กระทู้นี้อยากจะเล่าเรื่องของคุณยายให้ฟังค่ะ....
คุณยายของดิฉัน ปีนี้ท่านก็อายุ 86 ปีแล้ว คุณยายของดิฉันท่านเป็นคนแข็งแรงมาตลอด เนื่องจากที่บ้านต่างจังหวัดแต่ก่อนจะปลูกพืชผักสวนครัว เก็บมัดส่งขายตามตลาดใหญ่ๆ ในตัวเมือง ทุกๆ เช้ายายจะตื่นมาหุงข้าว เก็บกวาดบ้าน สายๆ หน่อยก็จะออกไปถางหญ้า กวาดใบไม้รอบๆ บ้าน แล้วก็เก็บผักรดนำผักตามประสาของท่าน พอเหนื่อยหน่อย ก็จะมานอนพัก หายเหนื่อยก็ออกไปทำงานต่อ พอหลังๆ มา อายุเริ่มมากขึ้น ท่านก็เหนื่อยง่ายขึ้น ดิฉันกับแม่เลยบอกท่านว่าไม่ต้องทำ ให้พักผ่อนเยอะๆ ท่านก็ทำงานน้อยลง นอนพักมากขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้หยุดซะทีเดียวนะคะ แต่ท่านก็ทำงานบ้าง กวาดบ้านถูบ้านบ้าง มีอะไรที่ไม่ค่อยหนักมากก็ทำไปตลอด ท่านเป็นคนแก่ที่ผอมมาก ท่านสูงไม่เกิน 162 cm. แต่ก่อนน้ำหนักจะอยู่ที่ 46 - 49 กิโล โดยประมาณนะคะ น้ำหนักจะไม่เคยเกิน 50 ขึ้นไปสักครั้ง ทานอาหารน้อยอย่างข้าวก็มื้อละ 1 - 2 ทัพพี อย่างมากก็ 3 ทัพพี
ช่วง 2 ปีที่แล้วที่ท่านจะนอนเยอะมาก เพราะท่านชอบเมาหัว วิงเวียน และเป็นลมบ่อยๆ และทานข้าวได้น้อยลงมาก อย่างมากสุดก็ข้าว 2 ทัพพี บ่นแต่ว่ามันไม่อร่อย หาซื้อยาเจริญอาหารมาก็ไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ ดิฉันพาท่านไปหาหมอบ้างเป็นบางครั้ง เพราะปกติท่านจะไม่ชอบให้พาไปหาหมอ ต้องเป็นหนักๆ แบบว่า "เฮ้ย...ไม่ไหวแล้ว" ท่านถึงจะยอมไปโรงพยาบาลสักทีนึง อาจจะเป็นเพราะโรงพยาบาลจะอยู่ไกลจากบ้านมาก ประมาณ 30 - 40 กิโล ประกอบด้วยที่บ้านไม่มีรถยนต์เลย มีแต่รถจักรยานยนต์ ท่านก็เลยไม่ค่อยอยากไป พอจะไปโรงพยาบาลที ก็จะขอให้ญาติๆ ข้างๆ บ้านพาไป ส่วนมากไปหาหมอเลยได้แต่พาไปคลีนิคเป็นส่วนใหญ่
จนมาช่วงเป็นที่แล้วเดือนมีนาคม 2559 ท่านบ่นว่าปวดท้องด้านขวา ก็พาท่านไปหาหมอ หมอก็แจ้งว่าท่านเป็นโรคกะเพาะ เพราะท่านไม่ค่อยทานอาหาร ให้ยามาทานแล้วก็กลับบ้าน แต่ก็ยังไม่ได้หายปวดท้องแต่อย่างใด บวกกับที่ท่านทานอาหารไม่ค่อยได้ ยิ่งทานน้อยลงกว่าเดิมมาก จนน้ำหนักตอนนี้อยู่แค่ 35 - 36 กิโล พอกินยาก็บอกว่าทุเลาลง ทางเราก็ไม่ได้เอะใจอะไรกันเป็นพิเศษ
จนมาประมาณเดือนกันยายน ยายก็ยังบ่นปวดท้องเหมือนเดิม ปวดแบบอ่อยๆ และท่านก็บอกว่าเหมือนมีก้อนแข็งๆ อยู่ใต้ซี่โครงด้านขวา ลงกดๆ ดูก็พบจริงๆ ก็พาไปโรงพยาบาล หมอก็ยังบอกว่าเป็นโรคกะเพาะ ขอให้เอ็กซ์เรย์ดูก็ไม่ทำให้ บอกคิวไม่ว่าง แล้วก็ให้ยามากิน เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเดือนธันวาคม ท่านก็เจ็บๆ มากขึ้น จนไม่สามารถนอนตะแคงข้างซ้ายได้เลย เพราะเหมือนก้อนนั้นไปทับหัวใจจนหายใจไม่ออก