***นิยายสั้นเรื่องนี้เขียนขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องหนึ่งจบลง หนังจบแต่ความรู้สึกคนดูยังไม่จบจึงขอเขียนให้จบตามใจตัวเอง มีข้อคิดเห็นหรือผิดพลาดประการใดช่วยแนะนำติชมด้วยนะคะ
ตอน 1
https://pantip.com/topic/36071440
นิยายสั้น รักอมตะ ตอน 2
**แก้วกัญญา**
หลังจากวันที่มีเรื่องกันวันสุดท้ายนั้นแล้ว ลูอิสกับลูกสมุนก็ไม่มาตอแยผมอีก เพราะพอพวกมันมองมากะอยากหาเรื่องผมทีไร ก็จะเจอดวงตาโตวาวของเจสซี่มองเขม็งกลับ แบบพร้อมจะตอบโต้ทุกครั้ง พวกนั้นคงแหยงเธอก็เลยหันไปแกล้งคนอื่นแทน ผมดีใจมากที่ชิวิตในโรงเรียนของผมสงบสุขเหมือนคนอื่นเสียที นึกขอบคุณนางฟ้าตุ๊กตาบาร์บี้ของผมที่ราวกับสวรรค์ส่งเธอลงมาเพื่อให้ช่วยเหลือผม เธอช่วยผมหลายอย่างทีเดียว ทั้งช่วยเป็นเพื่อนเล่น สอนผมชกมวย สอนวิชาที่ผมอ่อนมากอย่างวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์ กับสอนให้พูดฝรั่งเศสและภาษาจีน เจสซี่พูดได้ตั้งหลายภาษา ผมไม่ทราบว่าทำไมเธอถึงหัวดีสมองไวแบบนั้น แต่คงเป็นเพราะพ่อเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ พ่อเธอเก่งจึงทำให้เธอเก่งเหมือนพ่อ
เจสซี่เคยเอาสมุดปกแข็งหุ้มกำมะหยี่สีแดงเข้มอย่างดีเล่มใหญ่ ที่ในนั้นบันทึกสูตรอะไรสักอย่างที่มีแต่ตัวเลขและสัญลักษณ์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดทั้งเล่มของพ่อเธอให้ผมดู เธอเล่าว่ามันเป็นบันทึกที่ถูกส่งต่อกันมานานจากรุ่นปู่รุ่นทวดของเธออีกทีหนึ่ง ซึ่งท่านเหล่านั้นก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น และช่วยกันคิดค้นสูตรตัวยาที่ทำให้แวมไพร์โดนแสงแดดได้ เธอเล่าอวดว่าพวกเขาสามารถทำสำเร็จแล้วด้วย ซึ่งพอผมถามว่ารู้ได้ยังไง เจสซี่ก็ยิ้มๆ แต่ไม่ยอมตอบคำถาม
เธอบอกอีกว่ายังเหลือสูตรสำคัญที่สุดคือสูตรอาหารทดแทนเลือดสดๆที่แวมไพร์จำเป็นต้องกิน เพื่อให้ผีดูดเลือดดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องกินเลือดคนหรือสัตว์ ที่หากทำสำเร็จ มันก็จะทำให้แวมไพร์สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์บนโลกนี้ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป แต่พ่อของเธอยังคิดค้นไม่สำเร็จ
เจสซี่ยืนยันว่าแวมไพร์มีจริงซึ่งผมไม่เชื่อและนึกประหลาดใจที่ทำไมบรรพบุรุษของเธอจึงงมงายเชื่อในเรื่องเล่าเหล่านี้ ที่แม้แต่เด็กอย่างผมก็ยังรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ถึงขนาดลงมือค้นคว้าสูตรยาต่าง ๆ และงุนงงว่าพวกเขาคิดค้นสิ่งเหล่านี้เพื่อใคร แต่ก็ไม่แน่ พวกนักวิทยาศาสตร์มักสติเฟื่องชอบคิดอะไรแปลกๆอยู่เสมอ แม่เคยบ่นเพื่อนของแม่ให้ผมฟังบ่อยๆ
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมเริ่มคล้อยตามว่าสิ่งที่เธอเล่ามาอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ เรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นในต้นฤดูหนาวที่น้ำกำลังจะเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง
