ปมหนี้ 6 หมื่นล้านสายสีเขียว "รฟม." ขย่ม "กทม." เปิดศึกชิงเดินรถ

กำลังเป็นที่จับตารถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยาย "แบริ่ง-สมุทรปราการ" สร้างเชื่อมพื้นที่กรุงเทพฯกับชานเมือง 12.8 กม. ที่ปัจจุบันงานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ จะซ้ำรอยรถไฟชานเมืองสายสีแดง "บางซื่อ-ตลิ่งชัน" ของ "ร.ฟ.ท.-การรถไฟแห่งประเทศไทย" สร้างเสร็จมานานหลายปี ถึงขณะนี้ยังไม่เปิดบริการ แถมต้องเสียค่ารักษารางปีละหลาย 10 ล้านบาท

ถ้าหาก "กทม.-กรุงเทพมหานคร" ที่รับโอนโครงการต่อจาก "รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" หาเงินก้อนแรก 3,557.053 ล้านบาท มาชำระคืนให้ รฟม.ก่อนเดือน เม.ย.ไม่ได้ ทำให้ข้อตกลง (MOU) ที่เซ็นร่วมกันเป็นโมฆะ

ล่าสุด "กทม." รอไฟเขียวจากที่ประชุมสภาให้ดึงเงินสะสมมีอยู่กว่า 1 หมื่นล้านบาท จ่ายคืน รฟม. ยังไม่รู้สภา กทม.นัดวันที่ 8 ก.พ.นี้ ที่ประชุมจะโหวตโอเคหรือเซย์โน ในเมื่อ กทม.อยู่ในห้วงถังแตก หากรับหนี้รถไฟฟ้าเข้าไปอีก ต้องแบกหนี้ก้อนโตไปอีกหลาย 10 ปี

แหล่งข่าวจาก กทม.กล่าวว่า มติคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) วันที่ 15 มี.ค. 2559 มอบสายสีเขียวต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ กับหมอชิต-คูคต ให้ กทม.เป็นผู้บริหาร เพื่อให้เดินรถต่อเนื่อง และเซ็น MOU วันที่ 28 มี.ค. 2559 โดย กทม.ต้องชำระค่าก่อสร้าง 60,860 ล้านบาท แทน รฟม.



ผลหารือร่วมกันจะเริ่มชำระหนี้สายสีเขียวแบริ่ง-สมุทรปราการ 21,400 ล้านบาท เป็นลำดับแรก เพราะงานก่อสร้างเสร็จแล้ว โดย รฟม.ให้ กทม.จ่ายค่าจัดกรรมสิทธิ์ สำรวจอสังหาริมทรัพย์ จ้างที่ปรึกษา พ.ร.บ.ร่วมทุน และที่ปรึกษาออกแบบให้ก่อนจะเริ่มโอนโครงการเม.ย.นี้

"ปัญหาคือ กทม.ไม่มีเงิน ต้องรอสภาโหวตรับเสียก่อนถึงจะมีเงินไปจ่าย รฟม. ตอนแรกจะประชุม 1 ก.พ. แต่องค์ประชุมไม่ครบเลื่อนเป็น 8 ก.พ.นี้ ตามแนวคิดของผู้ว่าฯ กทม. จะขอสภาดึงเงินสะสมชำระหนี้ส่วนนี้ก่อน เพื่อให้เริ่มทดสอบระบบเพื่อเปิดเดินรถ 1 สถานีจากแบริ่ง-สำโรงได้มี.ค.นี้" แหล่งข่าวกล่าวและว่า

ส่วนค่าก่อสร้าง 17,092.33 ล้านบาท จะรวมกับหนี้ช่วงหมอชิต-คูคตอีกกว่า 39,774 ล้านบาท ซึ่ง กทม.ขอตรวจสอบบัญชีรายการหนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กทม.มีแนวทางเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา คือ จะขอปลอดหนี้ 10 ปี และเริ่มผ่อนชำระหนี้ปี 2573 เพราะรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือบีทีเอสซี รับสัมปทานจะครบกำหนดปี 2572 ทรัพย์สินจะตกเป็นของ กทม. ซึ่งสามารถนำโครงการนี้ระดมเงินผ่านกองทุนอินฟราฟันด์และนำเงินมาชำระคืนให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แทน รฟม.

