ความรักคืออะไร
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของ
คำว่า “รัก” ไว้ว่า “รัก” เป็นคำกริยา หมายถึง
มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย เช่น พ่อแม่รักลูก รักชาติ รักชื่อเสียง, มีใจผูกพันด้วยความเสน่หา, มีใจผูกพันฉันชู้สาว, เช่น ชายรักหญิง, ชอบ เช่น รักสนุก รักสงบ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
คำว่า ”รัก” มีความหมายซับซ้อนกว่าที่ได้มีการอธิบายในพจนานุกรมมากมายนัก นักปรัชญาหลายๆท่านได้ให้นิยามความรักไว้แตกต่างกันไปดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กิลเบอร์ท นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า “ความรัก คือ สวนดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตา” (ฟังดูน่ารันทดเสียจริง ฟังแล้วอยากหนีห่างจากความรักให้ไกลๆเลยเชียว)
คาลิล ยิบราน นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก กล่าวว่า “ความรัก คือ ดอกไม้ที่เติบโตและเบ่งบานโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของฤดูกาล” (อันนี้ฟังดูสวยงาม เชิญชวนให้คนอยากมีความรัก)
ท่านพุทธทาสภิกขุ (พระผู้ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นนักปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา) ได้กล่าวไว้ว่า
“ความรัก คือ ความใจกว้างเห็นแก่ผู้อื่นจนไม่มีตัวตนเหลืออยู่” (อันนี้เป็นคำนิยามความรักในเชิงธรรมะ)
พระราชนิพนธ์เรื่อง “มัทนะพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖)
กล่าวถึงความรักว่า
“ความรักเหมือนโรคา บันดาลให้ตามืดมล ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดๆ ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย”
จะเห็นได้ว่า แค่คำว่า
“ความรัก” เพียงคำเดียวก็ถูกตีความโดยผู้คนทั่วโลกไปได้มากมายหลายรูปแบบ แสดงให้เห็นว่า ความรักเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ที่รวมความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ ทั้งสุข เศร้า เหงา สดใส เสียสละ โกรธแค้น สงบเย็น ร้อนรุ่น และอื่นๆอีกมากมาย…ดูเหมือนว่า ชีวิตเราทุกคนต่างหมุนไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆนั่นเอง
แม้แต่การเปรียบเทียบในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีการเปรียบเทียบความรักด้วยดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งมีทั้งความสวยงาม เย้ายวนใจให้หลงในเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหนามแหลมคม ซึ่งอาจทำร้ายให้ผู้ครอบครองต้องเสียเลือดเมื่อพลั้งเผลอได้เช่นกัน เปรียบเหมือนความรัก ที่แม้คนเราจะรู้ว่าความรักมาคู่กับความทุกข์ แต่ก็อดใจในเสน่ห์อันเย้ายวนของความรักไม่ได้ ต้องยอมเสี่ยงกับการบาดเจ็บทางใจ เพื่อให้ได้ความรักมาครอบครอง
นิยามความรักในพระพุทธศาสนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พระพุทธศาสนามีคำสอนเกี่ยวกับความรักอยู่มากมาย จะได้รับการเปรียบเทียบว่า พระพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งความรัก สิ่งที่น่าสนใจคือพระพุทธเจ้ามิได้ทรงนิยามความรักด้วยคำบาลีคำใดคำหนึ่ง แต่พระองค์ได้ทรงให้คำนิยามเกี่ยวกับความรักไว้มากมาย ดังนี้
ความรักคือความใคร่ (กามะ),
ความรักคือความกำหนัดยินดี (ราคะ),
ความรักคือความทะยานอยาก (ตัณหา),
ความรักคือความรักใคร่เยื่อใย (สิเนหะ คำไทยเรียกว่าเสน่หา),
ความรักคือความเพลิดเพลิน (นันทิ),
ความรักคือความอยาก (อิจฉา),
ความรักคือความผูกพัน (ปฏิพัทธา),
