ไปมาลาวีมา มีอะไรจะเล่าให้ฟัง ^^

หลังเรียนจบเป็นช่วงที่เราเคว้งคว้างที่สุด ไม่รู้จะไปทางไหนดี ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร จะไปหางานทำก็ยังไม่ใช่ จะเรียนต่อก็ยังไม่รู้ ในเมื่อยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เลือกแล้วเป็นช้อยส์เดียวคือ การเดินทาง ไปที่ไหนสักที่ ที่ใหม่ๆ ที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา ที่ที่เราไม่รู้จักอะไรเลย ไม่รู้เพราะเนลสัน เมนเดลลา หรือเพลง hakunamatata ใน Lion king ที่ทำให้เรานั่งเครื่องข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ... Malawi warm heart of Africa!!!

ถ้าพูดถึงทวีปแอฟริกา เชื่อว่าทุกคนก็รู้จักแค่บางประเทศอย่างแอฟริกาใต้ เจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2010 ประเทศเคนย่า บ้านของเหล่าสัตว์ป่าไลออนคิง หรือประเทศที่มีสงครามอย่างซูดาน ไนจีเรีย แต่ถ้าพูดถึงประเทศมาลาวี เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีประเทศนี้อยู่บนโลก ด้วยเหรอวะ??? เพราะชื่อคงไม่คุ้นหูหลายๆคน เราในฐานะคนที่ไปใช้ชีวิต คลุกคลีตีโมงกับคนที่นั่นถึง7 เดือนเต็มในฐานะอาสาสมัคร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปช่วยเค้า หรือให้เค้าช่วย อยู่นานจนไปมีครอบครัว มีบ้าน มีเพื่อนที่นั่น ขอมาป่าวประกาศให้โลกรู้หน่อย ว่าประเทศนี้มันมีดียังไง น่าดึงดูดแค่ไหนน กับประเทศที่ไม่มีสงคราม ก็จะให้ไปรบกับใครในเมื่อไม่มีทองให้ขุด ไม่มีเพชรให้แย่ง แต่มีความสุขสงบที่สุด จนได้ฉายาว่า warm heart of Africa !!!!


มาที่นี่มาทำอะไร????
บอกเลยว่าเรามาประเทศมาลาวีผ่านโครงการ Good News Corps ถ้าไปหาข้อมูลหลายๆคนอาจจะตกใจ แต่เราอยากให้มองเป็นการเปิดกว้างมากกว่าค่ะ อย่าไปมีอคติอะไรมากมาย  เรามาที่นี่ก็มาอยู่โบสถ์ ชีวิตก็สนุกสนานไปอีกแบบ งานหลักๆเลยของอาสาสมัครประเทศมาลาวีคือ การก่อสร้างค่ะ !!!! ก่อสร้างจริงๆ ได้อุปกรณ์คู่กายมาตั้งแต่วันแรก คือ ถุงมือ หมวก  และปลอกแขนสำหรับทำงานกลางแจ้ง เราอยู่ฝ่ายผลิตอิฐ ตั้งแต่ ขุดดิน ร่อนดิน เข้าเครื่องบีบ เอามาตาก ทำเป็นหมดค่ะ วันแรกๆเหนื่อยแทบเป็นลม หลังๆชักจะชิน เพราะทำงานหนัก อาบน้ำเย็นๆ กลางคืนนอนหลับสบายมาก

เพื่อนคนแรก นักขุดดินมือหนึ่ง


นอกจากก่อสร้างแล้วก็มีการจัดทำโครงการหลายๆอย่าง ทำงานร่วมกับชุมชน นักเรียน นักศึกษาของท้องถิ่นที่นั่น สนุกดีค่ะ ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะเลย คนที่นี่น่ารักนะ เป็นกันเองมาก และเค้ากล้าเข้ามาหาเรา และต้อนรับเราเป็นอย่างดี



ที่อาบน้ำจะอยู่ห่างที่พักไปสักหนึ่งกิโลได้ เดินเหมือนจะเหนื่อยๆ แต่ได้วิวพระอาทิตย์ตกดินเป็นของขวัญก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ ^^
ที่นี่น้ำสะอาดต้องโยกเอานะคะ เป็นน้ำบ่อโยก น้ำสะอาด เย็นฉ่ำ ชื่นใจ บางวันก็จะเจอสาวๆหมู่บ้านใกล้มาขนน้ำ เขาเอาน้ำใส่แทงค์ แล้กยกขึ้นหัว ทำเป็นกันตั้งแต่เด็กๆ เราลองยกถังเปล่าดู คอแทบหัก 5555