"วันนี้เราจะได้เห็นดีกัน"
เจ้าอ้วนลูอิสที่หายซ่าไปนานจนผมเกือบลืมว่าเคยกลัวพวกมันไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็ย้อนกลับมาหาเรื่องพวกเราอีกจนได้ วันนั้นผมกับเจสซี่ปั่นจักรยานไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบในวันหยุดของพวกเรา ทะเลสาบที่ว่าอยู่ค่อนข้างไกลและห่างจากบ้านผู้คน ผมกับเจสซี่ชอบมาว่ายน้ำเล่นที่นี่บ่อยๆ เราเลือกจุดที่ไม่มีคนมากวนใจและสร้างเพิงเล็กๆเป็นฐานลับของเราสองคน ซึ่งก่อนที่น้ำทั้งทะเลสาบจะแข็งตัวจนลงเล่นไม่ได้อีก ผมจึงชวนเจสซี่มาเล่นน้ำทิ้งทวน เธอว่ายน้ำเก่งอีกแล้วแถมยังดำน้ำอึดอีกด้วย
แต่วันนี้พอมาถึงเพิง พวกเรายังไม่ทันได้ลงน้ำกันเลยก็เจอเข้ากับลูอิสกับลูกสมุนทั้งสอง ซึ่งถ้ามีแค่พวกมันผมคงไม่กลัวอีกแล้วเพราะตอนนี้ผมชกมวยเป็น จับคนทุ่มแบบยูโดก็เป็น เจสซี่ชมเปาะว่าฝีมือผมไม่เลว ที่ผมชักปอดก็คือเจ้าอ้วนมันพาเด็กไฮสคูลที่ชื่อโทมัสพี่ชายของมันมาด้วย เจ้าหมอนี่ตัวโตใกล้จะเป็นหนุ่ม หน้าตาขี้โกงอย่างกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ มันมองผมกับเจสซี่เหมือนเห็นกระต่ายน้อยที่อยากจะเข้ามาขย้ำกินเป็นอาหาร
"ได้ข่าวว่าแกสองคนเก่งนักเหรอ" มันเริ่มต้นสำรอกคำพูดชั่วร้ายออกมา
"ฉันอยากรู้ว่าพวกนายจะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว ถึงกล้ามารังแกน้องชายฉัน"
รังแกงั้นเหรอ...มันพูดหน้าด้านๆ น้องชายมันต่างหากที่ทำตัวเป็นอันธพาลเที่ยวรังแกคนอื่นไปทั่วจนเด็กทั้งห้องเอือมระอา และตอนนี้พวกมันสองคนพี่น้องก็กำลังหาเรื่องรังแกผมกับเจสซี่อีกแล้ว
"ฉันไม่ได้ทำอะไรน้องแกสักหน่อย" ผมเถียง ทั้งๆที่รู้ว่าป่วยการ เพราะพวกมันจงใจมาหาเรื่องอยู่แล้ว
"แกไม่ได้ทำ งั้นนังนี่ทำสินะ" นั่นยังไงล่ะถูกเผงเลย นี่คือหมาป่ากับลูกแกะชัดๆ ต่อให้อธิบายจนปากฉีกพวกมันก็จะหาเรื่องทำร้ายเราสองคนจนได้นั่นแหละ
"ฉันไปทำอะไรให้ แค่เงื้อไม้ขู่ไม่ให้เข้ามาทำร้ายร้อบบี้เท่านั้น แต่ถึงจะพูดยังไงพวกแกก็ไม่ฟังใช่ไหม"
เพื่อนหญิงของผมก็คงคิดเหมือนกัน เธอยืนจูงจักรยานขมวดคิ้วยุ่ง จ้องหน้าพวกมันเขม็ง ซึ่งท่าทางแบบนี้ผมรู้ดีว่าเธอกำลังโมโหที่เห็นโทมัสทำท่าทางเป็นนักเลงโตเข้าใส่ แต่ถึงอย่างไรถ้าหลีกเลี่ยงการมีเรื่องกันได้ก็คงดี ผมจึงเรียกชื่อเธอเบาๆ เจสซี่หันมามองผมแล้วพยักหน้าน้อยๆให้
"อย่ามายุ่งกับเราได้ไหม ฉันขอร้อง ต่อไปเราต่างคนต่างอยู่ ฉันสัญญาว่าถ้าเห็นแกไปวุ่นวายกับใคร ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง"
เจสซี่ยื่นข้อต่อรอง ซึ่งคงไม่ถูกใจพวกมันแน่ๆ มันทั้งสี่จึงพากันหัวเราะเยาะ ลูอิสทำท่าสะบัดคอไปมา ส่วนแกรี่กับวิลเลี่ยมก็ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือที่จะรุมทำร้ายผมสองคน พวกมันหักข้อนิ้วมือกร๊อบๆ อย่างย่ามใจที่จะได้รังแกคนอ่อนแอกว่า
"พูดอย่างนี้ก็เท่ากับมาหาว่าพวกฉันเป็นคนไม่ดีนี่หว่า แบบนี้ต้องเอาเลือดมาสังเวยคมมีดฉันเสียหน่อยแล้ว"
