่ว่า ควรรู้ตลอดในเหตุในผล เพราะเหตุใด
-เพราะว่าเมื่อบุคคลไม่รู้เหตุเสียแล้ว จักยังกุศลธรรมให้เกิดมาด้วยตนด้วยแต่ใด
-เพราะว่าเมื่อบุคคลไม่รู้เหตุเสียแล้ว จักยังอกุศลธรรมให้ดับลงไปได้ด้วยตนด้วยแต่ใด
-หากท่านไม่รู้ในผล ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ธรรมใดเป็นกุศล อกุศล ควรทำลายไม่ควรทำลาย ควรยังให้เกิด ไม่ควรยังให้เกิด
-อีกข้อหนึ่ง เราเห็นว่า ธรรมบางอย่างนั้น ไม่มีลักษณะให้รู้ได้ เป็นอรูป แล้ว ก็ไม่อาจรู้ได้ด้วยการเห็น การมอง การฟัง หรือ ทวารใดๆ
แต่ย่อมรู้ได้ด้วยเหตุ และผล ย่อมแยกแยะให้ออกได้ด้วยเหตุผล
ย่อมยังประโยชน์แก่ตัวเองได้ นักหนา เพราะการรู้ในสิ่งที่ควร ในข้อนี้
บุคคลที่ไม่รู้ในข้อนี้ แม้จะมีทรัพย์มาก ก็ไม่ประเสริฐเท่าการรู้ข้อนี้ เพราะการรู้ข้อนี้ ย่อมยังตนให้เป็นสุข ยังทรัพย์ให้เกิดได้ ในภายหลังได้
หากมีทรัพย์มาก มีกำลังมาก แต่กระทำไม่สมควร ย่อมพาตนให้เดือดร้อนได้ยิ่งนักหนา
เมื่อไม่รู้แล้ว ก็ปล่อยตนไปตามเหตุตามผล แต่ส่วนมากย่อมพาตนให้ร้อนนักหนา เพราะด้วยมีเหตุอยู่
ประเด็นที่ไม่ใช่ฐานะควรพูดถึง การกระทำที่ไม่ใช่ฐานะสมควรกระทำ
บุคคลบางจำพวก ทำตนให้เดือดร้อนนักหนา เพราะความไม่รู้ของตน
แล้วไปสนทนาในข้อที่ไม่ควร
ที่จริงเราไม่ได้ตำหนิในการทำลายมิจฉาทิฏฐิ แต่เราเห็นการกระทำอันของบุคคลบางจำพวกที่ไม่ระวัง ความเดือดร้อนจักไหม้บุคคลทั้งหลายได้
ท่านไม่ควรไปสนทนาในข้อที่ไม่ควร อย่างไร
-สนทนาอันใด ที่ไม่ยังประโยชน์แก่ตน ยังโทษแก่ตน ข้อนั้นไม่ควร
ท่านเห็นสมควรประการใด สนทนาที่ยังความเกลียดชังให้เกิดก็ดี สนทนาที่ยังความทะเลาะเบาะแว้งก็ดี สนทนาแล้วยังเป็นเหตุส่วนหนึ่งให้ทุศีลก็ดี
สนทนาเพื่อยังเบียดเบียนด้วยวาจา นินทาใดๆอยู่ก็ดี
ท่านจะถือว่า สนทนานั้นเรียกได้หรือว่าสมควร เรียกได้หรือว่าควรทำ
อันจริงอยู่ว่า ทำลายมิจฉาทิฏฐิ นั้นเป็นเรื่องที่พอจะสมควรทำ แต่นั้นไม่ใช่ในฐานะของบุคคลบางบุคคลที่ยังไม่เหมาะสม
-แต่ทว่าเมื่อตนยังมีมิจฉาทิฏฐิ ยังไม่ได้ยังโสดาบัน แล้วจะทำลายความเห็นผิดผู้อื่นได้อย่างไร
บางคน ยังไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปปบาท ยังไม่ได้รู้จักว่า ถือศีลเพื่อประโยชน์อะไรอันที่จริงแล้ว ไม่เห็นชัดในหนทางแล้ว ยังไม่ฉลาดในข้อนั้นๆก็ดี
กระทำไปก็ย่อมให้โทษจะบังเกิดได้แก่ตน หากพูดเสียว่า สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นมี ทั้งๆที่ไม่ตรงกับความจริง เห็นคนกระทำถูกแล้วเป็นผิด
เมื่อนั้นก็ทำบาปแก่ตน เพราะความไม่รู้โดยส่วนเดียว กลับกลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าเสียอย่างนั้น
-หรือแม้แต่ การทำลายด้วยการเบียดเบียนทางกายก็ดี วาจาก็ดี ย่อมไม่สมควรเลย
บุคคลแม้รู้น้อย แต่มีศีล ก็ยังดีกว่า บุคคลที่แม้มีรู้มาก แต่ทุศีล เพราะแค่ศีลยังรักษาไว้ไม่ได้เลย กระทำตนให้เดือดร้อนอยู่แล้ว กระทำผู้อื่นให้เดือดร้อนตามด้วย