ความรักคือความปรารถนา (ปัตถนา),
ความรักคือความอยากได้ (โลภะ),
ความรักคือความพอใจ (ฉันทะ),
ความรักคืออารมณ์ที่น่ารักน่าใคร่ (เปมะ)
ความรักคือความรักปรารถนาให้คนอื่นสัตว์อื่นมีความสุข (เมตตา),
ความรักคือความสงสาร ต้องการให้พ้นจากความทุกข์ (กรุณา),
เป็นต้น
อาจจะมีคนสงสัยว่า ทำไมท่านต้องให้ความหมายกับคำว่าความรักไว้มากมายขนาดนี้ ประเด็นนี้พันเอกปิ่น มุทุกันต์ ได้ให้ความเห็นว่า “เนื่องจากความรักเป็นอาการของจิต ความรักจึงมีการเปลี่ยนแปลงกลับกลอกยอกย้อนมากมาย ถึงกับพระพุทธเจ้าต้องตั้งชื่อดักเอาไว้เยอะๆ เพื่อใช้เรียกอาการที่ความรักจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะต่างๆ เพราะลำพังสัตว์หลายชื่อ คนหลายชื่อ หรือสิ่งของหลายชื่อก็ยุ่งพอแล้ว ทีนี้ความรักไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ แต่เกิดมีหลายชื่อมันก็ยุ่งกว่าพวกนั้นหลายร้อยเท่าพันเท่า”
ประเภทความรักในพระพุทธศาสนา
ด้วยเหตุที่คำว่าความรักมีความซับซ้อน และละเอียดมาก ในทางพระพุทธศาสนาจึงมีการแบ่งความรักเป็นลำดับขั้นดังนี้คือ
ความรักฝ่ายอกุศล หรือ ความรักตนเอง
เป็นอาการหรือธรรมชาติในด้านมืดของความรัก เป็นความรักฝ่ายกิเลส ที่จะทำให้จิตใจผู้ที่รักและคนที่ถูกรักตกต่ำลง เรียกความรักกลุ่มนี้ว่า “ความเสน่หา” (สิเนหะ) หรือ “ตัณหา” อธิบายง่ายๆได้ว่า “ความรักที่จะเอา” คือ เอาความรัก ความสุข และทุกอย่างมาที่ตนเองเป็นสำคัญ (ความเห็นแก่ตัว)
ความรักฝ่ายกลาง (อัพยากตะ)
เป็นความรักที่สูงกว่าความรักฝ่ายอกุศล ความรักฝ่ายนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความดีและความชั่ว สามารถถูกความชั่วดึงไปก็ได้ ถูกความดีดึงออกไปก็ได้ จึงอยู่ระหว่างความรักแบบเสน่หาและเมตตาหรือคุณธรรม เรียกความรักแบบนี้ว่า “เปม” (เป-มะ) เป็นความรักในครอบครัว ความรักที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในครอบครัว
ความรักฝ่ายกุศล หรือ ความรักผู้อื่น
เป็นความรักในระดับที่สูงกว่าความรักอีกสองระดับแรก ความรักประเภทนี้เป็นความดีงามที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เรียกว่า “เมตตา”
ความรักฝ่ายกุศลสูงสุด หรือ ความรักผู้อื่นโดยไม่มีประมาณ
เป็นความรักในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ผู้ที่มีความรักประเภทนี้จิตใจจะสะอาดบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นจนสามารถควบคุม อำนาจฝ่ายอกุศลได้ จึงเป็นความรักขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “กุศลฉันทะ” หรือ “ฉันทะ”
สรุปลำดับขั้นความรักในพระพุทธศาสนาได้เป็น 4 ขั้นง่ายๆดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สเน่หา, ตัณหา – ความรักตัวเอง
เปม – ความรักครอบครัว
เมตตา – ความรักคนรอบข้าง
ฉันทะ – ความรักในความต้องการการหลุดพ้นจากกิเลส
บ่อเกิดของความรัก ในพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนาได้มีการกล่าวถึงบ่อเกิดของความรักไว้ ดังพุทธภาษิตว่า
“ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํ ว ยโถทเก”
แปลว่า ความรัก ย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการคือ
เพราะอยู่ร่วมกันในปางก่อน ๑ เพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑
ความรักเกิดเพราะอยู่ร่วมกันในปางก่อน
เรียกว่า บุพเพสันนิวาส คือการได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ ได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตรงตามกัน มีความเห็นสอดคล้องเหมือนกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เป็นเหตุส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน บุพเพสันนิวาสบางครั้งอาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้
