Credit :
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=399636773727006&set=a.102731243417562.1073741828.100010420591561&type=3&theater

ขอเตือนไว้ก่อนว่า โพสต์นี้ยาว ฮาร์ดคอ และแมวเสียเวลาพิมพ์ไปมากกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่แนะนำให้แชร์ครับ
สวัสดีครับมิตรสหายทั้งหลาย วันนี้แมวจะมาขอนำเสนอ ความเรียงที่ใช้การเตรียมการและใช้เวลาจัดทำนานกว่าที่แมวทำงานจริงๆ แต่มันเกิดจากคำถามหนึ่งที่อยู่ดีๆก็ปรากฎขึ้นมาในหัวของแมว ซึ่งทำให้ต้องลองไปค้นหาคำตอบดู ผลปรากฎก็เป็นอย่างที่แมวคิดเลย
ประเทศไทยในอดีตกาลเจริญอย่างที่พวกเราคิดกันหรือเปล่า? หรือว่ามันเป็นความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองทั้งหลายเพื่อส่งเสริมแนวคิดชาตินิยมในการที่จะทำให้คนไทยไปตายแทนพวกเขาได้? หรือว่ามันเป็นแค่สิ่งที่คนเราคิดขึ้นเพื่อเอาไว้แซะความล้าหลังในทุกยุคทุกสมัยอย่างเดียว?
คำถามนี้มันเกิดขึ้นเพราะว่าแมวไปเห็นภาพที่ได้เห็นมาหลายรอบแล้ว ก็คือภาพโตโยต้าโคโรน่าที่ประกอบในประเทศไทยครั้งแรกในปี 1965 จากเพจ 77PPP ซึ่งโอเคแมวชอบภาพนั้นมาก อย่างที่รู้ๆกันแมวไม่ได้มาจากปี 2017 ทีนี้ มีคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีบริษัทรถยนต์เป็นของตัวเองสักที แต่ยังคงเป็นลูกจ๊อกรับใช้นายญี่ปุ่นมาตลอด
ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุผลใช่ไหม? เคยมีคนบอกว่าประเทศไทยแต่ก่อนนั้นเจริญมาก ร.5 เอารถไฟเข้ามาในไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงหรอก คิดกันไปเอง ญี่ปุ่นมีรถไฟมาก่อนไทยตั้ง 20 กว่าปี หน่ำซ้ำในช่วงที่มีการก่อตั้งกรมการรถไฟ ปี 1890 รถไฟมันก็ล้าสมัยไปเสียแล้ว แต่อันนี้เรายอมรับได้นะ เพราะว่ายี่สิบกว่าปีถัดมา ประเทศไทยก็มีลานบินเป็นแห่งแรกๆในเอเซียเลย ทั้งลานบินสระปทุม แล้วก็ดอนเมือง ซึ่งก็ยังคงเป็นหนึ่งในสนามบินที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ประเทศไทยอาจจะไม่ได้ถึงขั้นล้ำหน้า แต่ถ้าเทียบเรื่องความล้าหลังแล้วก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร
หรืออย่างที่มีความเชื่อว่า เกาหลีใต้เคยเจริญน้อยกว่าไทย อันนี้อาจจะไม่ค่อยได้ยินกัน แต่มันก็มีจริงๆ ซึ่งพอลองไปเทียบ GDP ต่อหัวในปี 1960 แล้ว เกาหลีใต้

ก็เจริญกว่าไทยอยู่ดี เป็นแค่ความเชื่อที่ถูกสร้างมาและถูกส่งต่อเพราะขาดการตรวจสอบ เหมือนกับหลายๆสิ่งในไทย
ประเด็นที่จะบอกคืออะไร?