หากบุคคลนั้นทุศีล ทำตนให้เดือดร้อนนักหนา ไฉนเราจักต้องทำตัวให้เดือดร้อนตามเขาเล่า เพราะด้วยอกุศลธรรม เพราะด้วยอวิชชา
อันที่แท้แล้ว แม้หากว่าพระท่านใด ปฏิบัติไม่ชอบไม่สมควร ท่านควรกล่าวแก่ผู้ที่สามารถพอจัดการได้ เช่น ผู้ที่ให้บรรพชา หรืออย่างอื่น
ไม่ใช่ เอาชนะด้วย การตำหนินินทาก็ดี เอาชนะด้วยการเบียดเบียนทางกายก็ดี
สิ่งบางอย่างไม่อาจตัดได้ด้วย การใช้กำลังเลย ต้องอาศัยปัญญาในการตัด
เรารู้อยู่ว่า ย่อมมีผู้ที่ไม่ฟัง ไม่เห็นด้วย หรือตำหนิเรา ย่อมมีเป็นธรรมดาตามเหตุตามปัจจัย
แต่เพราะเห็นภัยที่จะมีต่อสัตว์ทั้งหลายอันว่า จมอยู่ในมหาสมุทรทุกข์นี้ พาตนให้เดือดร้อน เพราะเพียงแค่ความไม่รู้
ย่อมปราถนาสุข ไม่ปราถนาทุกข์เหมือนกันโดยแท้ แต่สัตว์ทั้งหลายย่อมทำร้ายตนเอง ทำบาปกรรมให้ตนทุกข์ เพราะความไม่รู้ ความไม่ระวังในการกระทำได้
ท่านควรรู้ในอกุศลธรรม และกุศลธรรม รู้ในบาปบุญคุณโทษ ฉลาดในกระทำว่าสิ่งใดควรไม่ควร เพราะข้อนี้ ย่อมยังประโยชน์ให้แก่บุคคลนั้นได้นักหนา
ชื่อว่า รู้ ไม่ใช่รู้แค่ชื่อ บุคคลต้องรู้ในลักษณะก็ดี รู้ในเหตุ รู้ในผล ของธรรมเหล่านั้น ย่อมยังประโยชน์แก่ตนได้
เปรียบเสมือน ยามผู้เฝ้าประตูนครอันใหญ่ รู้ว่าบุคคลนี้เป็นบัณฑิต รู้ว่าบุคคลนี้เป็นเศรษฐี ก็ชักชวน อนุญาติให้เข้าเมือง
รู้ว่าบุคคลใดเล่า มีโจร มีลักษณะอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น จึงกั้นไม่ให้เข้าเมือง อย่างไร
ก็อย่างนั้น บุคคลที่รู้แล้วว่า ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล อกุศล รู้แล้วตลอดในเหตุผล ย่อมยังประโยชน์ให้แก่ตนดั่งการทำให้นครเจริญรุ่งเรือง
ด้วยการ ยังกุศลธรรมให้เกิด ทำลายในอกุศลธรรมให้สิ้นไป เมื่อบุคคลเห็นอยู่
เหตุที่ว่า ควรรู้ตลอดในเหตุในผล เพราะเหตุใด
-เพราะว่าเมื่อบุคคลไม่รู้เหตุเสียแล้ว จักยังกุศลธรรมให้เกิดมาด้วยตนด้วยแต่ใด
-เพราะว่าเมื่อบุคคลไม่รู้เหตุเสียแล้ว จักยังอกุศลธรรมให้ดับลงไปได้ด้วยตนด้วยแต่ใด
-หากท่านไม่รู้ในผล ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ธรรมใดเป็นกุศล อกุศล ควรทำลายไม่ควรทำลาย ควรยังให้เกิด ไม่ควรยังให้เกิด
-อีกข้อหนึ่ง เราเห็นว่า ธรรมบางอย่างนั้น ไม่มีลักษณะให้รู้ได้ เป็นอรูป แล้ว ก็ไม่อาจรู้ได้ด้วยการเห็น การมอง การฟัง หรือ ทวารใดๆ
แต่ย่อมรู้ได้ด้วยเหตุ และผล ย่อมแยกแยะให้ออกได้ด้วยเหตุผล
ย่อมยังประโยชน์แก่ตัวเองได้ นักหนา เพราะการรู้ในสิ่งที่ควร ในข้อนี้
บุคคลที่ไม่รู้ในข้อนี้ แม้จะมีทรัพย์มาก ก็ไม่ประเสริฐเท่าการรู้ข้อนี้ เพราะการรู้ข้อนี้ ย่อมยังตนให้เป็นสุข ยังทรัพย์ให้เกิดได้ ในภายหลังได้
หากมีทรัพย์มาก มีกำลังมาก แต่กระทำไม่สมควร ย่อมพาตนให้เดือดร้อนได้ยิ่งนักหนา
เมื่อไม่รู้แล้ว ก็ปล่อยตนไปตามเหตุตามผล แต่ส่วนมากย่อมพาตนให้ร้อนนักหนา เพราะด้วยมีเหตุอยู่