"โครงการนี้เป็นรอยต่อของผู้ว่าฯ กทม.ชุดเก่ากับชุดใหม่ เป็นเงินก้อนโตกว่า 6 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังเป็นโครงการสร้างนอกเขตพื้นที่ กทม. ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่ กทม.จะนำภาษีของคนกรุงเทพฯไปใช้ลักษณะนี้ อยู่ที่สภา กทม.จะอนุมัติหรือไม่ แต่ฝ่ายบริหารจะอธิบายถึงความจำเป็นในการใช้เงิน"

ผลจากความล่าช้าของ กทม. กระทบชิ่งแผนทดลองเดินรถ 1 สถานี ต้องขยับจากเป้าวันที่ 1 มี.ค.นี้ออกไป และอาจจะขยายวงกว้างไปถึงแผนเปิดเดินรถตลอดเส้นทางด้วย เพราะหาก กทม.ยังยึกยัก-หาทางลงไม่ได้ อาจจะกลายเป็นปมดราม่าพิพาทกันยาว ซึ่งล่าสุดมีข่าวสะพัด "กระทรวงการคลัง" จะไม่รับแผนชำระหนี้ของ กทม. ที่ขอผ่อนชำระปี 2573

ขณะที่ "รฟม." เองกำลังหาจังหวะช่วงชิงโครงการกลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้ง

"เปิดเดินรถ 1 สถานีจากแบริ่ง-สำโรง มี.ค.นี้ ไม่น่าจะดำเนินการได้ กว่า รฟม.จะตรวจรับงานเป็นวันที่ 6 ก.พ. และต้องทดสอบระบบอีก 3-6 เดือน ถึงจะเปิดได้" นายสุรเชษฐ์เหล่าพลสุข ผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. ในฐานะผู้อำนวยการโครงการกล่าวและว่า

ส่วนการโอนโครงการให้ กทม. ขณะนี้รอสภา กทม.อนุมัติ หาก กทม.ไม่สามารถรับโอนสายสีเขียวได้ รฟม.พร้อมจะดำเนินการเอง โดยจะเสนอ คจร. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบให้ รฟม.บริหารโครงการแทน โดยจะเปิดประมูลให้เอกชนลงทุน PPP Fast Track ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน และจะเร่งขั้นตอนต่าง ๆ ให้เสร็จเพื่อเปิดเดินรถตลอดเส้นทางเดือน ธ.ค. 2561

ท่ามกลางการเปิดศึกระหว่าง "กทม.-รฟม." ที่กำลังระอุ ดูเหมือน "บีทีเอส" จะได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะไม่ว่าสุดท้ายหวยจะไปออกที่ใคร ยังไงสายสีเขียวต่อขยายไปสุดสายที่สมุทรปราการและคูคต ต้องประทับชื่อ "บีทีเอส" เป็นผู้เดินรถเท่านั้น

สอดคล้องแหล่งข่าวจาก รฟม.กล่าวว่า เพื่อเปิดเดินรถได้เร็ว หาก กทม.หาเงินไม่ได้ รฟม.จะเจรจาบีทีเอสติดตั้งระบบ ไม่ให้เกิดสุญญากาศเพราะงานโยธาเสร็จแล้ว ถ้าปล่อยเวลาให้ทอดออกไป รฟม.ต้องเสียงบประมาณปีละหลาย 10 ล้านบาท มาบำรุงรักษาโครงการอีก

ขณะที่ "มานิต เตชอภิโชค" กรรมการผู้อำนวยการ บจ.กรุงเทพธนาคม (KT) กล่าวว่า เดือน มิ.ย. 2559 เซ็นจ้างบีทีเอสติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและวางรางสายสีเขียวแบริ่ง-สมุทรปราการแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนการจ้างเดินรถยังไม่ได้เซ็นสัญญา ตามแผนจะจ้างบีทีเอสเดินรถช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการกับหมอชิต-คูคต 25 ปี หมดสัญญาพร้อมกับบีทีเอสเดิมปี 2585 คิดเป็นค่าจ้างประมาณ 1 แสนล้านบาท โดย กทม.จะตั้งงบประมาณจ่ายเป็นรายปี

จากบทเรียนสาย "สีแดง-สีม่วง-สีน้ำเงิน" หวังว่าครั้งนี้ "รัฐบาล คสช." คงจะแก้ปมสายสีเขียวได้ทันเวลาและลงตัว


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่