ทางเราเริ่มไม่โอเคแล้วก็เลยพากันไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลเอกชน หมอบอกว่าพบก้อนเนื้อในตับ ขนาดประมาณ 7 เซน วินาทีนั้นจุกมาก ช็อค ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็พยายามตั้งสติแล้วถามหมอว่ารักษาได้ไหม หมอบอกว่าต้องตรวจให้ละเอียด ถ้าเป็นก้อนเนื้อธรรมดาผ่าออกก็ไม่มีอันตรายอะไร แต่ถ้าผ่าตัดก็ต้องเสียเงินเป็นแสนๆ หมอเลยแนะนำว่าจะส่งไปตรวจให้ละเอียดที่โรงพยาบาลที่ยายมีสิทธิ์บัตรทองอยู่ จะได้เซฟเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย ทางเราก็ทำเรื่องต่างๆ มาถึงโรงพยาบาลรัฐเดิมที่เคยมาตลอดๆ แต่เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐดำเนินการช้ามาก ต้องรอคิวตรวจเอ็กซ์เรย์ รอผลรายละเอียด รอหมอประชุมบ้าง โดนหมอเลื่อนนัดบ้าง รอนั้นรอนี่จนบางทีก็โมโห ถ้าคนป่วยหนักมากๆ ก็คงตายไปก่อนที่จะตรวจเสร็จเลยละมั้ง -*-
จนล่วงเลยมาช่วงปลายเดือนมกราคม 2560 จึงได้ไปฟังผลตรวจอย่างละเอียด หมอบอกว่ายายเป็นเนื้องอกในตับ แต่ไม่สามารถผ่าตัดให้ได้ เนื่องจากเนื้องอกนั้นอยู่ใกล้ตับและเส้นเลือดใหญ่มาก มีขนาดใหญ่ และยายอายุมากบวกกับยายผอมเกินไป น้ำหนักไม่อยู่ในเกณฑ์ หากยืนยันจะผ่าตัดจริงๆ ก็กลัวว่าจะน็อคยาจนถึงแก่ชีวิต และอีกวิธีคือการฉายรังสี ก็มีความเสี่ยงมาก กลัวว่าฉายไปฉายมาท่านจะทนไม่ไหวจนถึงแก่ชีวิตเช่นกัน แต่หมอไม่ได้พูดว่าเป็นมะเร็งแต่อย่างใดนะคะ หมอก็เลยแจ้งว่ายังไงก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมาพบหมอบ่อยๆ ตามนัด ทานข้าวให้มากๆ ทานยาตามที่หมอสั่งเท่านั้น แม่และดิฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยแจ้งหมอว่างั้นเอาตามนี้ก่อนก็แล้วกัน
หลังจากนั้นมาดิฉันและแม่ก็คอยดูแลยาย แต่สภาพจิตใจทั้งแม่และยายดิฉันไม่โอเคเลยค่ะ สังเกตดูแล้วยายแกก็ดูเครียดๆ อารมณ์เสียบ่อยครั้ง หงุดหงิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้าวปลาก็ทานได้น้อยเหมือนเดิม แม่ก็เครียดไปด้วย เพราะอยากให้ทานมีกำลังใจดีๆ พยายามหายาเจริญอาหารต่างๆ มาให้แกทาน แต่ก็ไม่เป็นผล พยายามหายาสลายเนื้องอกมาบ้างล่ะ จนทะเลาะกับพี่น้องคนอื่นๆ เพราะไม่แน่ใจว่ายาที่หาๆ มาจะรักษาได้จริงหรือไม่ หรือหากได้มาจะทำให้ยายเป้นมากกว่าเดิมหรือเปล่า แต่แม่ก็ไม่สน บอกแค่ว่าจะไม่ให้ยายนอนรอความตายหรอก อยากให้อยู่กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ แม่มีท่านอยู่แค่คนเดียว อยู่ด้วยกันกับท่านมาตลอด แม่ทำใจรอคอยความตายมาหาท่านไม่ได้จริงๆ พอพูดจบแม่ก็ร้องไห้ ดิฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่บอกว่าจะลองช่วยๆ ดูให้ และบอกแม่ว่าคราวหลังถ้าเป็นอะไรอย่ารอให้เป็นมากๆ แล้วค่อยไปหาหมอ อาจจะเป็นเพราะเราช้าและรอเวลาแบบนี้แหละ เรื่องมันถึงได้บานปลายจนแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องมาทุกข์ใจภายหลังแบบนี้
