***นิยายสั้นเรื่องนี้เขียนขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องหนึ่งจบลง หนังจบแต่ความรู้สึกคนดูยังไม่จบจึงขอเขียนให้จบตามใจตัวเอง มีข้อคิดเห็นหรือผิดพลาดประการใดช่วยแนะนำติชมด้วยนะคะ
ตอน 1
https://pantip.com/topic/36071440
ตอน 2
https://pantip.com/topic/36075417
ตอน 3
https://pantip.com/topic/36078091
ตอน 4
https://pantip.com/topic/36081338
นิยายสั้น รักอมตะ ตอนจบ
**แก้วกัญญา**
ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของบาร์ตก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องอีกคน ท่าทางเขาเครียดมาก เขามองดูชิ้นส่วนกระจัดกระจายบนพื้นห้อง มองดูผมที่ยังนั่งจังงังพูดไม่ออก แล้วปราดเข้ามาหาเจสซี่
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
มือใหญ่จับสองไหล่ของลูกสาวแล้วก้มลงมองสำรวจไปทั่วตัวเธอ เจสซี่ส่ายหน้า เธอคงตกใจมากเหมือนกันจึงไม่พูดไม่จา ได้ยินบาร์ตถอนหายใจยาว
“เราคงต้องรีบไปเสียแล้ว...เข้าไปเอาถุงใส่ขยะในห้องเรามา เอามาหลายๆใบนะ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย แล้วอย่าลืมสเปย์ ฉันจะจัดการทางนี้เสียก่อน”
บาร์ตบอกลูกสาวแล้วหันมาหาร่างแม่ที่นอนสลบเหมือดกองอยู่บนพื้นห้องใกล้ประตูทางเข้า เขาก้มลงช้อนร่างของท่านขึ้นก่อนพยักหน้าให้ผมลุกเดินตามเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ผมลุกเดินตามเขาไปอย่างงุนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วันนี้เป็นวันเกิดของผมและเรากำลังจะฉลองวันเกิดกัน จู่ๆมีใครก็ไม่รู้พรวดพราดเข้ามาทำร้ายแม่จนสลบ แล้วเจ้านั่นก็กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระเด็นกระดอนเกลื่อนเต็มห้องโถงที่พวกเรานั่งอยู่ ราวกับร่างมันโดนฉีกแยกร่างออกเป็นชิ้นๆด้วยสิ่งลึกลับที่ทรงพลัง ซึ่งผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ยังไง ยังดีที่บาร์ตเข้ามาทันเวลาพอดี และตอนนี้เขากำลังบรรจงวางร่างแม่ลงบนเตียงนอน พลิกดูใบหน้าและท้ายทอยก่อนเปิดเปลือกตาแม่ออกดู
“มีผ้าขนหนูผืนเล็กไหม”
เขาเหลียวมาถาม ผมนึกถึงผ้าขนหนูสำหรับใช้ซับเหงื่อเวลาเล่นออกกำลังกายที่แม่เก็บไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าแล้วจึงพยักหน้า
“เอามันชุบน้ำเย็นพอหมาดแล้วเอามาให้ฉันที” ผมทำตามคำบอกของบาร์ตราวหุ่นยนต์ ลังเลเล็กน้อยว่าควรโทรตามหมอหรือไม่ ผมกังวลว่าแม่อาจมีอันตราย บาร์ตรับผ้ามาเช็ดหน้าตาและลูบดูแถวศีรษะของแม่ ก่อนหันมาบอกผมว่า
“แม่นายไม่เป็นอะไรมากหรอก เจนแค่สลบไป เอาผ้านี่เช็ดหน้าตาให้เธอแล้วนายอยู่เป็นเพื่อนแม่สักครู่ ฉันจะออกไปเก็บกวาดข้างนอกให้เรียบร้อยเสียก่อนถึงจะกลับเข้ามาดูเจนอีกที นายเข้าใจใช่ไหมร้อบบี้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เหมือนบาร์ตจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขายัดผ้าขนหนูเปียกน้ำใส่มือผม บอกแล้วจ้องตาผมอย่างจะย้ำว่าเขาพูดความจริงและผมไม่ควรกังวลใจ ก่อนร่างสูงของเขาจะผละออกไปจากข้างในห้อง ทิ้งผมไว้ตามลำพังกับร่างที่ไร้สติของแม่ ผมนำผ้าขนหนูผืนเล็กนั่นไปชุบน้ำเย็นมาใหม่แล้วเช็ดหน้าให้แม่ตามที่บาร์ตบอก ได้ยินเสียงบาร์ตทำอะไรอยู่ข้างนอกห้องโถงกุกกัก มีเสียงคุยกันกับเจสซี่ลอดเข้ามาในห้องให้ได้ยินว่า