การที่บริษัทรถยนต์จะเกิดขึ้นได้ในประเทศนั้นๆ ย่อมต้องมาจากผู้คนของในประเทศนั้นๆเอง กล่าวคือ บริษัทรถเกือบทุกแห่งของโลกย่อมต้องเกิดจากคนที่มีความสนใจโดยตรงในด้านวิศวกรรม เคยมีคนบอกว่า Ferrucio Lamborghini เป็นเด็กบ้านๆ เป็นเด็กเลี้ยงวัว แต่เขาก็ไม่ได้เป็นชาวนาจริงๆ เขาสนใจในเรื่องวิศวกรรม และเขาก็ได้รับการศึกษา เขาเป็นนายช่าง เรื่องราวหลังจากนั้นก็รู้ๆกันอยู่ รถแทร็คเตอร์ เฟอร์รารี่ รถสปอร์ต คานดีนี ฯลฯ
เรายอมรับได้ว่า ประเทศไทยในยุคสมัยนั้นเคยมีคนที่ชำนาญด้านวิศวกรรมอยู่มากมาย เรามีโรงประกอบเครื่องบินเป็นของตัวเอง แต่ถามจริงๆ นอกเหนือจากตอบสนองให้กับชนชั้นปกครองแล้ว วิศวกรพวกนี้จะสร้างเครื่องมือเครื่องใช้อะไรมาให้กับคนธรรมดาได้บ้าง? ในเมื่อชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ชนชั้นกรรมาชีพเงยหน้าเงยตาขึ้นมาได้ ก็ไม่มีอุปสงค์ที่จะทำให้เกิดอุปทานในการสร้างสิ่งที่จะสามารถตอบสนองคนได้ไม่กี่กลุ่ม
อธิบายได้ในอีกทางหนึ่งนะ คณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อเข้าไปเติมเต็มความต้องการของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ในทางเอกชนในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 มีอะไรที่ทำผลตอบแทนให้กับการเสียเวลาเล่าเรียนไปบ้างละ? จะให้ก่อตั้งบริษัทรถของตัวเอง ถามจริงๆจะขายใคร?
แล้วพวกที่ชื่นชอบในการใช้ยานยนต์ในยุคสมัยนั้น (ซึ่งก็มีแค่คนกลุ่มเดียว กลุ่มนั้นแหละ) ก็คงไม่มานั่งเปิดบริษัทบริหารงานออกแบบทำรถของตัวเองกัน
เพราะงั้นถ้าถามว่าในยุคสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิ มีโอกาสที่ประเทศไทยจะมีรถเป็นของตัวเองหรือไม่ ตอบได้คำเดียวว่าไม่มี ในเมื่อตลาดไม่มี ก็ไม่มีใครจะทำ
งั้นเราข้ามในยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กันบ้าง ประเทศไทยมีประชาธิปไตย ถึงแม้จะไม่กี่ปีก็ตาม แต่อีกสิ่งที่ตามมาคือ ความเป็นทุนนิยม โอกาสของคนไทยมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเกิดพวกชื่นชอบยานยนต์โดยตรงทำให้ไม่ได้ บริษัทใหญ่อาจจะทำให้ได้ ประเทศไทยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่ในยุคสมัยนั้น แต่ปัญหามันก็ติดอยู่ที่ว่า บริษัทที่รวยๆส่วนมากก็ทำแต่ด้านอาหารเสียมาก เกษตรกรรม ฯลฯ สิ่งที่เราไม่มี


เป็นสิ่งที่สำคัญในการผลิตรถยนต์ นั่นก็คือ อุตสาหกรรมเหล็กกล้า
ญี่ปุ่นเขามีบริษัท Mitsubishi ผู้ซึ่งทำได้เทพทุกอย่างตั้งแต่ดินสอ (อิอิ) ยันเรือรบ ซึ่งผลิตรถยนต์เป็นของตัวเองได้ตั้งแต่ปี 1917 ด้วยความรู้ทางด้านการผลิตเหล็กและต่อเรือมาประยุกต์ใช้ และนั่นไม่นับผู้ผลิตรายย่อยที่ทำรถของตัวเองได้ตั้งแต่ปลายยุค 1890 ในสมัยนั้นประเทศไทยมีรถยนต์ไม่ถึงสิบคัน และส่วนมากก็เป็นของกลุ่มชนชั้นปกครอง ไม่หรอก ประเทศไทยมันล้าหลังเกินไปกว่าที่จะมีบริษัทรถยนต์เป็นของตัวเองในยุค 1950 และ 1960