มันว่าพลางขยับเดินเข้ามาหา หนำซ้ำยังล้วงเอามีดปลายแหลมเล่มบางเล่มหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตออกมาขู่ ผมกับเจสซี่ซึ่งยืนจูงจักรยานอยู่ถอยหลังหนี แต่เจ้าลูอิสกับแกรี่และวิลเลี่ยมกรูกันเข้ามายื้อยุดจักรยานของพวกเราไว้ ผมกับเจสซี่เลยปล่อยมือจากจักรยานแล้วผละออกวิ่งหนี
"จะหนีไปไหนพ้น มาให้ฉันกรีดหน้าแกเสียดีๆไอ้เด็กหน้าบื้อ"
ได้ยินเสียงเจ้าคนตัวโตที่สุดดังไล่หลังมา ผมวิ่งสุดฝีเท้าแต่ยังตามหลังเจสซี่ที่วิ่งนำหน้าไปอย่างว่องไวไกลกว่าเมตร แต่ทันใดนั้นผมก็สะดุดขาตัวเองหกล้ม คว่ำหน้าไถลไปกับพื้นหญ้า
วินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของใครคนหนึ่งที่โถมทับลงบนหลัง มันคว้ามือสองข้างของผมรวบไปไพล่หลังเอาไว้ ก่อนที่จะมีอีกหนึ่งแรงกระแทกลงบนหลังของผมปึ้กใหญ่จนจุกเสียดไปทั้งแผ่นหลัง
ผมตะแคงหน้าหันไปมองก็เห็นว่าเจ้าคนที่ทับตัวแล้วจับมือผมไขว้หลังอยู่คือแกรี่ ส่วนคนที่ยืนใช้เท้ากระทืบลงบนหลังและเหยียบกดหลังผมอยู่คงเป็นเจ้าอ้วนลูอิส เพราะได้ยินเสียงหัวเราะปนหอบหายใจแรงของมันอยู่เหนือขึ้นไปจากร่างที่นอนคว่ำหน้าของผม
แย่แล้ว...เจ้าคนมีมีดคงกำลังตรงมา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำพื้นเข้ามาใกล้พร้อมเสียงเย้ยหยันของมัน ซึ่งในที่สุดมันก็ยอบตัวลงนั่งข้าง ๆ
"บอกแล้วว่าแกหนีไม่พ้นหรอก มามะ มาให้ฉันฝากรอยแผลไว้บนหน้าแกสักสองสามรอย และแกต้องบอกแม่แกว่าแผลเกิดจากจักรยานล้ม เพราะถ้าแกปากโป้ง คราวหน้าฉันจะปาดคอแกทิ้ง ฮ่าๆๆๆ"
แต่ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของโทมัสก็หยุดลงกะทันหัน กลายเป็นมีเสียงร้องอย่างตกใจดังก้องขึ้นแทน ก่อนน้ำหนักตัวของแกรี่ที่ทับผมอยู่จะถูกยกออก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนดังประสานกันขึ้นอย่างสับสน รู้สึกถึงเท้าที่เหยียบอยู่บนหลังผมก็ถอนออกไปพร้อมเสียงของหนักหล่นลงน้ำโครมติดๆกันสามครั้ง ผมพลิกหงายตัวขึ้นดูทันที
มายก้อด...นั่นมันเกิดอะไรขึ้น เจ้าพวกนั้นหายไปไหน เพียงไม่กี่วินาทีที่พวกนั้นวิ่งมาทันและจับตัวผมไว้ และผมกำลังจะแย่ ฉับพลันพวกมันก็ร้องลั่นแล้วมีเสียงหล่นตูมๆลงน้ำ เมื่อหันไปมองทางต้นเสียงที่ได้ยิน ผมก็เห็นร่างเพื่อนหญิงของผมลอยคออยู่ในทะเลสาบและกำลังแหวกว่ายมาขึ้นฝั่ง ผมตะแคงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงงงวย เจสซี่ลงไปในน้ำได้อย่างไร ผมจำได้ว่าเธอวิ่งนำหน้าไปก่อนที่ผมจะหกล้มนี่นา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ที่สำคัญก็คือเจ้าพวกนั้นหายไปอย่างรวดเร็วได้ยังไง สิ่งที่ได้ยินและสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตอนนี้คืออะไร หรือว่า...
"ฉันโยนพวกมันลงน้ำหมดแล้ว" เจสซี่ขึ้นจากน้ำแล้วเดินมานั่งข้างๆ เธอสะบัดเส้นผมที่เปียกน้ำแล้วบอกผมด้วยสุ้มเสียงธรรมดา ผมอ้าปากค้างฟังเธอบอก
"ต่อไปนี้พวกมันจะเลิกมารังแกเธออย่างถาวรเสียที"
"หมายความว่า..."