“เสร็จจากที่นี่ฉันจะขนมันไปทิ้ง ส่วนเธอรีบเก็บของเลยนะ เราจะไปจากที่นี่วันนี้”
“ต้องไปวันนี้เลยเหรอ”
“ใช่ เรามีพิรุธหลายอย่างมากเกินไปแล้ว ป่านนี้พวกมันที่เหลือคงรู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่ทำงานพลาด เร่งมือเข้าก่อนที่พวกมันจะแห่กันมา นอกจากเราแล้วสองแม่ลูกนี่ก็จะพลอยซวยไปด้วย”
ผมผละจากแม่เดินไปที่หน้าประตูห้องนอน ยืนมองไปยังห้องโถงก็เห็นบาร์ตหิ้วถุงขยะสองสามใบกำลังจะออกจากห้องพอดี ส่วนเจสซี่กำลังใช้กระป๋องสเปย์ฉีดสารบางอย่างซึ่งพอฉีดโดนหยดเลือดตามพรมและผ้าม่าน รอยเลือดก็จางหายไปได้อย่างน่าฉงน
“เดี๋ยวฉันจะกลับมาดูแม่เธอให้นะ ขอเวลาอีกครู่หนึ่งเท่านั้นแต่รับรองว่าแม่เธอจะไม่เป็นอะไร”บาร์ตหันมาบอกผมซ้ำ ก่อนเร่งรีบออกจากห้องไป
“ผู้ชายที่อยู่ในถุงนั่นเป็นใคร” ผมถามเจสซี่ถึงชายนิรนามซึ่งบัดนี้กลายเป็นชิ้นส่วนมนุษย์ในถุงขยะ สังเกตเห็นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และมีเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแล้วด้วย เจสซี่มักทำอะไรว่องไวรวดเร็วเสมอ
“พวกมันคือนักล่าแวมไพร์ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ เมื่อกี้ฉันเป็นคนจัดการมันเอง ร้อบบี้ ฉันต้องไปแล้ว ไปวันนี้เลย พวกมันหาเราเจอจนได้ คงเพราะข่าวของพวกลูอิสในทะเลสาบนั่น”
“เธอจะไปแล้วจริงๆเหรอ”
ผมใจหายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันมีความเจ็บปวดจี๊ดๆแฝงอยู่ด้วย ผมเริ่มเข้าใจเรื่องราว และรู้แล้วว่าทำไมเธอต้องไป เธอกับบาร์ตกำลังตกอยู่ในอันตรายและพวกเขาเป็นห่วงผมกับแม่ เจสซี่จัดการกับคราบเลือดสุดท้ายเสร็จพอดี เธอละจากงานที่ทำเดินเข้ามาหาผม เรามองตากันนิ่ง สุดท้ายแล้วเราก็โผเข้ากอดกันแน่น
“ลาก่อนนะร้อบบี้ ดูแลตัวให้ดี จำไว้ว่าอีกหน่อยฉันจะกลับมาหาเธออีกแน่นอน...กลับไปดูแม่เถอะ แม่เธอฟื้นแล้ว บอกว่าเห็นแม่ล้มลงไปเฉยๆ แล้วพ่อฉันมาพบเข้าเลยช่วยพาไปนอนที่เตียงนะ...อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด อย่าไว้ใจใคร พวกนักล่ามักปลอมตัวเป็นตำรวจแอบมาถามเธอเรื่องแวมไพร์ เธอต้องบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าพวกฉันไปไหนด้วย”
เจสซี่กระซิบสั่งลาก่อนผละออกจากการกอดกันกับผม เธอผลักไหล่ผมเบาๆให้หันกลับไปข้างในห้องนอน ซึ่งขณะนั้นเราได้ยินเสียงแม่ร้องครางขึ้นเบาๆ
ด้วยความเป็นห่วงแม่ ผมจึงรีบหันหลังเดินเข้าไปดูแม่ซึ่งกำลังยกมือขึ้นกุมศีรษะและพยายามจะชันตัวลุกขึ้นนั่ง ละล้าละลังหันไปมองเจสซี่อีกทีก็เห็นเพียงห้องว่างเปล่า เพื่อนรักของผมหายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย...และเธอหายไปจากชีวิตผมนับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา!
.................................................................