อ้าว ทีนี้ ผู้อ่านก็คงจะตั้งคำถามกัน แล้วโปรตอนของมาเลเซียละ ประชากรเขาน้อยกว่าเราตั้ง 4 เท่า แสดงว่าตลาดก็มีไม่เยอะเท่าไทย แต่ชนชั้นปกครองเขามีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างรถยนต์เป็นของตัวเอง มหธีร์มูฮัมมัด ไม่ต้องง้อต่างชาติ ใช่ไหม ใช่ไหม
ย้อนกลับไปดูไหมครับ ว่าในปี 1982 GDP ต่อหัวของไทยเทียบกับมาเลเซียต่างกันขนาดไหน แล้วยิ่งไปกว่านั้น คิดเหรอครับว่าโปรตอนเขาอยู่ได้ด้วยประชากรในประเทศอย่างเดียว? ตลาดหลักของโปรตอนในช่วงปลายยุค 1980 ไม่ใช่ในมาเลเซีย ไม่ใช่ในเอเซีย แต่เป็นในอังกฤษ และ ออสเตรเลีย บริษัทโปรตอนถ้าไม่มีตลาดส่งออก ทำกำไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าประเทศไทยจะไปแข่งด้วย ก็ต้องทำตลาดส่งออกเป็นหลัก ขายในประเทศได้น้อย
แต่นั่นแมวมองว่าไม่ใช่ปัญหาหลักหรอก ปัญหาหลักๆมันก็คือความเจริญของชาตินั่นแหละ
โอเค ยอมรับได้นะ ว่าประเทศไทยมีความเจริญไม่น้อยหน้าต่างชาติ ถ้าเกิดนับเรื่องสิ่งที่คนรวยในเมืองซื้อหามาใช้กันได้นั่นแหละ ถูกต้อง ประเทศไทยเจริญไม่น้อยไปกว่าประเทศอื่นๆหรอก ต้องขอขอบคุณสลิดที่ทำให้ระบบทุนนิยมมันเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวคนกรุงฯเอาไว้ ซึ่งจริงๆก็รวมถึงเราด้วยแหละ เราก็คนกรุงเทพฯ
แต่เคยสังเกตกันไหมครับ ว่าตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหนแล้ว ที่รถยนต์ถูกตีตราให้เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย?
นั่นหมายความว่าอะไร?
นั่นหมายความว่า พวกเขากำลังบอกว่า รถยนต์เนี่ย เป็นสิ่งที่ซื้อหากันได้เฉพาะสำหรับคนที่ไม่ต้องคิดมากเท่านั้น ซื้อเป็นของเหลือใช้ ซื้อเป็นงานอดิเรก ซึ่งคนที่จะทำแบบนั้นได้ มีคนอยู่กลุ่มเดียวเท่านั้น
คิดเหรอครับ ว่าการที่ใครบางคนบอกว่ารถยนต์เป็นของฟุ่มเฟือย พวกเขาต้องการให้คนประหยัด? ในเมื่อคนที่พูดอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว มันไม่ใช่ความหวังดีอะไรหรอก มันคือการพยายามที่จะตัดช่องทางไม่ให้คนในชนชั้นต่ำกว่า ไปอยู่ทัดเทียมกับพวกเขาเอง พวกเราอาจจะไม่รู้สึกอะไรเพราะชนชั้นปกครองไม่เคยที่จะบังคับพวกเราในทางตรง ประเทศไทยเป็น Authoritarian Dictatorship มาตั้งแต่ยุคของแปลก มาจนถึงปัจจุบันที่มีลุงคนนึงชอบออกทีวี เขาไม่ได้มาสนใจการใช้ชีวิตของคน ตราบใดที่คนไม่ไปชาเลนจ์ฐานอำนาจของพวกเขาเอง