"พวกมันจมน้ำตายไงล่ะ เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะขี่จักรยานเล่นแล้ว"
"เจสซี่...เธอ"
"พวกมันสมควรตาย คนแบบนั้นอยู่ไปก็หนักโลกเปล่าๆ"
"เธอทำได้ยังไง ฉันหมายถึงว่าเธอเอาพวกมันไปโยนลงน้ำได้ยังไง พวกนั้นตัวโตกว่าเธอตั้งเยอะ แล้วมันมีกันตั้งสี่คน"
"ใช่ ฉันไม่ใช่มนุษย์หรอก"
คำตอบของเธอทำเอาผมนั่งตัวแข็ง สันหลังเย็นวาบราวโดนน้ำแข็งนาบ จ้องมองเพื่อนรักคนเดียวของผมอย่างตื่นตะลึง ผมเริ่มจะเชื่อว่าสิ่งที่เธอเล่าให้ฟังก่อนหน้านั้นเป็นความจริง ก็ผมจะไม่เชื่อได้ยังไง เจสซี่ทำอะไรที่แปลกประหลาดตั้งหลายอย่างซึ่งแตกต่างจากเด็กอย่างพวกผมลิบลับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้รอบตัวที่มีมากมาย กับที่เธอพูดได้ตั้งหลายภาษา เธอเก่งกาจด้านการต่อสู้แถมยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอทำกับพวกของลูอิสซึ่งผมถึงกับต้องนั่งอึ้ง นี่ยังไม่นับสมบัติมากมายที่เธอบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของมัน รวมทั้งประวัติพิลึกพิลั่นของครอบครัวเธอนั่นอีกด้วย
"แต่เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอกนะเพราะฉันจะไม่ทำร้ายเธอ กลับกันเสียอีก ฉันจะคอยคุ้มครองป้องกันคนเลวไม่ให้ทำร้ายเธอกับแม่"
"เธอไม่ใช่มนุษย์ ถ้างั้นเธอเป็น...เป็น..."
"ถูกแล้ว ฉันเป็นแวมไพร์ แต่บาร์ตเป็นมนุษย์ ฉันเคยเล่าให้เธอฟังแล้วว่าพวกเราคิดค้นจนเจอสูตรเคมีที่ทำให้แวมไพร์โดนแสงแดดได้ แต่ฉันยังต้องกินเลือด แม้ไม่ต้องการบ่อยนักแต่ก็ยังต้องกิน เธอไม่รังเกียจฉันใช่ไหมร้อบบี้ ฉันเป็นเพื่อนเธอนะ"
"แล้วเธอไม่หิวเหรอ เธอเอาเลือดที่ไหนมากินล่ะ.."
ช่างน่าแปลกที่ถึงแม้เธอจะบอกว่าตัวเองเป็นผีดูดเลือดและพึ่งฆ่าคนตาย แต่ทำไมผมไม่นึกหวาดกลัวเธอเลยสักนิด เพียงแค่ตกตะลึงนึกไม่ถึงและยังงงๆเท่านั้น อาจเพราะเจ้าพวกนั้นสมควรตายอย่างที่เธอว่า และเธอดีต่อผมมาก ผมรู้สึกปลอดภัยเสียด้วยซ้ำไปเมื่ออยู่กับเธอ
"บาร์ตหามาให้กิน แต่ฉันไม่หิวบ่อยนักหรอก อีกหน่อยถ้าเขาคิดอาหารทดแทนเลือดได้ ฉันก็ไม่ต้องกินเลือดอีกต่อไปแล้ว อ้อ บาร์ตไม่ใช่พ่อฉันหรอก เขาเป็นเพื่อนฉันเหมือนกันกับเธอ ฉันเจอเขาตอนสิบเอ็ดขวบ บาร์ตโตขึ้นและแก่ลง แต่ฉันยังสิบขวบเท่าเดิม"
วันนี้ผมได้รับรู้เรื่องราวสุดมหัศจรรย์ของเจสซี่เข้าให้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว ผมสัญญากับเธอว่าจะเก็บมันไว้เป็นความลับ และเมื่อเจสซี่ชวนกลับบ้าน ผมก็ลุกขึ้นยืนเดินตามเธอไปเอาจักรยานที่ล้มเค้เก้อยู่ไม่ไกลอย่างว่าง่าย
ก่อนเราสองคนจะพากันขี่จักรยานกลับบ้านเมื่อดวงตะวันตรงศีรษะพอดี ผมเหลือบมองไปทางทะเลสาบที่พวกนั้นจมหาย...บอกลาพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ลาก่อนนะเจ้าพวกอันธพาล
จบตอน 2
นิยายสั้น รักอมตะ ตอน 2
ตอน 1 https://pantip.com/topic/36071440