ยี่สิบปีต่อมา
หน้าห้องผู้โดยสารขาออกของสายการบินจากโรมาเนีย ผมยืนรออยู่หน้าประตู ตาจ้องเป๋งไปที่ผู้คนซึ่งกำลังทยอยเดินออกมา
ใช่แล้ว...ผมกำลังรอใครคนหนึ่ง คนที่สัญญากับผมว่าจะกลับมาหาผมวันนี้
มันเป็นความดีใจที่มากกว่าความดีใจธรรมดา มันตื้นตันเต็มเปี่ยมขึ้นมาจนล้นอกเมื่อได้รับโทรศัพท์สายเข้าลึกลับสายหนึ่งจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
“ร้อบบี้...” เสียงนั้นต่อให้นานกว่านี้อีกชาติหนึ่งผมก็จำได้ เจสซี่...
“นั่นเธอใช่ไหมเจส”
ผมละล่ำละลักถามคนในสายกลับไป ตั้งแต่วันที่เราจากกันไม่เคยมีเลยสักวันที่ผมจะลืมเลือนเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ยอมติดต่อมาเลยสักครั้งก็ตาม ซึ่งเมื่อตอนยังเด็กผมก็นึกน้อยใจที่เจสซี่เหมือนไม่แคร์ผม ไม่แม้แต่โทรศัพท์มาคุย แต่หลังจากมีคนแวะเวียนเข้ามาสอบถามหาเธอกับบาร์ตจากผมหลายคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย ซึ่งเป็นจริงอย่างที่เจสซี่บอก ผมก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาทีละน้อย กระทั่งแน่ใจว่าที่เธอหายไปแบบนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของผมกับแม่นั่นเอง ผมจึงปิดปากเงียบ แม่ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาตั้งแต่แรกทำให้คำปฏิเสธของเราสมจริงยิ่งขึ้น เพราะพอถูกถามบ่อยเข้าแม่ก็อารมณ์เสีย โวยวายเข้าใส่พวกนั้นหาว่าชอบถามอะไรงี่เง่า ใครจะไปใครจะมาไม่เกี่ยวกับเราแม่ลูกสักหน่อย แม่กับบาร์ตไม่ได้สนิทกัน ลูกชายของแม่ก็แค่เพื่อนเล่นกับลูกสาวของเพื่อนบ้าน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น จนในที่สุดพวกเขาก็เลิกตอแยเราไปเองเพราะคงเห็นว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนั้นจริงๆ
“ใช่ ฉันเอง ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรมาเนีย บาร์ตตายแล้ว เธอกับแม่เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันสบายดี ฉันซื้อบ้านอยู่ในอเมริกาทำงานในสถาบันวิจัยโลหิตวิทยาของเอกชน เกี่ยวกับกลุ่มโรคเลือดที่ไม่ใช่มะเร็ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ (Blood Disorder) เจสซี่ แม่ของฉันท่านก็ตายไปแล้วเหมือนกันเมื่อสองปีที่แล้วนี้เอง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ ร้อบบี้ เธอมารับฉันที่สนามบินหน่อยได้ไหมฉันจะกลับไปอยู่กับเธอ ตอนนี้ฉันอยู่ตัวคนเดียวที่นี่”
“เธอจะกลับมาหาฉันจริงเหรอเจส” ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอบอก
“อืม...จริงสิ ฉันไม่ผิดสัญญาหรอก ฉันมีอะไรจะบอกให้เธอรู้ บาร์ตคิดค้นสูตรอาหารทดแทนเลือดได้สำเร็จแล้วนะ แต่มันยังอยู่ในขั้นทดลอง ฉันจะนำมันมาให้เธอทดลองต่อโดยใช้ตัวฉันเป็นหนูทดลองเอง เธอมารับฉันตามนี้นะ....”