สรุปได้ว่าอะไร? ผมจะบอกสั้นๆเลยละกันนะ เพราะนี่มันก็ยาวเกินไปละ รู้ไหมครับเครื่องหมายที่แสดงถึงการขึ้นมามีความหมายของชนชั้นกลางคืออะไร? ตอบได้ง่ายๆ อะไรคือสิ่งที่เอาไว้แสดงฐานะของคนธรรมดาได้ดีที่สุด ถ้าไม่ใช่รถยนต์
ทำไมประเทศไทยถึงไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง? ก็อาจจะบอกได้ว่ามีใครบางคนกำลังกลัวว่า ชนชั้นกลางจะมาท้าทายอำนาจที่พวกเขาไม่ยอมปล่อยง่ายๆนั่นแหละครับ
เครดิตภาพ Dean Barrett
เหตุที่ประเทศไทยไม่มีอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นตราสินค้าสัญชาติไทย...กับบางเรื่งอที่เราพูดกันเกินจริง
ขอเตือนไว้ก่อนว่า โพสต์นี้ยาว ฮาร์ดคอ และแมวเสียเวลาพิมพ์ไปมากกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่แนะนำให้แชร์ครับ
สวัสดีครับมิตรสหายทั้งหลาย วันนี้แมวจะมาขอนำเสนอ ความเรียงที่ใช้การเตรียมการและใช้เวลาจัดทำนานกว่าที่แมวทำงานจริงๆ แต่มันเกิดจากคำถามหนึ่งที่อยู่ดีๆก็ปรากฎขึ้นมาในหัวของแมว ซึ่งทำให้ต้องลองไปค้นหาคำตอบดู ผลปรากฎก็เป็นอย่างที่แมวคิดเลย
ประเทศไทยในอดีตกาลเจริญอย่างที่พวกเราคิดกันหรือเปล่า? หรือว่ามันเป็นความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองทั้งหลายเพื่อส่งเสริมแนวคิดชาตินิยมในการที่จะทำให้คนไทยไปตายแทนพวกเขาได้? หรือว่ามันเป็นแค่สิ่งที่คนเราคิดขึ้นเพื่อเอาไว้แซะความล้าหลังในทุกยุคทุกสมัยอย่างเดียว?
คำถามนี้มันเกิดขึ้นเพราะว่าแมวไปเห็นภาพที่ได้เห็นมาหลายรอบแล้ว ก็คือภาพโตโยต้าโคโรน่าที่ประกอบในประเทศไทยครั้งแรกในปี 1965 จากเพจ 77PPP ซึ่งโอเคแมวชอบภาพนั้นมาก อย่างที่รู้ๆกันแมวไม่ได้มาจากปี 2017 ทีนี้ มีคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีบริษัทรถยนต์เป็นของตัวเองสักที แต่ยังคงเป็นลูกจ๊อกรับใช้นายญี่ปุ่นมาตลอด
ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุผลใช่ไหม? เคยมีคนบอกว่าประเทศไทยแต่ก่อนนั้นเจริญมาก ร.5 เอารถไฟเข้ามาในไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงหรอก คิดกันไปเอง ญี่ปุ่นมีรถไฟมาก่อนไทยตั้ง 20 กว่าปี หน่ำซ้ำในช่วงที่มีการก่อตั้งกรมการรถไฟ ปี 1890 รถไฟมันก็ล้าสมัยไปเสียแล้ว แต่อันนี้เรายอมรับได้นะ เพราะว่ายี่สิบกว่าปีถัดมา ประเทศไทยก็มีลานบินเป็นแห่งแรกๆในเอเซียเลย ทั้งลานบินสระปทุม แล้วก็ดอนเมือง ซึ่งก็ยังคงเป็นหนึ่งในสนามบินที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ประเทศไทยอาจจะไม่ได้ถึงขั้นล้ำหน้า แต่ถ้าเทียบเรื่องความล้าหลังแล้วก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร
หรืออย่างที่มีความเชื่อว่า เกาหลีใต้เคยเจริญน้อยกว่าไทย อันนี้อาจจะไม่ค่อยได้ยินกัน แต่มันก็มีจริงๆ ซึ่งพอลองไปเทียบ GDP ต่อหัวในปี 1960 แล้ว เกาหลีใต้
ประเด็นที่จะบอกคืออะไร?