กินน้ำบ่อโศก โยกไปก็โยกมา

ใครแบกไหวบ้าง 555

สำหรับอาหารการกิน อาหารหลักของมาลาวีคือ Nsima คือ จะเป็นแป้งข้าวโพด นำไปบดจนละเอียดเป็นแป้ง จากนั้นจึงนำมาหุง ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะเคยไปทดลองงานมาแล้ว หอบ-จ้า เหนื่อยมากกก ต้องกวนแป้งหม้อใหญ่ เพราะที่โบสถ์เรามีสมาชิกสามสิบกว่าคน ต้มซิม่าทีนึง จึงเป็นงานช้าง ซิม่าที่นี่จะคล้ายกับ อูกาลี ที่เคนย่า จะแตกต่างกันที่วิธีหุง ที่นี่จะกินกันร้อนๆ แป้งนุ่มๆ แต่อูกาลี จะแข็งกว่า ซิม่าร้อนๆจะเสริฟพร้อมกับข้าวสองสามชนิด โดยมากจะเป็น ซุปถั่วดำต้ม รสชาติเค็มๆ และ ผัดกะหล่ำปลี บางวันก็เป็นซุปปลา เด็ดสุดคือ ซุปเนื้อ ซุปมันฝรั่ง แล้วแต่โอกาส ตอนแรกก็ไม่ชอบหรอก กินไปนานๆเดี๋ยวก็ลิ้นตาย เอ้ยไม่ใช่ อร่อยดีค่ะ กินเพื่ออยู่เนอะ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน ^^


อันนี้เป็นมันฝรั่งทอด กินกับผักสลัด แล้วก็เติมพริกเพื่อความแซบ 555

เราไม่ได้เป็นคนรักเด็กมากขนาดนางงาม คนไหนซนก็น่าเขกกะโหลกอยู่เหมือนกัน แต่ก็เรียกได้ว่าเจอเด็กที่ไหนต้องพุ่งเข้าใส่ เพราะเป็นคนชอบเล่นกับเด็ก หรือ ชอบแกล้งเด็กนั่นเอง ไม่รู้คนอื่นเป็นมั้ย แต่เราจะรู้สึกพิเศษมากกับรอยยิ้มของเด็กๆ โดยเฉพาะรอยยิ้มของเด็กแอฟริกา มันใส บริสุทธิ์ มันเป็นยิ้มที่หยุดโลกทั้งใบจริงๆ เราว่าเด็กมักจะมีอะไรให้แปลกใจ ให้คาดไม่ถึง และยิ้มได้อยู่เสมอ

พวกแสบ

สมุนเราเอง 5555

การเดินทาง ถนนที่นี่จำง่าย ไม่ซับซ้อน คนมีเงินที่นี่จะใช้รถยนต์กัน มอเตอร์ไซด์ไม่ค่อยมีให้เห็นหรอก มีบริการสารธารณะหลักๆเลย คือรถตู้ รถแท็กซี่ ซึ่งแย่กว่ารถเมล์สาย 8 ล้านเท่า สภาพรถนี่ต้องลุ้นว่าจะถึงที่หมายรึปล่าว ดีไม่ดีต้องลงมาช่วยคนขับเข็นรถเล่น รถตู้นี่เอาขึ้นได้ทุกอย่าง ตั้งแต่คน ยันไก่ แพะ ถ้ายัดเข้ารถได้ ไม่มีปัญหา 5555
ทางออกของคนจนอย่างเราก็เลยมาตกอยู่ที่การโบกรถ คนที่นี่จะเรียกการโบกรถว่า 'ฮิคชิ่ง'การโบกรถนี่ขึ้นอยู่กับดวงและมารยาของเราล้วนๆค่ะพี่น้อง โบกง่ายโบกยากก็แล้วแต่วัน บางวันโบกคันแรกก็จอดเลย บางวันเต้นก็แล้วโชว์ต้นขาก็แล้วรถยังไม่จอดเลย แต่ส่วนใหญ่คนที่นี่ก็จะใจดี รถเก๋ง รถตู้ รถสิบล้อ รถเบ๊น บีเอ็ม ยันรถสิบแปดล้อน้องนั่งมาหมดแล้วจ้าา

สิบล้อ ยานพาหนะคันโปรด โบกง่าย จอดบ่อยที่สุด
    
สมัยโบกแรกๆก็กลัวนะว่าจะถึงที่หมายรึปล่าว แต่ก็พออุ่นใจคือ เวลาไปไหนมาไหนจะจับคู่กันเดินทางตลอด ไม่แนะนำให้เดินทางคนเดียวค่ะ กะว่าถ้าโดนขาย ก็ต้องรวบไปทั้งกระจาด โบกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ดีเอง สิ่งที่มาพร้อมกับการโบกรถก็คือมิตรภาพที่มาจากคนขับนี่แหละ ทำให้ได้เจอคนหลากหลายอาชีพ หลากหลายที่มา คนบ้า คนเมา มาหมด ระทึกกันสุดๆไปเลย บางเคสก็ยังเป็นเพื่อน แลกเปลี่ยนเบอร์โทร ยันไปกินข้าวบ้านเค้าเรียบร้อย ฮ่าๆ คนมาลาวีนี่ตัดสินกันภายนอกไม่ได้จริงๆ ที่เห็นบ้าๆเมาๆ พอคุยกันจริงๆหลายคนมีหน้าที่การงานที่ดี การศึกษาดี ทำงานUN Unicef เป็นวิศวะ เรียนจบนอกก็มาก ทำเอาอึ้งกันก็หลายครั้ง