แล้วเจสซี่ก็บอกเวลาและสถานที่ซึ่งเราจะนัดพบกัน ทั้งหมดที่เธอบอกนำความตื่นเต้นยินดีมาให้กับผมเสียจนเนื้อเต้น ยินดีทั้งจะได้เจอเธอ ยินดีที่สุดก็คือต่อไปนี้เจสซี่จะไม่ต้องกินเลือดเป็นอาหารอีกแล้ว นั่นเป็นการติดต่อนัดแนะกันสั้นๆ ก่อนที่เธอจะบอกตัดการติดต่อ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสอดแนมของพวกนักล่าแวมไพร์นั่นเอง
และบัดนี้ที่หน้าประตูห้องผู้โดยสารร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เจสซี่ไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด แม่ตุ๊กตาบาร์บี้ของผมยังคงตัวผอมบางขาวซีด ปล่อยผมสีทองยาวสยาย แต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดแขนสั้น สวมกางเกงเอี๊ยมยีนส์น่ารัก ในมือหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาใบเดียว ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตของเธอเบิกกว้างออก ริมฝีปากแดงสดตัดกับใบหน้าขาวๆของเธอคลี่ยิ้มให้กับผม
เธอจำผมได้ทันทีทั้งที่ตอนนี้ผมมีอายุสามสิบสองปีแล้ว และมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไม่ใช่เด็กชายแก้มยุ้ยไว้ผมหน้าม้าคนนั้นอีกต่อไป ซึ่งมันคงเป็นเพราะความผูกพันต่อกันของเราที่มีอยู่อย่างลึกซึ้ง มันลึกซึ้งเสียจนผมไม่มีตาเหลือบแลผู้หญิงคนไหนอีกเลย ไม่ว่าเธอคนนั้นจะสวยหรือดีกับผมเพียงใดก็ตาม ผมจำกัดพวกเธอเอาไว้แค่คนรู้จักหรือเป็นเพียงเพื่อน
คนทั่วไปต่างรู้จักผมในฐานะด็อกเตอร์หนุ่มโสดผู้รักสันโดษใน Hematology Center แห่งนี้เท่านั้น ที่วันๆเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดและไขกระดูกอย่างหนัก ผมศึกษาเรื่องนี้เพราะหวังไว้ว่าสักวันอาจได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์กับเจสซี่ ผมอยากทำให้ได้ตามสัญญาใจของเราสองคน และบัดนี้แม่เพื่อนรักกับหวานใจคนเดียวตลอดกาลของผมได้มายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“สวัสดีจ้ะร้อบบี้”
“สวัสดีเจส ฉันคิดถึงเธอ”
ผมเดินเข้าไปหาเธอ อ้าอ้อมแขนออกรับร่างน้อยที่โผเข้ามาหา เจสซี่ซุกหน้าอยู่กับอ้อมอกของผม เราสองคนโอบกอดกันแนบแน่น วินาทีนี้ผมรู้แล้วว่าชีวิตของผมเกิดมาเพื่ออะไร ผมมีชีวิตอยู่เพื่อจะปกป้องคุ้มครองเธอเท่านั้น ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“เธอเอาสมุดเล่มนั้นมาด้วยไหม” หลังเราผละห่างจากกันผมก็ถามถึงสิ่งสำคัญ ซึ่งมันจะทำให้คนที่ผมรักหายจากการเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือด
“เอามาสิ รวมทั้งแผ่นดิสก์ด้วย บาร์ตบันทึกมันทั้งสองอย่าง”
“ดีจัง ถ้างั้นเราจะเริ่มทดลองกันเลย”
ผมพาเธอมาที่รถเก๋งของผมซึ่งติดฟิล์มดำมืด และเมื่อขึ้นนั่งด้วยกันในรถเรียบร้อยแล้วผมก็หันมายิ้มให้แม่หวานใจของผม ถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ท่าทางเธอจะไม่สบายนะเจส ผิวเธอซีดลงมาก นี่คงเพราะไม่ได้กินเลือดมานานล่ะสิ เธอหิวมากไหมเจสซี่”
แทนคำตอบ แวมไพร์สาวน้อยพยักหน้าอย่างเซื่องซึม ผมถลกพับแขนเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่สวมอยู่ขึ้นถึงข้อศอกแล้วยื่นข้อมือมาตรงหน้าเจสซี่
“อาหารของเธออยู่นี่แล้ว เชิญเธอกินให้เต็มอิ่มเลยนะเจสซี่ หลังจากนั้นฉันจะรอเธออีกแปดปีของอายุแวมไพร์กับอีกสี่ร้อยปีของอายุมนุษย์ ถึงตอนนั้นสำหรับแวมไพร์อย่างเราเธอก็จะอายุสิบแปดปี ส่วนฉันจะมีอายุสี่สิบปี แล้วฉันจะขอเธอแต่งงาน”
.............................................................
