พออายุมากขึ้น ถึงได้รู้ ว่า...บทสวดมนต์แปลนั้น ล้ำค่าขนาดไหน

สมัยเด็ก เรียนวิชาพระพุทธศาสนากันแบบจำใจ เพราะต้องเรียนไปตามที่หลักสูตรบังคับ กำหนดให้เรียน
มุมมองตอนเรียนพุทธประวัติ รู้สึกเหมือนฟังนิทานปรัมปรา เสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
ในส่วนของพุทธธรรมคำสอนนั้น หากเป็นหมวดจริยะ ผมไม่เก็ตนะ เหมือนถูกบังคับให้ท่องจำเพื่อนำไปสอบ
แต่ถ้าเป็นสภาวะธรรม ผมเก็ตทันที และรู้สึกว่าสาระที่แทัของวิชาพระพุทธศาสนา อยู่ตรงนี้ต่างหาก
วันศุกร์คาบสุดท้ายต้องเข้าห้องประชุม สวดมนต์ โดยใช้บทสวดมนต์แปล
พูดตามตรงนะครับ ไม่มี นร. คนไหนชอบหรอก ที่ต้องสวด เพราะถูกบังคับ

จนกระทั่งมีเหตุให้ผมต้องออกจากการเรียนกลางคัน สมัยเรียนแพทย์ ชั้นปีที่ 6
สูญเสียการมองเห็นไปเกือบ 80%
ตาซ้าย ถือว่าบอด
ตาขวา เห็นไม่ชัด
ตาบอดสี
จมูกไม่รู้กลิ่นแบบสมบูรณ์
เกิดมีโรคลมชัก กลายเป็นโรคประจำตัว (ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด)

ระหกระเหเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่ที่กิน จนสุดท้ายคือได้มาขอพำนักกับสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง
เลยได้มีที่กิน ที่นอน และอาจารย์ท่านก็เมตตาสอนพุทธธรรมให้
สอนพระกรรมฐานให้

ตอนหลัง พอมาย้อนนึกถึงถ้อยคำในบทสวดมนต์แปล ถึงได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร
เกิดกลายเป็นความเข้าใจ ต่างกัยสมัยเด็กตอนนั้น ที่สัดแต่ท่อง

ถึงได้รู้ว่า พุทธพจน์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเรื่องจริง
ปัญญาเกิดแล้ว ความมืด(ความไม่รู้) มันหายไปเอง จริงสุด ๆ
ที่แล้วมา นึกว่าตัวเองฉลาด เพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เป็นอันดับที่ 7 ของประเทศ
เปล่าเลย ความจริงคือโง่สนิท เพราะยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่