เพื่อนชาวเปอร์เซีย เจอกันตอนเราโบกรถข้ามจังหวัด ใจดีมากเลี้ยงข้าวเรากะเพื่อนด้วย

ต่อไปภูมิใจนำเสนอมากกก มาลาวีไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่มีทะเลสาบขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง ย้ำว่าใหญ่มากกกก คนที่นี้ได้ทะเลสาบแห่งนี้ เป็นพื้นที่ทำกิน และหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา เรามีโอกาสได้ไปเยือน lake Malawi ถึงสองครั้ง ชอบมาก คลายความคิดถึงทะเลไทยไปได้โข แต่ที่เด็ดคือ น้ำที่นี่เป็นน้ำจืดที่บริสุทธิ์มาก เป็นที่อยู่ของปลาหายากอย่างปลา African cichlid หรือ ปลาหมอสีแอฟริกัน เราได้ไปดำน้ำตื้น สัมผัสกับปลาพวกนี้ด้วย ตื่นตาตื่นใจมาก เพราะปลาหมอสีเยอะมากจริงๆ ไฮไลท์อีกอย่างก็การให้อาหารเหยี่ยวทะเล คนเรือที่นี่จะพาเราล่องเรือ พอใกล้ถึงรังของพวกเหยี่ยวเขาจะดับเครื่องยนต์ ผิวปาก แล้วโยนปลาไป เจ้าเหยี่ยวก็จะบินไปโฉบอย่างสวยงามค่ะ ใครมีโอกาสมาเที่ยวมาลาวี อยากให้มาสัมผัสทะเลสาบที่นี่นะคะ สวยไม่แพ้ที่อื่นเลย ^^

หาดสวยๆยามเย็น

คณะค้นหาสมบัติ

ปลาหมอสี เป็นร้อย เป็นพันตัว


แฟชั่นของคนที่นี่ ไม่เน้นคนผอมบางนะคะ เข้าทางเราเลย 555 คนที่ฮอตคือคนที่มีบั้นท้ายสวยๆ หน้าสวย ผิวเนียน สาวๆที่นี่จะไม่นุ่งสั้นกันค่ะ ใส่ขายาว หรือ กระโปรงยาวเอา จะเน้นไปที่ทรงผมมากว่า เรียกว่าไม่มีใครยอมใครเลย ยิ่งเป็นวันอาทิตย์ที่ทุกคนจะมารวมตัวกันที่โบสถ์ เสื้อผ้าของทุกคนจัดเต็มมาก ผู้ชายจะใส่สูท ผู้หญิงลากกระโปรงยาว เหรือเสื้อผ้าสีสันสดใสมากันเต็มโบสถ์ เหมือนดอกไม้บานเลย ^^

เสริมสวยกันอยู่ ^^

เราว่าคนแอฟฟริกา มีพรสวรรค์ทางด้านการเต้น และการร้องเพลงมากๆ  ด้วยน้ำเสียงที่มีพลัง การเต้นก็ดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง คนที่นี่ชอบการเต้นและการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ มาแรกๆเจอเพลงในโบสถ์แบบจัดเต็มของคนที่นี่ มีกลองชุด เปียโน แล้วจังหวะเพลงนี่มันมาก คิดว่าเพลงเรกเก้ เรานี่แทบลุกมาเต้น5555
แต่ที่ชอบมากๆเลยคือเพลงภาษาชิเชวา ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น ฟังแล้วชอบมาก ถึงจะไม่รู้ความหมาย แต่มันให้ความรู้สึกความสงบ และ รู้สึกมีความหวังอย่างบอกไม่ถูก ^^

นี่รุ่นเล็ก ฟอร์มทีมกันตั้งแต่ตัวน้อยๆ

ส่วนนี่รุ่นใหญ่

รุ่นนี้ใหญ่สุด วงประสานเสียงประจำโบสถ์

สุดท้ายแล้ว อยากบอกว่าเวลาเจ็ดเดือนในมาลาวี เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้รับความรัก และมิตรภาพดีๆจากทุกๆคนที่นั่น ผ่านทั้งช่วงเวลายากลำบาก และมีความสุข ความขาดแคลนทำให้เราช่วยเหลือกัน รักษากันและกัน ความอดอยากทำให้เราแบ่งปัน งานหนักทำให้เรานอนหลับ และธรรมชาติที่สวยงามคือของขวัญปลอบประโลมใจที่ดีที่สุด รักมาลาวี บ้านหลังที่สองของเรา ^^





แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่