รถเก๋งติดฟิล์มกรองแสงสีดำมืดสนิทเคลื่อนตัวออกไปแล้ว รถเก๋งอีกคันซึ่งซุ่มรอทีอยู่เคลื่อนตัวออกตาม ชายคนที่นั่งข้างคนขับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูดกับคนปลายสาย
“เรากำลังสะกดรอยตามพวกมันไป หากมีอะไรคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีครับนายท่าน”
จบบริบูรณ์
ขอบคุณท่านที่อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
คุณGTW คุณเป่าซาง คุณลายลิขิต และนักอ่านเงาทุกท่าน
มีคำแนะนำติชมขอช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ
เหลืออีกแค่ตอนเดียวแก้วเลยฮึดเขียนวางให้จบค่ะ ต่อไปจะได้วางเรื่องสั้นที่ตัวเองถนัดที่สุดแทน
สำหรับนิยายคงอีกสักพัก ยังไม่มั่นใจในฝีมือพอเลยค่ะ
*แก้วค่ะ*
นิยายสั้น รักอมตะ ตอนจบ
ตอน 1 https://pantip.com/topic/36071440
ตอน 2 https://pantip.com/topic/36075417
ตอน 3 https://pantip.com/topic/36078091
ตอน 4 https://pantip.com/topic/36081338
นิยายสั้น รักอมตะ ตอนจบ
**แก้วกัญญา**
ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของบาร์ตก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องอีกคน ท่าทางเขาเครียดมาก เขามองดูชิ้นส่วนกระจัดกระจายบนพื้นห้อง มองดูผมที่ยังนั่งจังงังพูดไม่ออก แล้วปราดเข้ามาหาเจสซี่
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
มือใหญ่จับสองไหล่ของลูกสาวแล้วก้มลงมองสำรวจไปทั่วตัวเธอ เจสซี่ส่ายหน้า เธอคงตกใจมากเหมือนกันจึงไม่พูดไม่จา ได้ยินบาร์ตถอนหายใจยาว
“เราคงต้องรีบไปเสียแล้ว...เข้าไปเอาถุงใส่ขยะในห้องเรามา เอามาหลายๆใบนะ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย แล้วอย่าลืมสเปย์ ฉันจะจัดการทางนี้เสียก่อน”
บาร์ตบอกลูกสาวแล้วหันมาหาร่างแม่ที่นอนสลบเหมือดกองอยู่บนพื้นห้องใกล้ประตูทางเข้า เขาก้มลงช้อนร่างของท่านขึ้นก่อนพยักหน้าให้ผมลุกเดินตามเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ผมลุกเดินตามเขาไปอย่างงุนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วันนี้เป็นวันเกิดของผมและเรากำลังจะฉลองวันเกิดกัน จู่ๆมีใครก็ไม่รู้พรวดพราดเข้ามาทำร้ายแม่จนสลบ แล้วเจ้านั่นก็กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระเด็นกระดอนเกลื่อนเต็มห้องโถงที่พวกเรานั่งอยู่ ราวกับร่างมันโดนฉีกแยกร่างออกเป็นชิ้นๆด้วยสิ่งลึกลับที่ทรงพลัง ซึ่งผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ยังไง ยังดีที่บาร์ตเข้ามาทันเวลาพอดี และตอนนี้เขากำลังบรรจงวางร่างแม่ลงบนเตียงนอน พลิกดูใบหน้าและท้ายทอยก่อนเปิดเปลือกตาแม่ออกดู
“มีผ้าขนหนูผืนเล็กไหม”
เขาเหลียวมาถาม ผมนึกถึงผ้าขนหนูสำหรับใช้ซับเหงื่อเวลาเล่นออกกำลังกายที่แม่เก็บไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าแล้วจึงพยักหน้า
“เอามันชุบน้ำเย็นพอหมาดแล้วเอามาให้ฉันที” ผมทำตามคำบอกของบาร์ตราวหุ่นยนต์ ลังเลเล็กน้อยว่าควรโทรตามหมอหรือไม่ ผมกังวลว่าแม่อาจมีอันตราย บาร์ตรับผ้ามาเช็ดหน้าตาและลูบดูแถวศีรษะของแม่ ก่อนหันมาบอกผมว่า