[สอบถาม] ตอนนี้ก็ได้แต่พายายไปหาหมอตามนัดตลอด พยายามซื้ออาหาร, ขนมหลายๆ อย่างมาให้ท่านทาน ถ้าหากท่านใดพอจะรู้จักยาสลายเนื้องอกก็ช่วยแจ้งด้วยนะคะ หากได้ผลสักเล็กสักน้อยบ้างก็ยังดี หรือจะเป็นพวกยาเจริญอาหารให้ผู้สูงอายุทานอาหารอร่อยๆ ขึ้นก็ได้นะคะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอให้เรื่องราวของดิฉันเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกท่านนะคะ ว่าหากมีใครเป็นอะไรขึ้นมา อย่ารอเวลารีบไปพบแพทย์เถอะค่ะ จะเป็นน้อยเป็นมากก็รักษาให้หายก่อน อย่าได้มีใครเจอปัญหาในวันที่สายไป และต้องทุกข์ใจเหมือนกับครอบครัวดิฉันเลยค่ะ
ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน แต่ดิฉันก็จะดูแลท่านอย่างดีต่อไปเรื่อยๆ อยู่กับท่านจนกว่าวันนั้นจะมาถึงค่ะ ดูแลคนที่คุณรักให้ดีนะคะ ก่อนที่จะไม่มีเค้าให้เราอยู่ดูแล...
ป.ล.ที่แท็กโรคมะเร็ง เพราะคิดว่าอาจจะคล้ายๆ กันกับเนื้องอก อาจจะมีแนวทางรักษาหรือบำรุงให้ดีขึ้นบ้างค่ะ
[สนทนา&สอบถาม] คุณยายเป็นเนื้องอก แต่หมอไม่ให้ผ่าตัด....
คุณยายของดิฉัน ปีนี้ท่านก็อายุ 86 ปีแล้ว คุณยายของดิฉันท่านเป็นคนแข็งแรงมาตลอด เนื่องจากที่บ้านต่างจังหวัดแต่ก่อนจะปลูกพืชผักสวนครัว เก็บมัดส่งขายตามตลาดใหญ่ๆ ในตัวเมือง ทุกๆ เช้ายายจะตื่นมาหุงข้าว เก็บกวาดบ้าน สายๆ หน่อยก็จะออกไปถางหญ้า กวาดใบไม้รอบๆ บ้าน แล้วก็เก็บผักรดนำผักตามประสาของท่าน พอเหนื่อยหน่อย ก็จะมานอนพัก หายเหนื่อยก็ออกไปทำงานต่อ พอหลังๆ มา อายุเริ่มมากขึ้น ท่านก็เหนื่อยง่ายขึ้น ดิฉันกับแม่เลยบอกท่านว่าไม่ต้องทำ ให้พักผ่อนเยอะๆ ท่านก็ทำงานน้อยลง นอนพักมากขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้หยุดซะทีเดียวนะคะ แต่ท่านก็ทำงานบ้าง กวาดบ้านถูบ้านบ้าง มีอะไรที่ไม่ค่อยหนักมากก็ทำไปตลอด ท่านเป็นคนแก่ที่ผอมมาก ท่านสูงไม่เกิน 162 cm. แต่ก่อนน้ำหนักจะอยู่ที่ 46 - 49 กิโล โดยประมาณนะคะ น้ำหนักจะไม่เคยเกิน 50 ขึ้นไปสักครั้ง ทานอาหารน้อยอย่างข้าวก็มื้อละ 1 - 2 ทัพพี อย่างมากก็ 3 ทัพพี