นิยายสั้น รักอมตะ ตอน 2
**แก้วกัญญา**
หลังจากวันที่มีเรื่องกันวันสุดท้ายนั้นแล้ว ลูอิสกับลูกสมุนก็ไม่มาตอแยผมอีก เพราะพอพวกมันมองมากะอยากหาเรื่องผมทีไร ก็จะเจอดวงตาโตวาวของเจสซี่มองเขม็งกลับ แบบพร้อมจะตอบโต้ทุกครั้ง พวกนั้นคงแหยงเธอก็เลยหันไปแกล้งคนอื่นแทน ผมดีใจมากที่ชิวิตในโรงเรียนของผมสงบสุขเหมือนคนอื่นเสียที นึกขอบคุณนางฟ้าตุ๊กตาบาร์บี้ของผมที่ราวกับสวรรค์ส่งเธอลงมาเพื่อให้ช่วยเหลือผม เธอช่วยผมหลายอย่างทีเดียว ทั้งช่วยเป็นเพื่อนเล่น สอนผมชกมวย สอนวิชาที่ผมอ่อนมากอย่างวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์ กับสอนให้พูดฝรั่งเศสและภาษาจีน เจสซี่พูดได้ตั้งหลายภาษา ผมไม่ทราบว่าทำไมเธอถึงหัวดีสมองไวแบบนั้น แต่คงเป็นเพราะพ่อเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ พ่อเธอเก่งจึงทำให้เธอเก่งเหมือนพ่อ
เจสซี่เคยเอาสมุดปกแข็งหุ้มกำมะหยี่สีแดงเข้มอย่างดีเล่มใหญ่ ที่ในนั้นบันทึกสูตรอะไรสักอย่างที่มีแต่ตัวเลขและสัญลักษณ์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดทั้งเล่มของพ่อเธอให้ผมดู เธอเล่าว่ามันเป็นบันทึกที่ถูกส่งต่อกันมานานจากรุ่นปู่รุ่นทวดของเธออีกทีหนึ่ง ซึ่งท่านเหล่านั้นก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น และช่วยกันคิดค้นสูตรตัวยาที่ทำให้แวมไพร์โดนแสงแดดได้ เธอเล่าอวดว่าพวกเขาสามารถทำสำเร็จแล้วด้วย ซึ่งพอผมถามว่ารู้ได้ยังไง เจสซี่ก็ยิ้มๆ แต่ไม่ยอมตอบคำถาม
เธอบอกอีกว่ายังเหลือสูตรสำคัญที่สุดคือสูตรอาหารทดแทนเลือดสดๆที่แวมไพร์จำเป็นต้องกิน เพื่อให้ผีดูดเลือดดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องกินเลือดคนหรือสัตว์ ที่หากทำสำเร็จ มันก็จะทำให้แวมไพร์สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์บนโลกนี้ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป แต่พ่อของเธอยังคิดค้นไม่สำเร็จ
เจสซี่ยืนยันว่าแวมไพร์มีจริงซึ่งผมไม่เชื่อและนึกประหลาดใจที่ทำไมบรรพบุรุษของเธอจึงงมงายเชื่อในเรื่องเล่าเหล่านี้ ที่แม้แต่เด็กอย่างผมก็ยังรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ถึงขนาดลงมือค้นคว้าสูตรยาต่าง ๆ และงุนงงว่าพวกเขาคิดค้นสิ่งเหล่านี้เพื่อใคร แต่ก็ไม่แน่ พวกนักวิทยาศาสตร์มักสติเฟื่องชอบคิดอะไรแปลกๆอยู่เสมอ แม่เคยบ่นเพื่อนของแม่ให้ผมฟังบ่อยๆ
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมเริ่มคล้อยตามว่าสิ่งที่เธอเล่ามาอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ เรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นในต้นฤดูหนาวที่น้ำกำลังจะเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง
"วันนี้เราจะได้เห็นดีกัน"