“แม่นายไม่เป็นอะไรมากหรอก เจนแค่สลบไป เอาผ้านี่เช็ดหน้าตาให้เธอแล้วนายอยู่เป็นเพื่อนแม่สักครู่ ฉันจะออกไปเก็บกวาดข้างนอกให้เรียบร้อยเสียก่อนถึงจะกลับเข้ามาดูเจนอีกที นายเข้าใจใช่ไหมร้อบบี้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เหมือนบาร์ตจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขายัดผ้าขนหนูเปียกน้ำใส่มือผม บอกแล้วจ้องตาผมอย่างจะย้ำว่าเขาพูดความจริงและผมไม่ควรกังวลใจ ก่อนร่างสูงของเขาจะผละออกไปจากข้างในห้อง ทิ้งผมไว้ตามลำพังกับร่างที่ไร้สติของแม่ ผมนำผ้าขนหนูผืนเล็กนั่นไปชุบน้ำเย็นมาใหม่แล้วเช็ดหน้าให้แม่ตามที่บาร์ตบอก ได้ยินเสียงบาร์ตทำอะไรอยู่ข้างนอกห้องโถงกุกกัก มีเสียงคุยกันกับเจสซี่ลอดเข้ามาในห้องให้ได้ยินว่า
“เสร็จจากที่นี่ฉันจะขนมันไปทิ้ง ส่วนเธอรีบเก็บของเลยนะ เราจะไปจากที่นี่วันนี้”
“ต้องไปวันนี้เลยเหรอ”
“ใช่ เรามีพิรุธหลายอย่างมากเกินไปแล้ว ป่านนี้พวกมันที่เหลือคงรู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่ทำงานพลาด เร่งมือเข้าก่อนที่พวกมันจะแห่กันมา นอกจากเราแล้วสองแม่ลูกนี่ก็จะพลอยซวยไปด้วย”
ผมผละจากแม่เดินไปที่หน้าประตูห้องนอน ยืนมองไปยังห้องโถงก็เห็นบาร์ตหิ้วถุงขยะสองสามใบกำลังจะออกจากห้องพอดี ส่วนเจสซี่กำลังใช้กระป๋องสเปย์ฉีดสารบางอย่างซึ่งพอฉีดโดนหยดเลือดตามพรมและผ้าม่าน รอยเลือดก็จางหายไปได้อย่างน่าฉงน
“เดี๋ยวฉันจะกลับมาดูแม่เธอให้นะ ขอเวลาอีกครู่หนึ่งเท่านั้นแต่รับรองว่าแม่เธอจะไม่เป็นอะไร”บาร์ตหันมาบอกผมซ้ำ ก่อนเร่งรีบออกจากห้องไป
“ผู้ชายที่อยู่ในถุงนั่นเป็นใคร” ผมถามเจสซี่ถึงชายนิรนามซึ่งบัดนี้กลายเป็นชิ้นส่วนมนุษย์ในถุงขยะ สังเกตเห็นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และมีเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแล้วด้วย เจสซี่มักทำอะไรว่องไวรวดเร็วเสมอ
“พวกมันคือนักล่าแวมไพร์ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ เมื่อกี้ฉันเป็นคนจัดการมันเอง ร้อบบี้ ฉันต้องไปแล้ว ไปวันนี้เลย พวกมันหาเราเจอจนได้ คงเพราะข่าวของพวกลูอิสในทะเลสาบนั่น”
“เธอจะไปแล้วจริงๆเหรอ”
ผมใจหายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันมีความเจ็บปวดจี๊ดๆแฝงอยู่ด้วย ผมเริ่มเข้าใจเรื่องราว และรู้แล้วว่าทำไมเธอต้องไป เธอกับบาร์ตกำลังตกอยู่ในอันตรายและพวกเขาเป็นห่วงผมกับแม่ เจสซี่จัดการกับคราบเลือดสุดท้ายเสร็จพอดี เธอละจากงานที่ทำเดินเข้ามาหาผม เรามองตากันนิ่ง สุดท้ายแล้วเราก็โผเข้ากอดกันแน่น
“ลาก่อนนะร้อบบี้ ดูแลตัวให้ดี จำไว้ว่าอีกหน่อยฉันจะกลับมาหาเธออีกแน่นอน...กลับไปดูแม่เถอะ แม่เธอฟื้นแล้ว บอกว่าเห็นแม่ล้มลงไปเฉยๆ แล้วพ่อฉันมาพบเข้าเลยช่วยพาไปนอนที่เตียงนะ...อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด อย่าไว้ใจใคร พวกนักล่ามักปลอมตัวเป็นตำรวจแอบมาถามเธอเรื่องแวมไพร์ เธอต้องบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าพวกฉันไปไหนด้วย”
เจสซี่กระซิบสั่งลาก่อนผละออกจากการกอดกันกับผม เธอผลักไหล่ผมเบาๆให้หันกลับไปข้างในห้องนอน ซึ่งขณะนั้นเราได้ยินเสียงแม่ร้องครางขึ้นเบาๆ
ด้วยความเป็นห่วงแม่ ผมจึงรีบหันหลังเดินเข้าไปดูแม่ซึ่งกำลังยกมือขึ้นกุมศีรษะและพยายามจะชันตัวลุกขึ้นนั่ง ละล้าละลังหันไปมองเจสซี่อีกทีก็เห็นเพียงห้องว่างเปล่า เพื่อนรักของผมหายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย...และเธอหายไปจากชีวิตผมนับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา!