ช่วง 2 ปีที่แล้วที่ท่านจะนอนเยอะมาก เพราะท่านชอบเมาหัว วิงเวียน และเป็นลมบ่อยๆ และทานข้าวได้น้อยลงมาก อย่างมากสุดก็ข้าว 2 ทัพพี บ่นแต่ว่ามันไม่อร่อย หาซื้อยาเจริญอาหารมาก็ไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ ดิฉันพาท่านไปหาหมอบ้างเป็นบางครั้ง เพราะปกติท่านจะไม่ชอบให้พาไปหาหมอ ต้องเป็นหนักๆ แบบว่า "เฮ้ย...ไม่ไหวแล้ว" ท่านถึงจะยอมไปโรงพยาบาลสักทีนึง อาจจะเป็นเพราะโรงพยาบาลจะอยู่ไกลจากบ้านมาก ประมาณ 30 - 40 กิโล ประกอบด้วยที่บ้านไม่มีรถยนต์เลย มีแต่รถจักรยานยนต์ ท่านก็เลยไม่ค่อยอยากไป พอจะไปโรงพยาบาลที ก็จะขอให้ญาติๆ ข้างๆ บ้านพาไป ส่วนมากไปหาหมอเลยได้แต่พาไปคลีนิคเป็นส่วนใหญ่
จนมาช่วงเป็นที่แล้วเดือนมีนาคม 2559 ท่านบ่นว่าปวดท้องด้านขวา ก็พาท่านไปหาหมอ หมอก็แจ้งว่าท่านเป็นโรคกะเพาะ เพราะท่านไม่ค่อยทานอาหาร ให้ยามาทานแล้วก็กลับบ้าน แต่ก็ยังไม่ได้หายปวดท้องแต่อย่างใด บวกกับที่ท่านทานอาหารไม่ค่อยได้ ยิ่งทานน้อยลงกว่าเดิมมาก จนน้ำหนักตอนนี้อยู่แค่ 35 - 36 กิโล พอกินยาก็บอกว่าทุเลาลง ทางเราก็ไม่ได้เอะใจอะไรกันเป็นพิเศษ
จนมาประมาณเดือนกันยายน ยายก็ยังบ่นปวดท้องเหมือนเดิม ปวดแบบอ่อยๆ และท่านก็บอกว่าเหมือนมีก้อนแข็งๆ อยู่ใต้ซี่โครงด้านขวา ลงกดๆ ดูก็พบจริงๆ ก็พาไปโรงพยาบาล หมอก็ยังบอกว่าเป็นโรคกะเพาะ ขอให้เอ็กซ์เรย์ดูก็ไม่ทำให้ บอกคิวไม่ว่าง แล้วก็ให้ยามากิน เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเดือนธันวาคม ท่านก็เจ็บๆ มากขึ้น จนไม่สามารถนอนตะแคงข้างซ้ายได้เลย เพราะเหมือนก้อนนั้นไปทับหัวใจจนหายใจไม่ออก ทางเราเริ่มไม่โอเคแล้วก็เลยพากันไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลเอกชน หมอบอกว่าพบก้อนเนื้อในตับ ขนาดประมาณ 7 เซน วินาทีนั้นจุกมาก ช็อค ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็พยายามตั้งสติแล้วถามหมอว่ารักษาได้ไหม หมอบอกว่าต้องตรวจให้ละเอียด ถ้าเป็นก้อนเนื้อธรรมดาผ่าออกก็ไม่มีอันตรายอะไร แต่ถ้าผ่าตัดก็ต้องเสียเงินเป็นแสนๆ หมอเลยแนะนำว่าจะส่งไปตรวจให้ละเอียดที่โรงพยาบาลที่ยายมีสิทธิ์บัตรทองอยู่ จะได้เซฟเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย ทางเราก็ทำเรื่องต่างๆ มาถึงโรงพยาบาลรัฐเดิมที่เคยมาตลอดๆ แต่เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐดำเนินการช้ามาก ต้องรอคิวตรวจเอ็กซ์เรย์ รอผลรายละเอียด รอหมอประชุมบ้าง โดนหมอเลื่อนนัดบ้าง รอนั้นรอนี่จนบางทีก็โมโห ถ้าคนป่วยหนักมากๆ ก็คงตายไปก่อนที่จะตรวจเสร็จเลยละมั้ง -*-