การที่บริษัทรถยนต์จะเกิดขึ้นได้ในประเทศนั้นๆ ย่อมต้องมาจากผู้คนของในประเทศนั้นๆเอง กล่าวคือ บริษัทรถเกือบทุกแห่งของโลกย่อมต้องเกิดจากคนที่มีความสนใจโดยตรงในด้านวิศวกรรม เคยมีคนบอกว่า Ferrucio Lamborghini เป็นเด็กบ้านๆ เป็นเด็กเลี้ยงวัว แต่เขาก็ไม่ได้เป็นชาวนาจริงๆ เขาสนใจในเรื่องวิศวกรรม และเขาก็ได้รับการศึกษา เขาเป็นนายช่าง เรื่องราวหลังจากนั้นก็รู้ๆกันอยู่ รถแทร็คเตอร์ เฟอร์รารี่ รถสปอร์ต คานดีนี ฯลฯ
เรายอมรับได้ว่า ประเทศไทยในยุคสมัยนั้นเคยมีคนที่ชำนาญด้านวิศวกรรมอยู่มากมาย เรามีโรงประกอบเครื่องบินเป็นของตัวเอง แต่ถามจริงๆ นอกเหนือจากตอบสนองให้กับชนชั้นปกครองแล้ว วิศวกรพวกนี้จะสร้างเครื่องมือเครื่องใช้อะไรมาให้กับคนธรรมดาได้บ้าง? ในเมื่อชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ชนชั้นกรรมาชีพเงยหน้าเงยตาขึ้นมาได้ ก็ไม่มีอุปสงค์ที่จะทำให้เกิดอุปทานในการสร้างสิ่งที่จะสามารถตอบสนองคนได้ไม่กี่กลุ่ม
อธิบายได้ในอีกทางหนึ่งนะ คณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเพื่อเข้าไปเติมเต็มความต้องการของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ในทางเอกชนในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 มีอะไรที่ทำผลตอบแทนให้กับการเสียเวลาเล่าเรียนไปบ้างละ? จะให้ก่อตั้งบริษัทรถของตัวเอง ถามจริงๆจะขายใคร?
แล้วพวกที่ชื่นชอบในการใช้ยานยนต์ในยุคสมัยนั้น (ซึ่งก็มีแค่คนกลุ่มเดียว กลุ่มนั้นแหละ) ก็คงไม่มานั่งเปิดบริษัทบริหารงานออกแบบทำรถของตัวเองกัน
เพราะงั้นถ้าถามว่าในยุคสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิ มีโอกาสที่ประเทศไทยจะมีรถเป็นของตัวเองหรือไม่ ตอบได้คำเดียวว่าไม่มี ในเมื่อตลาดไม่มี ก็ไม่มีใครจะทำ
งั้นเราข้ามในยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กันบ้าง ประเทศไทยมีประชาธิปไตย ถึงแม้จะไม่กี่ปีก็ตาม แต่อีกสิ่งที่ตามมาคือ ความเป็นทุนนิยม โอกาสของคนไทยมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเกิดพวกชื่นชอบยานยนต์โดยตรงทำให้ไม่ได้ บริษัทใหญ่อาจจะทำให้ได้ ประเทศไทยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่ในยุคสมัยนั้น แต่ปัญหามันก็ติดอยู่ที่ว่า บริษัทที่รวยๆส่วนมากก็ทำแต่ด้านอาหารเสียมาก เกษตรกรรม ฯลฯ สิ่งที่เราไม่มี
ญี่ปุ่นเขามีบริษัท Mitsubishi ผู้ซึ่งทำได้เทพทุกอย่างตั้งแต่ดินสอ (อิอิ) ยันเรือรบ ซึ่งผลิตรถยนต์เป็นของตัวเองได้ตั้งแต่ปี 1917 ด้วยความรู้ทางด้านการผลิตเหล็กและต่อเรือมาประยุกต์ใช้ และนั่นไม่นับผู้ผลิตรายย่อยที่ทำรถของตัวเองได้ตั้งแต่ปลายยุค 1890 ในสมัยนั้นประเทศไทยมีรถยนต์ไม่ถึงสิบคัน และส่วนมากก็เป็นของกลุ่มชนชั้นปกครอง ไม่หรอก ประเทศไทยมันล้าหลังเกินไปกว่าที่จะมีบริษัทรถยนต์เป็นของตัวเองในยุค 1950 และ 1960