เจ้าอ้วนลูอิสที่หายซ่าไปนานจนผมเกือบลืมว่าเคยกลัวพวกมันไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็ย้อนกลับมาหาเรื่องพวกเราอีกจนได้ วันนั้นผมกับเจสซี่ปั่นจักรยานไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบในวันหยุดของพวกเรา ทะเลสาบที่ว่าอยู่ค่อนข้างไกลและห่างจากบ้านผู้คน ผมกับเจสซี่ชอบมาว่ายน้ำเล่นที่นี่บ่อยๆ เราเลือกจุดที่ไม่มีคนมากวนใจและสร้างเพิงเล็กๆเป็นฐานลับของเราสองคน ซึ่งก่อนที่น้ำทั้งทะเลสาบจะแข็งตัวจนลงเล่นไม่ได้อีก ผมจึงชวนเจสซี่มาเล่นน้ำทิ้งทวน เธอว่ายน้ำเก่งอีกแล้วแถมยังดำน้ำอึดอีกด้วย
แต่วันนี้พอมาถึงเพิง พวกเรายังไม่ทันได้ลงน้ำกันเลยก็เจอเข้ากับลูอิสกับลูกสมุนทั้งสอง ซึ่งถ้ามีแค่พวกมันผมคงไม่กลัวอีกแล้วเพราะตอนนี้ผมชกมวยเป็น จับคนทุ่มแบบยูโดก็เป็น เจสซี่ชมเปาะว่าฝีมือผมไม่เลว ที่ผมชักปอดก็คือเจ้าอ้วนมันพาเด็กไฮสคูลที่ชื่อโทมัสพี่ชายของมันมาด้วย เจ้าหมอนี่ตัวโตใกล้จะเป็นหนุ่ม หน้าตาขี้โกงอย่างกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ มันมองผมกับเจสซี่เหมือนเห็นกระต่ายน้อยที่อยากจะเข้ามาขย้ำกินเป็นอาหาร
"ได้ข่าวว่าแกสองคนเก่งนักเหรอ" มันเริ่มต้นสำรอกคำพูดชั่วร้ายออกมา
"ฉันอยากรู้ว่าพวกนายจะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว ถึงกล้ามารังแกน้องชายฉัน"
รังแกงั้นเหรอ...มันพูดหน้าด้านๆ น้องชายมันต่างหากที่ทำตัวเป็นอันธพาลเที่ยวรังแกคนอื่นไปทั่วจนเด็กทั้งห้องเอือมระอา และตอนนี้พวกมันสองคนพี่น้องก็กำลังหาเรื่องรังแกผมกับเจสซี่อีกแล้ว
"ฉันไม่ได้ทำอะไรน้องแกสักหน่อย" ผมเถียง ทั้งๆที่รู้ว่าป่วยการ เพราะพวกมันจงใจมาหาเรื่องอยู่แล้ว
"แกไม่ได้ทำ งั้นนังนี่ทำสินะ" นั่นยังไงล่ะถูกเผงเลย นี่คือหมาป่ากับลูกแกะชัดๆ ต่อให้อธิบายจนปากฉีกพวกมันก็จะหาเรื่องทำร้ายเราสองคนจนได้นั่นแหละ
"ฉันไปทำอะไรให้ แค่เงื้อไม้ขู่ไม่ให้เข้ามาทำร้ายร้อบบี้เท่านั้น แต่ถึงจะพูดยังไงพวกแกก็ไม่ฟังใช่ไหม"
เพื่อนหญิงของผมก็คงคิดเหมือนกัน เธอยืนจูงจักรยานขมวดคิ้วยุ่ง จ้องหน้าพวกมันเขม็ง ซึ่งท่าทางแบบนี้ผมรู้ดีว่าเธอกำลังโมโหที่เห็นโทมัสทำท่าทางเป็นนักเลงโตเข้าใส่ แต่ถึงอย่างไรถ้าหลีกเลี่ยงการมีเรื่องกันได้ก็คงดี ผมจึงเรียกชื่อเธอเบาๆ เจสซี่หันมามองผมแล้วพยักหน้าน้อยๆให้
"อย่ามายุ่งกับเราได้ไหม ฉันขอร้อง ต่อไปเราต่างคนต่างอยู่ ฉันสัญญาว่าถ้าเห็นแกไปวุ่นวายกับใคร ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง"
เจสซี่ยื่นข้อต่อรอง ซึ่งคงไม่ถูกใจพวกมันแน่ๆ มันทั้งสี่จึงพากันหัวเราะเยาะ ลูอิสทำท่าสะบัดคอไปมา ส่วนแกรี่กับวิลเลี่ยมก็ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือที่จะรุมทำร้ายผมสองคน พวกมันหักข้อนิ้วมือกร๊อบๆ อย่างย่ามใจที่จะได้รังแกคนอ่อนแอกว่า
"พูดอย่างนี้ก็เท่ากับมาหาว่าพวกฉันเป็นคนไม่ดีนี่หว่า แบบนี้ต้องเอาเลือดมาสังเวยคมมีดฉันเสียหน่อยแล้ว"