จนล่วงเลยมาช่วงปลายเดือนมกราคม 2560 จึงได้ไปฟังผลตรวจอย่างละเอียด หมอบอกว่ายายเป็นเนื้องอกในตับ แต่ไม่สามารถผ่าตัดให้ได้ เนื่องจากเนื้องอกนั้นอยู่ใกล้ตับและเส้นเลือดใหญ่มาก มีขนาดใหญ่ และยายอายุมากบวกกับยายผอมเกินไป น้ำหนักไม่อยู่ในเกณฑ์ หากยืนยันจะผ่าตัดจริงๆ ก็กลัวว่าจะน็อคยาจนถึงแก่ชีวิต และอีกวิธีคือการฉายรังสี ก็มีความเสี่ยงมาก กลัวว่าฉายไปฉายมาท่านจะทนไม่ไหวจนถึงแก่ชีวิตเช่นกัน แต่หมอไม่ได้พูดว่าเป็นมะเร็งแต่อย่างใดนะคะ หมอก็เลยแจ้งว่ายังไงก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมาพบหมอบ่อยๆ ตามนัด ทานข้าวให้มากๆ ทานยาตามที่หมอสั่งเท่านั้น แม่และดิฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยแจ้งหมอว่างั้นเอาตามนี้ก่อนก็แล้วกัน
หลังจากนั้นมาดิฉันและแม่ก็คอยดูแลยาย แต่สภาพจิตใจทั้งแม่และยายดิฉันไม่โอเคเลยค่ะ สังเกตดูแล้วยายแกก็ดูเครียดๆ อารมณ์เสียบ่อยครั้ง หงุดหงิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้าวปลาก็ทานได้น้อยเหมือนเดิม แม่ก็เครียดไปด้วย เพราะอยากให้ทานมีกำลังใจดีๆ พยายามหายาเจริญอาหารต่างๆ มาให้แกทาน แต่ก็ไม่เป็นผล พยายามหายาสลายเนื้องอกมาบ้างล่ะ จนทะเลาะกับพี่น้องคนอื่นๆ เพราะไม่แน่ใจว่ายาที่หาๆ มาจะรักษาได้จริงหรือไม่ หรือหากได้มาจะทำให้ยายเป้นมากกว่าเดิมหรือเปล่า แต่แม่ก็ไม่สน บอกแค่ว่าจะไม่ให้ยายนอนรอความตายหรอก อยากให้อยู่กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ แม่มีท่านอยู่แค่คนเดียว อยู่ด้วยกันกับท่านมาตลอด แม่ทำใจรอคอยความตายมาหาท่านไม่ได้จริงๆ พอพูดจบแม่ก็ร้องไห้ ดิฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่บอกว่าจะลองช่วยๆ ดูให้ และบอกแม่ว่าคราวหลังถ้าเป็นอะไรอย่ารอให้เป็นมากๆ แล้วค่อยไปหาหมอ อาจจะเป็นเพราะเราช้าและรอเวลาแบบนี้แหละ เรื่องมันถึงได้บานปลายจนแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องมาทุกข์ใจภายหลังแบบนี้
[สอบถาม] ตอนนี้ก็ได้แต่พายายไปหาหมอตามนัดตลอด พยายามซื้ออาหาร, ขนมหลายๆ อย่างมาให้ท่านทาน ถ้าหากท่านใดพอจะรู้จักยาสลายเนื้องอกก็ช่วยแจ้งด้วยนะคะ หากได้ผลสักเล็กสักน้อยบ้างก็ยังดี หรือจะเป็นพวกยาเจริญอาหารให้ผู้สูงอายุทานอาหารอร่อยๆ ขึ้นก็ได้นะคะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอให้เรื่องราวของดิฉันเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกท่านนะคะ ว่าหากมีใครเป็นอะไรขึ้นมา อย่ารอเวลารีบไปพบแพทย์เถอะค่ะ จะเป็นน้อยเป็นมากก็รักษาให้หายก่อน อย่าได้มีใครเจอปัญหาในวันที่สายไป และต้องทุกข์ใจเหมือนกับครอบครัวดิฉันเลยค่ะ
ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน แต่ดิฉันก็จะดูแลท่านอย่างดีต่อไปเรื่อยๆ อยู่กับท่านจนกว่าวันนั้นจะมาถึงค่ะ ดูแลคนที่คุณรักให้ดีนะคะ ก่อนที่จะไม่มีเค้าให้เราอยู่ดูแล...
ป.ล.ที่แท็กโรคมะเร็ง เพราะคิดว่าอาจจะคล้ายๆ กันกับเนื้องอก อาจจะมีแนวทางรักษาหรือบำรุงให้ดีขึ้นบ้างค่ะ