อ้าว ทีนี้ ผู้อ่านก็คงจะตั้งคำถามกัน แล้วโปรตอนของมาเลเซียละ ประชากรเขาน้อยกว่าเราตั้ง 4 เท่า แสดงว่าตลาดก็มีไม่เยอะเท่าไทย แต่ชนชั้นปกครองเขามีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างรถยนต์เป็นของตัวเอง มหธีร์มูฮัมมัด ไม่ต้องง้อต่างชาติ ใช่ไหม ใช่ไหม
ย้อนกลับไปดูไหมครับ ว่าในปี 1982 GDP ต่อหัวของไทยเทียบกับมาเลเซียต่างกันขนาดไหน แล้วยิ่งไปกว่านั้น คิดเหรอครับว่าโปรตอนเขาอยู่ได้ด้วยประชากรในประเทศอย่างเดียว? ตลาดหลักของโปรตอนในช่วงปลายยุค 1980 ไม่ใช่ในมาเลเซีย ไม่ใช่ในเอเซีย แต่เป็นในอังกฤษ และ ออสเตรเลีย บริษัทโปรตอนถ้าไม่มีตลาดส่งออก ทำกำไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าประเทศไทยจะไปแข่งด้วย ก็ต้องทำตลาดส่งออกเป็นหลัก ขายในประเทศได้น้อย
แต่นั่นแมวมองว่าไม่ใช่ปัญหาหลักหรอก ปัญหาหลักๆมันก็คือความเจริญของชาตินั่นแหละ
โอเค ยอมรับได้นะ ว่าประเทศไทยมีความเจริญไม่น้อยหน้าต่างชาติ ถ้าเกิดนับเรื่องสิ่งที่คนรวยในเมืองซื้อหามาใช้กันได้นั่นแหละ ถูกต้อง ประเทศไทยเจริญไม่น้อยไปกว่าประเทศอื่นๆหรอก ต้องขอขอบคุณสลิดที่ทำให้ระบบทุนนิยมมันเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวคนกรุงฯเอาไว้ ซึ่งจริงๆก็รวมถึงเราด้วยแหละ เราก็คนกรุงเทพฯ
แต่เคยสังเกตกันไหมครับ ว่าตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหนแล้ว ที่รถยนต์ถูกตีตราให้เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย?
นั่นหมายความว่าอะไร?
นั่นหมายความว่า พวกเขากำลังบอกว่า รถยนต์เนี่ย เป็นสิ่งที่ซื้อหากันได้เฉพาะสำหรับคนที่ไม่ต้องคิดมากเท่านั้น ซื้อเป็นของเหลือใช้ ซื้อเป็นงานอดิเรก ซึ่งคนที่จะทำแบบนั้นได้ มีคนอยู่กลุ่มเดียวเท่านั้น
คิดเหรอครับ ว่าการที่ใครบางคนบอกว่ารถยนต์เป็นของฟุ่มเฟือย พวกเขาต้องการให้คนประหยัด? ในเมื่อคนที่พูดอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว มันไม่ใช่ความหวังดีอะไรหรอก มันคือการพยายามที่จะตัดช่องทางไม่ให้คนในชนชั้นต่ำกว่า ไปอยู่ทัดเทียมกับพวกเขาเอง พวกเราอาจจะไม่รู้สึกอะไรเพราะชนชั้นปกครองไม่เคยที่จะบังคับพวกเราในทางตรง ประเทศไทยเป็น Authoritarian Dictatorship มาตั้งแต่ยุคของแปลก มาจนถึงปัจจุบันที่มีลุงคนนึงชอบออกทีวี เขาไม่ได้มาสนใจการใช้ชีวิตของคน ตราบใดที่คนไม่ไปชาเลนจ์ฐานอำนาจของพวกเขาเอง
สรุปได้ว่าอะไร? ผมจะบอกสั้นๆเลยละกันนะ เพราะนี่มันก็ยาวเกินไปละ รู้ไหมครับเครื่องหมายที่แสดงถึงการขึ้นมามีความหมายของชนชั้นกลางคืออะไร? ตอบได้ง่ายๆ อะไรคือสิ่งที่เอาไว้แสดงฐานะของคนธรรมดาได้ดีที่สุด ถ้าไม่ใช่รถยนต์
ทำไมประเทศไทยถึงไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง? ก็อาจจะบอกได้ว่ามีใครบางคนกำลังกลัวว่า ชนชั้นกลางจะมาท้าทายอำนาจที่พวกเขาไม่ยอมปล่อยง่ายๆนั่นแหละครับ
เครดิตภาพ Dean Barrett