ความรักเกิดเพราะเกื้อกูลกันในปัจจุบัน
ในกรณีซึ่งไม่ใช่บุพเพสันนิวาส แต่อาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมกัน อาศัยความช่วยเหลือกัน เห็นอกเห็นใจกันในปัจจุบัน จะส่งผลให้เป็นเนื้อคู่กันในปัจจุบันและในอนาคตต่อไป
หลักธรรมะเกี่ยวกับความรัก
แม้เป้าหมายหลักของพระพุทธศาสนาคือการเดินทางไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ระหว่างทางเดินนี้ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล้วนยังต้องวนเวียนอยู่กับความรัก เพื่อไม่ให้หลงใหลไปในวังวนแห่งความรัก และต้องบาดเจ็บจากการรักอย่างไม่ถูกต้อง พระพุทธศาสนาจึงมีหลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับความรักในระดับต่างๆให้นำไปปรับใช้กันได้ดังนี้
หลักธรรมสำหรับการรักตัวเอง
คนเราทุกคนย่อมรักตัวเอง ไม่มีใครอยากให้ตัวเองต้องเจ็บป่วย ลำบาก หรือประสบพบเคราะห์ร้ายใดๆ มีคำกล่าวไว้ว่า หากเราไม่รู้จักรักตัวเองก่อน เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความรักในขั้นแรกคือการรักตัวเองอย่างถูกต้อง
พระพุทธศาสนามีหลักธรรมเบื้องต้นสำหรับทุกคนคือหลัก เบญจศีล เบญจธรรม แม้จะไม่สนใจการปฏิบัติภาวนาใดๆ แต่ก็ไม่ควรละทิ้งหลักเบญจศีล เบญจธรรม ซึ่งเป็นหลักธรรมง่ายๆในการดำรงชีวิต อันจะนำมาซึ่งชีวิตที่เป็นปกติสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ห่างไกลภัยอันตรายต่างๆดังที่ทุกคนปรารถนานั่นเอง
สรุปสั้นๆ ความรักในพระพุทธศาสนา
ความรักตัวเอง —–> ต้องมีเบญจศีล เบญจธรรม
ความรักคนรอบข้าง —–> ต้องปฏิบัติตามหลักทิศ 6
ความรักผู้อื่นแบบไม่มีประมาณ —–> ต้องใช้หลักเมตตา และเมตตาอัปปมัญญา
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://talk.mthai.com/topic/433749
ความรักในแง่มุมของพระพุทธศาสนา
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของคำว่า “รัก” ไว้ว่า “รัก” เป็นคำกริยา หมายถึง มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย เช่น พ่อแม่รักลูก รักชาติ รักชื่อเสียง, มีใจผูกพันด้วยความเสน่หา, มีใจผูกพันฉันชู้สาว, เช่น ชายรักหญิง, ชอบ เช่น รักสนุก รักสงบ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า ”รัก” มีความหมายซับซ้อนกว่าที่ได้มีการอธิบายในพจนานุกรมมากมายนัก นักปรัชญาหลายๆท่านได้ให้นิยามความรักไว้แตกต่างกันไปดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ท่านพุทธทาสภิกขุ (พระผู้ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นนักปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา) ได้กล่าวไว้ว่า “ความรัก คือ ความใจกว้างเห็นแก่ผู้อื่นจนไม่มีตัวตนเหลืออยู่” (อันนี้เป็นคำนิยามความรักในเชิงธรรมะ)
พระราชนิพนธ์เรื่อง “มัทนะพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖)
กล่าวถึงความรักว่า “ความรักเหมือนโรคา บันดาลให้ตามืดมล ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดๆ ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย”
จะเห็นได้ว่า แค่คำว่า “ความรัก” เพียงคำเดียวก็ถูกตีความโดยผู้คนทั่วโลกไปได้มากมายหลายรูปแบบ แสดงให้เห็นว่า ความรักเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ที่รวมความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ ทั้งสุข เศร้า เหงา สดใส เสียสละ โกรธแค้น สงบเย็น ร้อนรุ่น และอื่นๆอีกมากมาย…ดูเหมือนว่า ชีวิตเราทุกคนต่างหมุนไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆนั่นเอง