มันว่าพลางขยับเดินเข้ามาหา หนำซ้ำยังล้วงเอามีดปลายแหลมเล่มบางเล่มหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตออกมาขู่ ผมกับเจสซี่ซึ่งยืนจูงจักรยานอยู่ถอยหลังหนี แต่เจ้าลูอิสกับแกรี่และวิลเลี่ยมกรูกันเข้ามายื้อยุดจักรยานของพวกเราไว้ ผมกับเจสซี่เลยปล่อยมือจากจักรยานแล้วผละออกวิ่งหนี
"จะหนีไปไหนพ้น มาให้ฉันกรีดหน้าแกเสียดีๆไอ้เด็กหน้าบื้อ"
ได้ยินเสียงเจ้าคนตัวโตที่สุดดังไล่หลังมา ผมวิ่งสุดฝีเท้าแต่ยังตามหลังเจสซี่ที่วิ่งนำหน้าไปอย่างว่องไวไกลกว่าเมตร แต่ทันใดนั้นผมก็สะดุดขาตัวเองหกล้ม คว่ำหน้าไถลไปกับพื้นหญ้า
วินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของใครคนหนึ่งที่โถมทับลงบนหลัง มันคว้ามือสองข้างของผมรวบไปไพล่หลังเอาไว้ ก่อนที่จะมีอีกหนึ่งแรงกระแทกลงบนหลังของผมปึ้กใหญ่จนจุกเสียดไปทั้งแผ่นหลัง
ผมตะแคงหน้าหันไปมองก็เห็นว่าเจ้าคนที่ทับตัวแล้วจับมือผมไขว้หลังอยู่คือแกรี่ ส่วนคนที่ยืนใช้เท้ากระทืบลงบนหลังและเหยียบกดหลังผมอยู่คงเป็นเจ้าอ้วนลูอิส เพราะได้ยินเสียงหัวเราะปนหอบหายใจแรงของมันอยู่เหนือขึ้นไปจากร่างที่นอนคว่ำหน้าของผม
แย่แล้ว...เจ้าคนมีมีดคงกำลังตรงมา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำพื้นเข้ามาใกล้พร้อมเสียงเย้ยหยันของมัน ซึ่งในที่สุดมันก็ยอบตัวลงนั่งข้าง ๆ
"บอกแล้วว่าแกหนีไม่พ้นหรอก มามะ มาให้ฉันฝากรอยแผลไว้บนหน้าแกสักสองสามรอย และแกต้องบอกแม่แกว่าแผลเกิดจากจักรยานล้ม เพราะถ้าแกปากโป้ง คราวหน้าฉันจะปาดคอแกทิ้ง ฮ่าๆๆๆ"
แต่ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของโทมัสก็หยุดลงกะทันหัน กลายเป็นมีเสียงร้องอย่างตกใจดังก้องขึ้นแทน ก่อนน้ำหนักตัวของแกรี่ที่ทับผมอยู่จะถูกยกออก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนดังประสานกันขึ้นอย่างสับสน รู้สึกถึงเท้าที่เหยียบอยู่บนหลังผมก็ถอนออกไปพร้อมเสียงของหนักหล่นลงน้ำโครมติดๆกันสามครั้ง ผมพลิกหงายตัวขึ้นดูทันที
มายก้อด...นั่นมันเกิดอะไรขึ้น เจ้าพวกนั้นหายไปไหน เพียงไม่กี่วินาทีที่พวกนั้นวิ่งมาทันและจับตัวผมไว้ และผมกำลังจะแย่ ฉับพลันพวกมันก็ร้องลั่นแล้วมีเสียงหล่นตูมๆลงน้ำ เมื่อหันไปมองทางต้นเสียงที่ได้ยิน ผมก็เห็นร่างเพื่อนหญิงของผมลอยคออยู่ในทะเลสาบและกำลังแหวกว่ายมาขึ้นฝั่ง ผมตะแคงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงงงวย เจสซี่ลงไปในน้ำได้อย่างไร ผมจำได้ว่าเธอวิ่งนำหน้าไปก่อนที่ผมจะหกล้มนี่นา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ที่สำคัญก็คือเจ้าพวกนั้นหายไปอย่างรวดเร็วได้ยังไง สิ่งที่ได้ยินและสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตอนนี้คืออะไร หรือว่า...
"ฉันโยนพวกมันลงน้ำหมดแล้ว" เจสซี่ขึ้นจากน้ำแล้วเดินมานั่งข้างๆ เธอสะบัดเส้นผมที่เปียกน้ำแล้วบอกผมด้วยสุ้มเสียงธรรมดา ผมอ้าปากค้างฟังเธอบอก
"ต่อไปนี้พวกมันจะเลิกมารังแกเธออย่างถาวรเสียที"
"หมายความว่า..."