ยี่สิบปีต่อมา
หน้าห้องผู้โดยสารขาออกของสายการบินจากโรมาเนีย ผมยืนรออยู่หน้าประตู ตาจ้องเป๋งไปที่ผู้คนซึ่งกำลังทยอยเดินออกมา
ใช่แล้ว...ผมกำลังรอใครคนหนึ่ง คนที่สัญญากับผมว่าจะกลับมาหาผมวันนี้
มันเป็นความดีใจที่มากกว่าความดีใจธรรมดา มันตื้นตันเต็มเปี่ยมขึ้นมาจนล้นอกเมื่อได้รับโทรศัพท์สายเข้าลึกลับสายหนึ่งจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
“ร้อบบี้...” เสียงนั้นต่อให้นานกว่านี้อีกชาติหนึ่งผมก็จำได้ เจสซี่...
“นั่นเธอใช่ไหมเจส”
ผมละล่ำละลักถามคนในสายกลับไป ตั้งแต่วันที่เราจากกันไม่เคยมีเลยสักวันที่ผมจะลืมเลือนเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ยอมติดต่อมาเลยสักครั้งก็ตาม ซึ่งเมื่อตอนยังเด็กผมก็นึกน้อยใจที่เจสซี่เหมือนไม่แคร์ผม ไม่แม้แต่โทรศัพท์มาคุย แต่หลังจากมีคนแวะเวียนเข้ามาสอบถามหาเธอกับบาร์ตจากผมหลายคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย ซึ่งเป็นจริงอย่างที่เจสซี่บอก ผมก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาทีละน้อย กระทั่งแน่ใจว่าที่เธอหายไปแบบนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของผมกับแม่นั่นเอง ผมจึงปิดปากเงียบ แม่ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาตั้งแต่แรกทำให้คำปฏิเสธของเราสมจริงยิ่งขึ้น เพราะพอถูกถามบ่อยเข้าแม่ก็อารมณ์เสีย โวยวายเข้าใส่พวกนั้นหาว่าชอบถามอะไรงี่เง่า ใครจะไปใครจะมาไม่เกี่ยวกับเราแม่ลูกสักหน่อย แม่กับบาร์ตไม่ได้สนิทกัน ลูกชายของแม่ก็แค่เพื่อนเล่นกับลูกสาวของเพื่อนบ้าน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น จนในที่สุดพวกเขาก็เลิกตอแยเราไปเองเพราะคงเห็นว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนั้นจริงๆ
“ใช่ ฉันเอง ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรมาเนีย บาร์ตตายแล้ว เธอกับแม่เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันสบายดี ฉันซื้อบ้านอยู่ในอเมริกาทำงานในสถาบันวิจัยโลหิตวิทยาของเอกชน เกี่ยวกับกลุ่มโรคเลือดที่ไม่ใช่มะเร็ง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เจสซี่ แม่ของฉันท่านก็ตายไปแล้วเหมือนกันเมื่อสองปีที่แล้วนี้เอง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ ร้อบบี้ เธอมารับฉันที่สนามบินหน่อยได้ไหมฉันจะกลับไปอยู่กับเธอ ตอนนี้ฉันอยู่ตัวคนเดียวที่นี่”
“เธอจะกลับมาหาฉันจริงเหรอเจส” ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอบอก
“อืม...จริงสิ ฉันไม่ผิดสัญญาหรอก ฉันมีอะไรจะบอกให้เธอรู้ บาร์ตคิดค้นสูตรอาหารทดแทนเลือดได้สำเร็จแล้วนะ แต่มันยังอยู่ในขั้นทดลอง ฉันจะนำมันมาให้เธอทดลองต่อโดยใช้ตัวฉันเป็นหนูทดลองเอง เธอมารับฉันตามนี้นะ....”