แม้แต่การเปรียบเทียบในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีการเปรียบเทียบความรักด้วยดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งมีทั้งความสวยงาม เย้ายวนใจให้หลงในเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหนามแหลมคม ซึ่งอาจทำร้ายให้ผู้ครอบครองต้องเสียเลือดเมื่อพลั้งเผลอได้เช่นกัน เปรียบเหมือนความรัก ที่แม้คนเราจะรู้ว่าความรักมาคู่กับความทุกข์ แต่ก็อดใจในเสน่ห์อันเย้ายวนของความรักไม่ได้ ต้องยอมเสี่ยงกับการบาดเจ็บทางใจ เพื่อให้ได้ความรักมาครอบครอง
นิยามความรักในพระพุทธศาสนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อาจจะมีคนสงสัยว่า ทำไมท่านต้องให้ความหมายกับคำว่าความรักไว้มากมายขนาดนี้ ประเด็นนี้พันเอกปิ่น มุทุกันต์ ได้ให้ความเห็นว่า “เนื่องจากความรักเป็นอาการของจิต ความรักจึงมีการเปลี่ยนแปลงกลับกลอกยอกย้อนมากมาย ถึงกับพระพุทธเจ้าต้องตั้งชื่อดักเอาไว้เยอะๆ เพื่อใช้เรียกอาการที่ความรักจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะต่างๆ เพราะลำพังสัตว์หลายชื่อ คนหลายชื่อ หรือสิ่งของหลายชื่อก็ยุ่งพอแล้ว ทีนี้ความรักไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ แต่เกิดมีหลายชื่อมันก็ยุ่งกว่าพวกนั้นหลายร้อยเท่าพันเท่า”
ประเภทความรักในพระพุทธศาสนา
ด้วยเหตุที่คำว่าความรักมีความซับซ้อน และละเอียดมาก ในทางพระพุทธศาสนาจึงมีการแบ่งความรักเป็นลำดับขั้นดังนี้คือ
ความรักฝ่ายอกุศล หรือ ความรักตนเอง
เป็นอาการหรือธรรมชาติในด้านมืดของความรัก เป็นความรักฝ่ายกิเลส ที่จะทำให้จิตใจผู้ที่รักและคนที่ถูกรักตกต่ำลง เรียกความรักกลุ่มนี้ว่า “ความเสน่หา” (สิเนหะ) หรือ “ตัณหา” อธิบายง่ายๆได้ว่า “ความรักที่จะเอา” คือ เอาความรัก ความสุข และทุกอย่างมาที่ตนเองเป็นสำคัญ (ความเห็นแก่ตัว)
ความรักฝ่ายกลาง (อัพยากตะ)
เป็นความรักที่สูงกว่าความรักฝ่ายอกุศล ความรักฝ่ายนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความดีและความชั่ว สามารถถูกความชั่วดึงไปก็ได้ ถูกความดีดึงออกไปก็ได้ จึงอยู่ระหว่างความรักแบบเสน่หาและเมตตาหรือคุณธรรม เรียกความรักแบบนี้ว่า “เปม” (เป-มะ) เป็นความรักในครอบครัว ความรักที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในครอบครัว
ความรักฝ่ายกุศล หรือ ความรักผู้อื่น
เป็นความรักในระดับที่สูงกว่าความรักอีกสองระดับแรก ความรักประเภทนี้เป็นความดีงามที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เรียกว่า “เมตตา”
ความรักฝ่ายกุศลสูงสุด หรือ ความรักผู้อื่นโดยไม่มีประมาณ
เป็นความรักในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ผู้ที่มีความรักประเภทนี้จิตใจจะสะอาดบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นจนสามารถควบคุม อำนาจฝ่ายอกุศลได้ จึงเป็นความรักขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เรียกว่า “กุศลฉันทะ” หรือ “ฉันทะ”
สรุปลำดับขั้นความรักในพระพุทธศาสนาได้เป็น 4 ขั้นง่ายๆดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปสั้นๆ ความรักในพระพุทธศาสนา
ความรักตัวเอง —–> ต้องมีเบญจศีล เบญจธรรม
ความรักคนรอบข้าง —–> ต้องปฏิบัติตามหลักทิศ 6
ความรักผู้อื่นแบบไม่มีประมาณ —–> ต้องใช้หลักเมตตา และเมตตาอัปปมัญญา
ขอบคุณข้อมูลจาก http://talk.mthai.com/topic/433749