"พวกมันจมน้ำตายไงล่ะ เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะขี่จักรยานเล่นแล้ว"
"เจสซี่...เธอ"
"พวกมันสมควรตาย คนแบบนั้นอยู่ไปก็หนักโลกเปล่าๆ"
"เธอทำได้ยังไง ฉันหมายถึงว่าเธอเอาพวกมันไปโยนลงน้ำได้ยังไง พวกนั้นตัวโตกว่าเธอตั้งเยอะ แล้วมันมีกันตั้งสี่คน"
"ใช่ ฉันไม่ใช่มนุษย์หรอก"
คำตอบของเธอทำเอาผมนั่งตัวแข็ง สันหลังเย็นวาบราวโดนน้ำแข็งนาบ จ้องมองเพื่อนรักคนเดียวของผมอย่างตื่นตะลึง ผมเริ่มจะเชื่อว่าสิ่งที่เธอเล่าให้ฟังก่อนหน้านั้นเป็นความจริง ก็ผมจะไม่เชื่อได้ยังไง เจสซี่ทำอะไรที่แปลกประหลาดตั้งหลายอย่างซึ่งแตกต่างจากเด็กอย่างพวกผมลิบลับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้รอบตัวที่มีมากมาย กับที่เธอพูดได้ตั้งหลายภาษา เธอเก่งกาจด้านการต่อสู้แถมยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอทำกับพวกของลูอิสซึ่งผมถึงกับต้องนั่งอึ้ง นี่ยังไม่นับสมบัติมากมายที่เธอบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของมัน รวมทั้งประวัติพิลึกพิลั่นของครอบครัวเธอนั่นอีกด้วย
"แต่เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอกนะเพราะฉันจะไม่ทำร้ายเธอ กลับกันเสียอีก ฉันจะคอยคุ้มครองป้องกันคนเลวไม่ให้ทำร้ายเธอกับแม่"
"เธอไม่ใช่มนุษย์ ถ้างั้นเธอเป็น...เป็น..."
"ถูกแล้ว ฉันเป็นแวมไพร์ แต่บาร์ตเป็นมนุษย์ ฉันเคยเล่าให้เธอฟังแล้วว่าพวกเราคิดค้นจนเจอสูตรเคมีที่ทำให้แวมไพร์โดนแสงแดดได้ แต่ฉันยังต้องกินเลือด แม้ไม่ต้องการบ่อยนักแต่ก็ยังต้องกิน เธอไม่รังเกียจฉันใช่ไหมร้อบบี้ ฉันเป็นเพื่อนเธอนะ"
"แล้วเธอไม่หิวเหรอ เธอเอาเลือดที่ไหนมากินล่ะ.."
ช่างน่าแปลกที่ถึงแม้เธอจะบอกว่าตัวเองเป็นผีดูดเลือดและพึ่งฆ่าคนตาย แต่ทำไมผมไม่นึกหวาดกลัวเธอเลยสักนิด เพียงแค่ตกตะลึงนึกไม่ถึงและยังงงๆเท่านั้น อาจเพราะเจ้าพวกนั้นสมควรตายอย่างที่เธอว่า และเธอดีต่อผมมาก ผมรู้สึกปลอดภัยเสียด้วยซ้ำไปเมื่ออยู่กับเธอ
"บาร์ตหามาให้กิน แต่ฉันไม่หิวบ่อยนักหรอก อีกหน่อยถ้าเขาคิดอาหารทดแทนเลือดได้ ฉันก็ไม่ต้องกินเลือดอีกต่อไปแล้ว อ้อ บาร์ตไม่ใช่พ่อฉันหรอก เขาเป็นเพื่อนฉันเหมือนกันกับเธอ ฉันเจอเขาตอนสิบเอ็ดขวบ บาร์ตโตขึ้นและแก่ลง แต่ฉันยังสิบขวบเท่าเดิม"
วันนี้ผมได้รับรู้เรื่องราวสุดมหัศจรรย์ของเจสซี่เข้าให้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว ผมสัญญากับเธอว่าจะเก็บมันไว้เป็นความลับ และเมื่อเจสซี่ชวนกลับบ้าน ผมก็ลุกขึ้นยืนเดินตามเธอไปเอาจักรยานที่ล้มเค้เก้อยู่ไม่ไกลอย่างว่าง่าย
ก่อนเราสองคนจะพากันขี่จักรยานกลับบ้านเมื่อดวงตะวันตรงศีรษะพอดี ผมเหลือบมองไปทางทะเลสาบที่พวกนั้นจมหาย...บอกลาพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ลาก่อนนะเจ้าพวกอันธพาล
จบตอน 2