แล้วเจสซี่ก็บอกเวลาและสถานที่ซึ่งเราจะนัดพบกัน ทั้งหมดที่เธอบอกนำความตื่นเต้นยินดีมาให้กับผมเสียจนเนื้อเต้น ยินดีทั้งจะได้เจอเธอ ยินดีที่สุดก็คือต่อไปนี้เจสซี่จะไม่ต้องกินเลือดเป็นอาหารอีกแล้ว นั่นเป็นการติดต่อนัดแนะกันสั้นๆ ก่อนที่เธอจะบอกตัดการติดต่อ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสอดแนมของพวกนักล่าแวมไพร์นั่นเอง
และบัดนี้ที่หน้าประตูห้องผู้โดยสารร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เจสซี่ไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด แม่ตุ๊กตาบาร์บี้ของผมยังคงตัวผอมบางขาวซีด ปล่อยผมสีทองยาวสยาย แต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดแขนสั้น สวมกางเกงเอี๊ยมยีนส์น่ารัก ในมือหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาใบเดียว ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตของเธอเบิกกว้างออก ริมฝีปากแดงสดตัดกับใบหน้าขาวๆของเธอคลี่ยิ้มให้กับผม
เธอจำผมได้ทันทีทั้งที่ตอนนี้ผมมีอายุสามสิบสองปีแล้ว และมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไม่ใช่เด็กชายแก้มยุ้ยไว้ผมหน้าม้าคนนั้นอีกต่อไป ซึ่งมันคงเป็นเพราะความผูกพันต่อกันของเราที่มีอยู่อย่างลึกซึ้ง มันลึกซึ้งเสียจนผมไม่มีตาเหลือบแลผู้หญิงคนไหนอีกเลย ไม่ว่าเธอคนนั้นจะสวยหรือดีกับผมเพียงใดก็ตาม ผมจำกัดพวกเธอเอาไว้แค่คนรู้จักหรือเป็นเพียงเพื่อน
คนทั่วไปต่างรู้จักผมในฐานะด็อกเตอร์หนุ่มโสดผู้รักสันโดษใน Hematology Center แห่งนี้เท่านั้น ที่วันๆเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดและไขกระดูกอย่างหนัก ผมศึกษาเรื่องนี้เพราะหวังไว้ว่าสักวันอาจได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์กับเจสซี่ ผมอยากทำให้ได้ตามสัญญาใจของเราสองคน และบัดนี้แม่เพื่อนรักกับหวานใจคนเดียวตลอดกาลของผมได้มายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“สวัสดีจ้ะร้อบบี้”
“สวัสดีเจส ฉันคิดถึงเธอ”
ผมเดินเข้าไปหาเธอ อ้าอ้อมแขนออกรับร่างน้อยที่โผเข้ามาหา เจสซี่ซุกหน้าอยู่กับอ้อมอกของผม เราสองคนโอบกอดกันแนบแน่น วินาทีนี้ผมรู้แล้วว่าชีวิตของผมเกิดมาเพื่ออะไร ผมมีชีวิตอยู่เพื่อจะปกป้องคุ้มครองเธอเท่านั้น ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“เธอเอาสมุดเล่มนั้นมาด้วยไหม” หลังเราผละห่างจากกันผมก็ถามถึงสิ่งสำคัญ ซึ่งมันจะทำให้คนที่ผมรักหายจากการเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือด
“เอามาสิ รวมทั้งแผ่นดิสก์ด้วย บาร์ตบันทึกมันทั้งสองอย่าง”
“ดีจัง ถ้างั้นเราจะเริ่มทดลองกันเลย”
ผมพาเธอมาที่รถเก๋งของผมซึ่งติดฟิล์มดำมืด และเมื่อขึ้นนั่งด้วยกันในรถเรียบร้อยแล้วผมก็หันมายิ้มให้แม่หวานใจของผม ถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ท่าทางเธอจะไม่สบายนะเจส ผิวเธอซีดลงมาก นี่คงเพราะไม่ได้กินเลือดมานานล่ะสิ เธอหิวมากไหมเจสซี่”
แทนคำตอบ แวมไพร์สาวน้อยพยักหน้าอย่างเซื่องซึม ผมถลกพับแขนเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่สวมอยู่ขึ้นถึงข้อศอกแล้วยื่นข้อมือมาตรงหน้าเจสซี่
“อาหารของเธออยู่นี่แล้ว เชิญเธอกินให้เต็มอิ่มเลยนะเจสซี่ หลังจากนั้นฉันจะรอเธออีกแปดปีของอายุแวมไพร์กับอีกสี่ร้อยปีของอายุมนุษย์ ถึงตอนนั้นสำหรับแวมไพร์อย่างเราเธอก็จะอายุสิบแปดปี ส่วนฉันจะมีอายุสี่สิบปี แล้วฉันจะขอเธอแต่งงาน”
รถเก๋งติดฟิล์มกรองแสงสีดำมืดสนิทเคลื่อนตัวออกไปแล้ว รถเก๋งอีกคันซึ่งซุ่มรอทีอยู่เคลื่อนตัวออกตาม ชายคนที่นั่งข้างคนขับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูดกับคนปลายสาย
“เรากำลังสะกดรอยตามพวกมันไป หากมีอะไรคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีครับนายท่าน”
ขอบคุณท่านที่อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
คุณGTW คุณเป่าซาง คุณลายลิขิต และนักอ่านเงาทุกท่าน
มีคำแนะนำติชมขอช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ
เหลืออีกแค่ตอนเดียวแก้วเลยฮึดเขียนวางให้จบค่ะ ต่อไปจะได้วางเรื่องสั้นที่ตัวเองถนัดที่สุดแทน
สำหรับนิยายคงอีกสักพัก ยังไม่มั่นใจในฝีมือพอเลยค่ะ
*แก้วค่ะ*